webnovel

1124 จดหมาย

ตอนที่ 1124 จดหมาย

ทางเดินลับของโลกธุลี

ชายสองคนสวมหน้ากากวิญญาณชั่วร้ายเคลื่อนลงมาจากท้องนภาขณะยืนอยู่บนพื้นขรุขระ

พวกเขามองรอบข้างก่อนพบสถานที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว

“มันอยู่ที่นั่นหรือ” ชายคนหนึ่งถาม

“ใช่ ราชาสวรรค์เลือกยอดฝีมือแล้ว แถมยังบอกสถานที่ที่กำราบมันให้ด้วย” ชายอีกคนตอบ

คนก่อนหน้านี้กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “ในเมื่อทหารศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้กลับมาแล้ว ทำไมถึงไม่มาพิชิตหุบเหวร่วมกับวิญญาณชั่วร้ายล่ะ!”

ทั้งสองเดินไปที่มุมหนึ่งขณะมองกำแพงหิน

คนหนึ่งยื่นมือออกไปเพื่อกดที่ใดสักแห่งบนกำแพงหิน

ครืนนนน!

กำแพงหินเปิดออกช้า ๆ

ข้างในว่างเปล่า ศีรษะมนุษย์หินนับหมื่นปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา

ศีรษะของคนเหล่านี้ลอยอยู่กลางอากาศขณะหมุนมาด้วยความเกรี้ยวกราด

พวกมันถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบขณะแผ่พลังสุดจะอธิบายออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกใจสั่น

“ศีรษะนับหมื่นคอยกำราบ เทพอสูรจึงไม่กลับมา”

“อืม หินแปลกประหลาดเหล่านี้สามารถเปิดมิติอื่นได้ มันช่างน่าทึ่งจริง ๆ ”

ทั้งสองมองใต้ศีรษะหินพร้อมกัน

ธนูยาวสีซีดถูกกำราบโดยศีรษะหิน มันกองอยู่กับพื้นไม่ขยับไปไหน

นี่คือหนึ่งในสองเทวภัณฑ์สูงสุดของวิญญาณชั่วร้าย ธนูของโหมวลัว!

ธนูคันนี้คือร่างจริงของราชาสวรรค์โหมวลัว!

ชายคนหนึ่งสงสัย “ตอนราชาสวรรค์โหมวลัวมาหาพวกเรา ภูตผีต้องสาปแปดหมื่นตนเข้ามารายล้อม แต่ทำไมถึงไม่มีร่างจริงของภูตผีต้องสาปอยู่ที่นี่เลยล่ะ”

อีกคนตอบว่า “นายท่านบอกไว้ว่า ตอนธนูของโหมวลัวเปิดและปิด จะมีคำสาปชั่วร้ายที่เปลี่ยนเป็นลูกธนูเพื่อใช้โจมตีเป้าหมาย”

“แสดงว่าภูตผีต้องสาปแปดหมื่นตนติดอยู่กับธนูนี้ พวกเราเพียงต้องเอาธนูนี้ไป”

ชายคนนั้นพลันพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ เจ้ากับข้าจะเริ่มทำงาน หยิบเทวภัณฑ์ออกมาสองสามชิ้น จัดวางพวกมันตามแบบแผนแล้วรีบช่วยร่างจริงของราชาสวรรค์กันเถอะ”

อีกคนยืนนิ่ง คล้ายกับกำลังนึกถึงบางสิ่ง

สหายของเขาสับสน “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”

ชายคนนั้นถอนหายใจแล้วตอบว่า “มีข่าวลือว่ามีเทพขุนเขาอยู่ในยมโลก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเทพแบบนั้นอยู่ในเศษเสี้ยวยมโลกที่พวกเราปกครอง”

“แล้วเทพขุนเขานั่นล่ะ”

“ถ้ามีเทพแบบนั้นอยู่จริง เขาสามารถนำธนูของโหมวลัวออกมาได้ด้วยการถือเทวภัณฑ์ที่หลอมรวมอยู่ในภูเขาล้อมเหล็กใหญ่เอาไว้”

