ตอนที่ 949 สิ่งที่ทวยเทพควรจะเป็น
สามวันต่อมา
สำนักวาติกันเริ่มถอนตัวจากการลงทุนขนาดใหญ่ทั้งหมดขณะยึดติดกับสนามหญ้าเดิมของตัวเอง
ทั้งคริสตจักรเปลี่ยนไป
หลายวันที่ผ่านมา เมื่อนักบวชนำผู้ศรัทธาขับขานบทสวด พวกเขาใช้เวลาเพิ่มขึ้นหลายเท่า
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อยู่ในสายตาถูกยุบ อาชญากรถูกกวาดล้าง เหลือเพียงผู้ศรัทธาที่สามารถยืนหยัดในการต่อสู้แรกได้
บิชอปเคลื่อนไหวทั่วประเทศ ไม่ได้แต่งตัวดูดีอีกต่อไป
พวกเขาเหมือนกับเจ้าหน้าที่บริหารที่ทำงานอย่างหนัก มีทัศนคติที่เฉียบแหลมอย่างแท้จริง มีพลังและสติปัญญา
บรรยากาศทั่วคริสตจักรถูกปรับโฉมใหม่
กองกำลังอื่นๆ พบว่ามันแปลกประหลาด พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องคริสตจักร
ไม่ช้าพวกเขาก็ได้ข่าวอันน่าทึ่ง
ทวยเทพมาเยือนโลกแล้ว
ทวยเทพ!
ตามคำสอนของคริสตจักร หลังจากผู้คนตาย มีเพียงวิญญาณที่เชื่อในทวยเทพเท่านั้นที่สามารถเข้าอาณาจักรทวยเทพได้ คนอื่นจะไปเกิดใหม่ ไปนรกหรือไม่ก็ร่อนเร่อยู่ในความว่างเปล่าตลอดกาล
พูดง่ายๆ ไม่ว่ายังไง มันก็ไม่มีความสบายในอาณาจักรทวยเทพ
ส่วนพละกำลังของทวยเทพ แค่รูปลักษณ์ของทวยเทพก็พิสูจน์แล้วว่าเนื้อหาหลักคำสอนของคริสตจักรนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ลองถามตัวเองดูสิ
ใครบ้างไม่อยากใช้ชีวิตสบายๆ หลังจากตายไปแล้ว
คำว่าอาณาจักรทวยเทพสามารถดึงผู้คนเข้าสู่คริสตจักรได้เกือบทั้งหมด
สองอารมณ์อย่างความไม่เชื่อและความแตกตื่นกระจายไปสู่พวกอันดับต้นๆ ในกองกำลังระดับสูง
เมื่อพวกเขากำลังวางแผนจะส่งยอดฝีมือมาค้นหาเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สำนักวาติกันอยู่ สมเด็จพระสันตะปาปาก็ปรากฏตัวขึ้น
สมเด็จพระสันตะปาปาอัญเชิญกองกำลังทั้งหมดมาแล้วกล่าวว่ามีบางสิ่งที่จะแจ้งให้ทุกคนทราบ
ดังนั้นกองกำลังจำนวนมากจึงส่งทูตมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์
ก่อนผู้ส่งสารเหล่านี้จะมีเวลาได้ตรวจสอบทุกสิ่ง พวกเขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า
สมเด็จพระสันตะปาปา
เขากลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง
เขากลับมาสู่ยุคที่แข็งแกร่งที่สุดในอดีตอีกครา
“กระแสความโกลาหล” เพียงทำให้สภาพของเขาย้อนกลับไปสู่ช่วงอายุดังกล่าว ไม่ได้กีดกันเรื่องความทรงจำ
ด้วยประสบการณ์และปัญญาในช่วงอายุนับร้อยปี เมื่อได้พิจารณาถึงพละกำลังสูงสุดของทั้งโลก สมเด็จพระสันตะปาปาแทบจะสามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ว่าได้
ต่อหน้าผู้ส่งสารทั้งหมด สมเด็จพระสันตะปาปาสารภาพเรื่องการมาเยือนของทวยเทพ
“ใช่แล้ว ข้าคือตัวอย่างที่ดีที่สุด ทวยเทพมอบความหนุ่มให้กับข้า”
สมเด็จพระสันตะปาปากล่าว
“ทวยเทพบอกว่าข้าควรอยู่ในโลกมนุษย์เพื่อทำประโยชน์ให้กับคริสตจักรมากขึ้นก่อนกลับไปสู่อาณาจักรทวยเทพในสวรรค์”
“ทวยเทพบอกว่าพวกเจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องผลได้ผลเสียบนปฐพี เพราะอำนาจและความมั่งคั่งทั้งหมดในโลกเหมือนกับช่วงเวลาที่ผันผ่านไป สุดท้ายก็ต้องมลายหายอยู่ดี มีเพียงความสุขบนสวรรค์เท่านั้นที่มั่นคงและเป็นนิรันดร์”