“โห” สหายเริ่มสนใจก่อนถามว่า “ถ้างั้นก็เป็นเทวภัณฑ์ที่สามารถเมินค่ายกลกำราบนับหมื่นได้น่ะสิ”

“ใช่ ว่ากันว่าเทวภัณฑ์ที่ถูกพบในภูเขาล้อมเหล็กใหญ่สามารถตัดทุกสิ่งได้ แต่นี่เป็นเพียงข่าวลือ ยังไม่ได้รับการยืนยัน”

“ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็น่าทึ่งจริง ๆ ”

ขณะทั้งสองสนทนา พวกเขาหยุดภวังค์ลงช้า ๆ ก่อนเริ่มเตรียมวิธีช่วยเหลือ

พวกเขาหยิบเทวภัณฑ์หลายสิบชิ้นออกมาขณะง่วนอยู่กับการสร้างวงเวทขึ้นมา

เวลาผ่านไป

ขณะที่พวกเขาหมกมุ่นอยู่นั้น ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากด้านหลังพวกเขา

ร่างนี้เข้ามาเงียบ ๆ เพียงแค่ยืนดูทั้งสอง

วงเวทของทั้งสองเสร็จสิ้นในที่สุด

พวกเขาใช้งานวงเวท ด้วยการพึ่งพลังของเทวภัณฑ์หลายสิบชิ้น ในที่สุดก็สร้างเสียงสะท้อนอ่อน ๆ กับค่ายกลหมื่นศีรษะกำราบ

ผ่านไปสักพัก รอยแยกเปิดออกในค่ายกลหมื่นศีรษะกำราบ

“มา!” ชายคนหนึ่งตะโกน

สิ้นเสียง “ฟิ่ว” ธนูยาวสีซีดพุ่งออกมาจากโลกแห่งการกำราบผ่อนช่องว่าง

ทั้งสองคนยินดี แต่กลับเห็นว่าธนูยาวถูกมือข้างหนึ่งจับเอาไว้

“นี่คือธนูของโหมวลัวหรือ ทำไมวิญญาณอาวุธถึงไม่อยู่ที่นี่ล่ะ”

เสียงผู้หญิงเจือแววสงสัย

ไม่มีใครตอบ

สองวิญญาณชั่วร้ายยืนอยู่ที่นั่น ไม่สามารถขยับได้

เสียงผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าเพิ่งกลับมาจากยักษ์แห่งการเริ่มต้นพร้อมกับความผิดหวัง ใครจะนึกล่ะว่าจะบังเอิญมีของดีแบบนี้อยู่ตามท้องถนน”

ธนูยาวกลิ้งมาอยู่ในมือของนางก่อนหายไปทันที

“ช่างเถอะ เรื่องวิญญาณอาวุธ ข้าจะหาทางคลี่คลายอย่างช้า ๆ ยังไงก็ตาม ข้าขอรับธนูนี้ไว้ก็แล้วกัน”

หลังจากพูดจบ ร่างของนางหายไปช้า ๆ

สองวิญญาณชั่วร้ายยังไม่สามารถขยับได้

พวกเขายืนอยู่กับที่ โลหิตไหลออกจากผิวหนังก่อนค่อย ๆ ย้อมทั่วร่างจนเป็นสีแดงจนดูเหมือนกับตุ๊กตาที่สร้างจากขี้ผึ้งสีแดง

พวกเขายังยืนอยู่ที่นี่จนกระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน วิญญาณชั่วร้ายอีกกลุ่มถึงจะกลับมา

ร่างที่เก็บธนูยาวไว้ก้าวเดินต่อเพื่อมุ่งสู่ส่วนลึกของทางเดินลับ

ไม่ช้า นางมาถึงที่ที่เคยเกิดการต่อสู้ขึ้น

ป้อมปราการเหล็กกล้าดารา

นางไม่ผ่านป้อมปราการทันที แต่ลงบนพื้นผิวของป้อมปราการ

“กลิ่นของความตาย…น่าแปลก เคยมีใครอยู่ที่นี่มาก่อนหรือ”