“คริสตจักรจะไม่ไปข้องเกี่ยวกับข้อพิพาทใดๆ แต่หากมีใครบางคนมาขัดขวางภารกิจ เช่นนั้นจุดจบของมันก็มีเพียงแค่ความตาย”
“ต่อไปคริสตจักรจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
“เก็บรวบรวมข้อมูล”
คำพูดของสมเด็จพระสันตะปาปาทำให้ผู้ส่งสารทุกคนประหลาดใจ
“หมายความว่ายังไงที่ว่าเก็บรวบรวมข้อมูล” ใครบางคนถาม
“ทวยเทพบอกว่าโลกจะค่อยๆ เข้าสู่การทำลายล้างในอีกหนึ่งร้อยปี ดังนั้นทวยเทพต้องการทราบความเคลื่อนไหวผิดปกติทั้งหมดในโลกทันทีที่หายนะเกิดขึ้น” สมเด็จพระสันตะปาปาตอบ
“เข้าสู่การทำลายล้างหรือ”
ผู้ส่งสารของกองกำลังจำนวนมากพูดไม่ออก
ข่าวนี้ถูกส่งต่อไปยังกองกำลังจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
ผู้นำของกองกำลังเหล่านั้นไม่กล้าเพิกเฉย พวกเขาใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อตรวจสอบความถูกต้องทุกสิ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับอารามยอร์กเชียร์ในวันนั้นแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ความจริงสำนักวาติกันก็ไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดอยู่แล้ว
ทวยเทพและปาฏิหาริย์คือของจริง
พวกเขาหวังว่ายิ่งมีคนรู้เยอะเท่าไหร่ยิ่งดีมากเท่านั้น
เมื่อกระบวนการที่แท้จริงของทุกสิ่งถูกตรวจสอบแล้วมาอยู่ต่อหน้ากองกำลังจำนวนมาก ทุกคนเงียบ
จะทำยังไงกับคริสตจักรและทวยเทพดี
การทำลายล้างที่ทวยเทพพูดถึงเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่
ยอดฝีมือต่างสับสน
หนึ่งเดือนต่อมา อีกเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น
หัวหน้าเผ่าออร์คสั่งให้หยุดสงคราม
มันออกจากอาณาเขตของออร์คแล้วมุ่งสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์จากทุ่งหญ้าเพียงลำพังเพื่อขอเข้าพบทวยเทพ
สมเด็จพระสันตะปาปาย่อมปฏิเสธคำขอ
ยังไงเสียทวยเทพมาที่โลกนี้ได้เพียงสี่ปีเท่านั้น ต้องใช้เวลาอีกนานในการฟื้นตัว
พละกำลังของหัวหน้าเผ่าออร์คแทบจะเทียบเท่ากับสมเด็จพระสันตะปาปา
นี่คือเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ สมเด็จพระสันตะปาปาไม่ได้เรียกกำลังคนมาล้อมทันทีเพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมจำนนแล้ว
หัวหน้าเผ่าออร์คถูกขวางอยู่นอกเมืองศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่มีทางเลือกและไม่กล้าที่จะใช้กำลังบุกเข้าไป ดังนั้นจึงต้องคุกเข่าอยู่ใต้เมืองศักดิ์สิทธิ์แล้วนำซากศพมาวางบนพื้น
“ทวยเทพผู้ทรงฤทธานุภาพ ผู้สร้างอาณาจักรทวยเทพ ผู้สร้างโลก ข้าเต็มใจที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อท่าน ข้าเพียงหวังว่าท่านจะดูแลเลือดเนื้อของราชวงศ์ออร์คสืบไปและนำพาออร์คไปสู่ทุ่งหญ้าเขียวขจี”
หัวหน้าเผ่าคุกเข่าลงกับพื้น
บนกำแพงเมืองศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นสมเด็จพระสันตะปาปาเปลี่ยนสีหน้าขณะมองดูฉากนี้
ซากศพนั่นเป็นของจักรพรรดิสัตว์อสูร!