นางกระซิบ

ขณะนางกระซิบ แสงและเงาปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า บรรจบกันเป็นภาพฉากหนึ่ง แสดงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตต่อหน้านาง

ซูเสวี่ยเอ้อร์ต่อสู้กับเทพสององค์

กู่ฉิงซานกลับมา

สองพรมแดนซ้อนทับจนเกิดการเปลี่ยนแปลง

กู่ฉิงซานเรียกคนตายจนสร้างปัญหาให้กับยมโลก

กองทัพภูตมาถึง

ทุกคนตกลงที่จะมาพบกันอีกครั้ง ซูเสวี่ยเอ้อร์ลอบเข้าไปในป้อมปราการ กู่ฉิงซานขับยานอวกาศออกไป

นางมองเงียบ ๆ จนเห็นทุกสิ่งจนสิ้น

แสงและเงาทั้งหมดหายไป

“ซูเสวี่ยเอ้อร์คนนั้นอยู่ใต้เท้าข้างั้นหรือ”

เสียงของนางดังขึ้นอีกครั้ง ไม่มีอารมณ์เจืออยู่แม้แต่นิดเดียว

หลังจากนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องในความมืด เผยให้เห็นใบหน้าบริสุทธิ์งดงามของนาง

นางฟ้าขับขาน ชวง

นางก้มศีรษะมองพื้นผิวของป้อมปราการเหล็กกล้า ดวงตาของนางขยับอย่างต่อเนื่อง

ดูท่าดวงตาของนางจะสามารถทะลวงเหล็กกล้าจนเห็นข้างในป้อมปราการได้

“เจอแล้ว”

นางกลายเป็นภาพมายา ทะลวงชั้นนอกของเหล็กกล้าหนาเพื่อเข้าสู่ป้อมปราการเหล็กกล้า

ขณะอยู่ในสภาพมายา นางฟ้าขับขานพุ่งไปข้างหน้าจนกระทั่งมาถึงที่ที่ซูเสวี่ยเอ้อร์อยู่

นั่นคือถังฝึกยุทธ์โปร่งแสงขนาดใหญ่

ซูเสวี่ยเอ้อร์ขดอยู่ข้างในขณะหลับใหลอยู่

ท่อต่าง ๆ ถูกเสียบไว้ทั่วร่างของนาง แสงริบหรี่นับไม่ถ้วนยังคงจมเข้าสู่ร่างของนาง

นางฟ้าขับขานมองอยู่สักพักก่อนกล่าวกับตัวเองว่า “ของจากฝั่งเทคโนโลยีทำให้ผู้คนรู้สึกแย่ตลอดเลย”

ขณะกล่าว นางเอื้อมมือไปหาซูเสวี่ยเอ้อร์ เสียงของนางชั่วร้ายมากขึ้น “ไม่ช้าก็เร็ว กู่ฉิงซานจะเป็นของข้า ส่วนเจ้า แค่หายไปจากโลกใบนี้ก็พอแล้ว”

ทันใดนั้น เสียงผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหากกล้าทำร้ายนางล่ะก็ เจ้าจะหายไปในวินาทีต่อมา”

นางฟ้าขับขานนิ่ง

นางหันไปมองผู้หญิงคนหนึ่ง

“เจ้าเป็นใครกันล่ะ” นางถาม

“คนที่สามารถฆ่าเจ้าได้” นางตอบ

นางฟ้าขับขานมองผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย

นางมองปืนพกสีดำในมือของอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “มีแค่เจ้าเนี่ยนะ”

“จะลองดูก็ได้นะ” นางกล่าวอย่างเย็นชา

นางฟ้าขับขานสัมผัสได้ถึงความหมายจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย ทำให้กล่าวอะไรไม่ออกสักพักใหญ่

แสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นจากทุกทิศทาง

พวกมันสร้างภาพขึ้นมาเจ็ดสิบสามภาพ

ในทุกภาพ มีฉากของทั้งสองคนสู้กัน

ในสี่สิบสามภาพ นางฟ้าขับขานและอีกฝ่ายตาย; อีกสามสิบภาพ นางได้รับบาดเจ็บสาหัสและอีกฝ่ายถูกฆ่า

เพียงอึดใจเดียว ภาพทั้งหมดหายไปราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

นางฟ้าขับขานกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ถ้าป้อมปราการนี้ไม่ได้สั่งสมอาวุธมากพอที่จะทำลายทุกสิ่งเอาไว้ เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

นางกล่าวว่า “แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ในป้อมปราการแล้ว ข้าสามารถฆ่าเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้”

นางฟ้าขับขานเย้ยหยันว่า “เจ้าไม่กลัวตายจริง ๆ หรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าตายไปพร้อมกับข้า!”

นางตอบตามตรงว่า “แน่นอนว่าข้าไม่กลัว แต่ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวตายแน่ ๆ ”

นางฟ้าขับขานไม่เชื่อ สายตาจ้องอีกฝ่ายแล้วถามว่า “ทำไมเจ้าถึงกล้าพูดแบบนั้น”

นางตอบว่า “เพราะข้ามีร่างสำรองแต่เจ้าไม่มียังไงล่ะ”

ร่างของนางฟ้าขับขานสั่นสะท้าน

นางคงอยู่มานานนับไม่ถ้วน ย่อมเข้าใจความรู้ของฝั่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างดี

ดังนั้นนางจึงเงียบ

หลังจากผ่านไปนาน นางกระซิบว่า “ข้าเกลียดเทคโนโลยีชะมัด”

ผู้หญิงไม่พูด แต่ยังคงหันปืนมาที่นาง

นางฟ้าขับขานทำอะไรไม่ได้ จึงขยับร่างกายเพื่อเตรียมที่จะจากไป

ก่อนจะไป นางพลันกล่าวว่า “บอกชื่อของเจ้ามา”

นางตอบว่า “เทพธิดาแห่งความยุติธรรม”

นางฟ้าขับขานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ถามชื่อแบบนั้น ข้าอยากรู้ชื่อจริง ๆ ของเจ้า”

เทพธิดาแห่งความยุติธรรมปิดปากแน่น สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดชื่อออกมา

นางฟ้าขับขานคิดว่าเข้าใจบางอย่างก่อนเผยรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วกล่าวว่า “เจ้าขี้ขลาด เป็นตระกูลปีศาจงั้นหรือ ไม่อย่างนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่กล้าพูดชื่อออกมากันล่ะ”

หลังจากพูดจบ นางก็จากไป

เทพธิดาแห่งความยุติธรรมยืนอยู่ที่นั่น ไม่พูดไม่จาอยู่นาน

“ชื่อ…” นางกระซิบ

นางฟ้าขับขานไม่ได้เหลียวหลังกลับขณะพุ่งออกจากป้อมปราการเหล็กกล้าด้วยความเร็วเต็มกำลัง มือยกขึ้นไปในอากาศ

ในมือของนาง มีค้อนสงครามยักษ์ที่สร้างจากแสงสีขาว

ตอนนี้นางออกมาจากป้อมปราการเหล็กกล้า ย่อมไม่เป็นรองต่ออีกฝ่าย!

“ตายเสียเถอะ!” นางกล่าวอย่างชั่วร้าย

ค้อนสงครามยักษ์ถูกนางหวดออกไปเพื่อฟาดใส่ป้อมปราการเหล็กกล้า

วินาทีต่อมา ป้อมปราการเหล็กกล้าพลันหายไป

น่าเหลือเชื่อนักที่ป้อมปราการสงครามขนาดใหญ่เช่นนั้นจะหายไปโดยไม่เหลือร่องรอยในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที

นางฟ้าขับขานขมวดคิ้ว

นางสะบัดมือ

ค้อนสงครามพลันกลายเป็นแสงเจิดจ้านับไม่ถ้วนก่อนลอยกลับเข้าร่างนางอีกครั้ง

“กู่ฉิงซาน…มีผู้หญิงหนึ่งคนกับผู้พิทักษ์หนึ่งที่ไม่กล้าบอกชื่อตัวเอง”

นางครุ่นคิดสักพักก่อนกล่าวกับตัวเองว่า “ไม่ เขามีเชือกแห่งเมฆาสัญจร แถมยังมีพลังแปลกประหลาดอีก ข้าจะต้องจัดการให้สิ้นเพื่อไม่ให้เขาถูกหลอกล่อโดยหญิงอื่นอีก”

“เอาเถอะ ตอนนี้ข้าไปหาเขาเพื่อร่วมกลุ่มดีกว่า!”

นางพลันเอื้อมมือออกไปคว้าบางอย่าง

กระแสอากาศในความว่างเปล่าถูกนางคว้าเอาไว้ได้

“…ถึงพลังของข้าถูกส่งต่อให้กับยักษ์แห่งการเริ่มต้น…แต่โชคยังดีที่มีสิ่งนี้อยู่”

นี่คือกลิ่นอายที่นางเก็บรวบรวมมาจากกู่ฉิงซานตอนที่กู่ฉิงซานคลายคำสาปให้

นางฟ้าขับขานลังเลสักพักก่อนนำกลุ่มกลิ่นอายนี้มาไว้ตรงหน้า

นางยื่นนิ้วออกไปแล้วเริ่มเขียนบางสิ่งบนกลิ่นอายดังกล่าว

หลังจากเขียนเสร็จ นางท่องคาถายาวเหยียดก่อนเป่ากลิ่นอายนั่นอย่างแผ่วเบา

“ไปเสีย ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน จดหมายนี้จะปรากฏต่อหน้าเขาด้วยพลังแปลกประหลาด”

กลิ่นอายจางหายไปในความว่างเปล่าอย่างรวดเร็วก่อนสลายไป

นางฟ้าขับขานรออยู่ที่เดิมเงียบ ๆ

อีกด้าน

กู่ฉิงซานกำลังลอยอยู่ในอากาศ

เขาตามผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากที่ก้าวข้ามภัยพิบัติขณะมุ่งหน้าสู่เมืองเทียนจู

ทันใดนั้น เขานิ่งไป

“อา ทุกคน พวกเจ้าไปก่อนเลย ข้ามีบางสิ่งที่ต้องทำน่ะ เดี๋ยวตามไป” กู่ฉิงซานกล่าว

“จำให้ดี เจ้าต้องเข้าเมืองก่อนฟ้ามืด!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเสียงดัง

กู่ฉิงซานพัยกหน้า

ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นล่วงหน้าไปก่อน

กู่ฉิงซานยืนนิ่งในความว่างเปล่า

ดาบบินสามเล่มปรากฏขึ้นพร้อมกัน

“มีอะไรหรือ” ดาบพิภพถาม

“ความรู้สึกพิเศษน่ะ เหมือนกับมีบางสิ่งที่เป็นของข้ากำลังมาตามหาข้าน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ

“ของท่านหรือ” ลั่วปิงหลีถามด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด

ดาบเสียงคลื่นส่งเสียงร้องด้วยความสงสัย

“มาแล้ว!” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาเห็นความว่างเปล่าแยกออกรอบข้าง กลิ่นอายที่มองไม่เห็นพุ่งออกมา