จักรพรรดิสัตว์อสูรมีความต่อสู้กับออร์คมากที่สุด มีเพียงมันที่สามารถต้านทานออร์คทั้งหมดได้
แต่ตอนนี้ สายเลือดของจักรพรรดิสัตว์อสูรไม่มีอีกแล้ว
ออร์คต้องตกอยู่ในการจลาจลและการต่อสู้แล้วแน่ๆ!
มีเหตุผลว่านี่คือช่วงเวลาสุดท้ายที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะเปิดฉากการบุกเพื่อให้ได้ชัยชนะมาในคราวเดียว
ทว่าตอนนี้หัวหน้าเผ่าออร์คกลับขอร้องต่อทวยเทพ
ถ้างั้นทุกสิ่งก็ถูกตัดสินโดยทวยเทพ
เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาคิดถึงตรงนี้ อีกฝ่ายจึงสั่งว่า “ไป รายงานเรื่องนี้ให้ทวยเทพทราบ”
“ไม่ต้อง ข้ารู้หมดทุกอย่างแล้ว”
เสียงหนึ่งดังมาจากความว่างเปล่า
นี่คือเสียงของกู่ฉิงซาน
สมเด็จพระสันตะปาปาและคนของคริสตจักรทั้งหลายรีบก้มหัวคำนับให้
“ทวยเทพ ดูเรื่องนี้สิ”
สมเด็จพระสันตะปาปากำลังจะขอ แต่ทันใดนั้นก็เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นในท้องนภา
แสงสว่างกลุ่มนี้ตกลงมาเหมือนดาวตกที่นอกเมืองศักดิ์สิทธิ์ก่อนจมเข้าสู่ร่างของจักรพรรดิสัตว์อสูร
จักรพรรดิสัตว์อสูรลืมตาขึ้น
…
แม้จะมีพลังมหาศาล มีสมบัติกองเป็นภูเขาและกองกำลังนับหมื่นนับแสน สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากความสูญเสีย
สุดยอดความฝันของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดถึงกับเป็นความอมตะ
การก้าวถอยออกมา ต่อให้ไม่สามารถทำแบบนี้ได้ แต่ก็เป็นทางที่สองที่ดีที่สุด ทุกคนหวังว่าจะมีสถานที่ดีดีหลังจากตายไปแล้ว
เฉกเช่นเดียวกับสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ที่กลับไปสู่ปฐมวัยอีกครั้ง
หรือก็คือพวกเขาสามารถกลับมาจากความตายได้
ด้วยทั้งหมดนี้ ทวยเทพก็ได้แสดงให้โลกเห็นแล้ว
หลังจากพวกออร์คสาบานว่าจะยอมสวามิภักดิ์ต่อทวยเทพ ระดับและโครงสร้างของสังคมมนุษย์ก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเงียบงัน
บางประเทศถึงกับประกาศว่าจะจงรักภักดีต่อคริสตจักรโดยตรง
ไม่ใช่การยอมรับ แต่เป็นการจงรักภักดี
ถ้าไม่สามารถกลายเป็นยอดฝีมือได้ก็จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ทศวรรษเท่านั้น
ทว่าตราบที่เชื่อในทวยเทพก็จะได้เข้าอาณาจักรนิรันดร์หลังจากตายไปแล้ว
ใครบ้างที่จะไม่เต็มใจทำเรื่องแบบนี้
แต่กองกำลังจำนวนมาก รวมถึงจักรวรรดิที่ทรงพลังอย่างแท้จริงยังคงอยู่ด้านข้าง
เพราะพวกเขาเข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง
ออร์คไม่ใช่พวกโง่ เจ้าเล่ห์และไม่น่าเชื่อถือ
พวกมันเชื่อในร่างวิญญาณทรงพลังของสิ่งมีชีวิตโบราณจำนวนมาก รวมถึงเชื่อในบรรพบุรุษของตัวเอง
พวกมันไม่เคยเชื่อในตัวเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อน
ครั้งนี้ท่าทีของหัวหน้าเผ่าออร์คเหมือนกับเข้ารับการรักษาฉุกเฉิน
ใครจะรู้บ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนท้าย
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน
แน่นอนว่าหลังจากผ่านไปสองสามเดือน พวกออร์คก็กลับใจ
ว่ากันว่าพวกมันได้รับแรงบันดาลใจจากบรรพบุรุษที่มาบอกว่าทวยเทพของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นทวยเทพที่ชั่วร้าย
ยิ่งกว่านั้น บรรพบุรุษได้บอกว่าพลังของทวยเทพมนุษย์ยังอ่อนแอมาก ไม่สามารถจัดการกับจักรพรรดิสัตว์อสูรและหัวหน้าเผ่าได้
ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจทวยเทพของเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกแล้ว
ความจริงนี่ยังเป็นจุดสนใจของกองกำลังหลักในเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วย
ว่ากันว่าพละกำลังของทวยเทพไม่แข็งแกร่ง แถมยังอายุแค่สี่ขวบเท่านั้น
ภายหลัง มิชชันนารีที่มีชื่อเสียงจำนวนมากที่คอยติดตามจักรพรรดิสัตว์อสูรกลับทุ่งหญ้าก็ถูกขับไล่ออกมา
ยังไงก็ตาม จักรพรรดิสัตว์อสูรก็รู้เช่นกันว่าใครช่วยชีวิตเอาไว้ การจะสังหารมิชชันนารีแล้วปกปิดให้เนียนจึงเป็นเรื่องยาก
ในคืนที่มิชชันนารีมนุษย์กลับมาเมืองศักดิ์สิทธิ์
แสงศักดิ์สิทธิ์สองสายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์โอ่อ่าพุ่งมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ก่อนตรงไปยังทุ่งหญ้า
พวกออร์คที่ให้ความสนใจกับความวุ่นวายของเมืองศักดิ์สิทธิ์ย่อมพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะป้องกันแสงเจิดจ้าสองสายนี้
แต่วิชาทั้งหมดถูกปัดป้องโดนแสงเจิดจ้าหนึ่งสายที่ไม่มีบทบาทอะไร
หลังจากนั้น
นักรบออร์คทั้งหมดที่เหาะขึ้นท้องนภาเพื่อพยายามหยุดยั้งถูกบดขยี้เป็นก้อนเนื้อจากแสงสว่างอีกสาย
แสงสว่างเจิดจ้าสองสายสลับกันพุ่งมาข้างหน้าด้วยแรงที่ยากจะขัดขืนจนกระทั่งมาถึงส่วนลึกของทุ่งหญ้า
แสงเจิดจ้าตกลงมาอย่างช้าๆ ก่อนกระแทกกับพื้น
ท้องนภาหมองหม่น
สายลมพัดพา
ทั่วทั้งสี่ทิศสั่นสะเทือน
ปฐพีถูกระเบิดจนเป็นหุบเหวไร้ก้น
ทุกสิ่งหยุดนิ่ง
วันนี้
ออร์คทั้งหมดหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์
........................................