“หืม” กู่ฉิงซานประหลาดใจเล็กน้อย

เพราะเขาพบว่าสิ่งนี้คือกลิ่นอายของเขาเอง

เขาเห็นว่ากลิ่นอายนี้เคลื่อนลงมาอยู่ตรงหน้าพร้อมกับแสงเป็นประกาย

ลำแสงประกอบเข้าด้วยกันก่อนก่อตัวเป็นหน้ากระดาษจดหมายแผ่นหนึ่ง

หนึ่งคนกับสามดาบมารวมตัวกันมองกระดาษจดหมาย

เขาเห็นวรรคหนึ่งที่เขียนด้วยภาษาสวรรค์บนกระดาษจดหมาย แสดงว่าจดหมายฉบับนี้เขียนโดยนางฟ้าขับขาน นางรู้สึกขอบคุณจากใจจริงต่อการช่วยเหลือของกู่ฉิงซาน ตอนนี้นางหายดีจนพละกำลังกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว แต่คงยังทำอะไรไม่ได้สักพัก แต่อีกเดี๋ยวข้าจะตามไปร่วมสู้เคียงข้างกับกู่ฉิงซาน

สุดท้ายนี้ นางทิ้งคาถาอัญเชิญเอาไว้

ขอเพียงกู่ฉิงซานท่องคาถานี้ นางจะถูกกู่ฉิงซานอัญเชิญมา

นางบอกว่าตัวเองเตรียมพร้อมที่จะสู้และยังรอการเรียกขานของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานอ่านจดหมายพร้อมกับดาบสามเล่ม

ดาบพิภพกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนั้นแข็งแกร่งมาก แถมยังเป็นคนที่เชี่ยวชาญพลังแปลกประหลาดที่หาได้ยากยิ่ง ตอนนี้สถานการณ์ของท่านคาดเดาไม่ได้ คงดีกว่าที่จะเรียกให้นางมาช่วย”

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็น”

เสียงของลั่วปิงหลีดังขึ้นจากดาบศักดิ์สิทธิ์ “เจ้าไม่ต้องการคนเก่งแบบนั้นหรือ ทำไมล่ะ”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ข้ารู้สึกมาตลอดว่าบางสิ่งมันไม่ถูกต้อง ลึก ๆ แล้วข้ารู้สึกไม่สบายใจน่ะ”

ลั่วปิงหลีอดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า “แค่เพราะเหตุผลคลุมเครือแบบนี้ เจ้าถึงกับปฏิเสธนางเลยหรือ เดี๋ยวนะ ดาบพิภพ นางฟ้าองค์นั้นน่าเกลียดหรือ”

“ไม่นะ” ดาบพิภพส่ายไปมา น้ำเสียงดูคลุมเครือ “พูดยังไงดีล่ะ นางดูเหมือนกับคนที่ผู้ชายทั้งหลายต่างใฝ่ฝันเมื่อได้เห็นหน้าเข้า นางดูสูงส่งมาก”

ลั่วปิงหลีเข้าใจ

ดาบศักดิ์สิทธิ์นิ่งไปสักพักขณะลอยอยู่ในอากาศแล้วมองกู่ฉิงซาน

“เจ้า…ป่วยตรงไหนหรือเปล่า หากป่วยขึ้นมา ต้องรีบรักษานะ” ลั่วปิงหลีถามด้วยความกังวล

“ข้าไม่ได้ป่วย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแน่วแน่ “ไม่ต้องคุยเรื่องนี้แล้ว ข้าคิดเสมอว่ามีบางสิ่งแปลก ๆ เกี่ยวกับนาง ข้าเชื่อในความรู้สึกของตัวเอง”

“ถ้างั้นจะไม่ตอบอะไรเลยหรือ”

“ไม่ตอบ”

ลั่วปิงหลีกล่าวอย่างกังวลว่า “นางยังรอการอัญเชิญอยู่นะ ถ้าทำแบบนี้ เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจนางนะ”

ดาบพิภพกล่าวเช่นกันว่า “ผู้หญิงคนนั้นทรงพลังมาก ถ้าท่านไม่อัญเชิญนาง หากได้พบกันอีกในอนาคต ท่านจะอธิบายให้นางฟังยังไง”

กู่ฉิงซานมองกระดาษจดหมายในมือแล้วครุ่นคิดสักพักก่อนกล่าวว่า “ข้าอ่านไม่ออกน่ะ”

..............................