webnovel

0766 เผชิญหน้า

ตอนที่ 766 เผชิญหน้า

สายลมยามค่ำพัดหวีดหวิว

จันทราลอยอยู่เหนือห้วงลึกอวกาศอันเดียวดาย แสงเย็นเยือกเปล่งประกายไม่มีสิ้นสุด สาดส่องสู่ปฐพีอันรกร้าง

วัยรุ่นคนหนึ่งเดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางซากปรักหักพังที่โค่นล้ม

ซากปรักหักพังแห่งนี้ไม่ใช่เมืองที่ถูกทำลาย แต่มันคือเกาะลอยฟ้าที่ตกลงมาจากท้องนภาก่อนกระแทกกับพื้นดิน

ตอนนี้เกาะลอยฟ้าทั้งผืนไร้สิ่งมีชีวิตใด ๆ เว้นเพียงวัยรุ่นนามกู่ฉิงซานที่เพิ่งกลายร่าง

เขาสำรวจซากปรักหักพังมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ทว่ายังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ

เขาจำเป็นต้องรู้ช่วงเวลา

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เวลาคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด มันสามารถย้ำเตือนได้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญเคยเกิดขึ้นในช่วงเส้นเวลานี้

กู่ฉิงซานประสบกับการหลบหนีออกจากตำหนักสวรรค์ หลังจากฝึกปรือมาหลายปี ทั้งวิชาทำลายล้างสวรรค์และวิชาเศษเสี้ยวภาพซ้อนทับแห่งเวลา ทำให้เขาสร้างประวัติศาสตร์มากมายขึ้นมาได้

สิ่งเหล่านั้นคือส่วนสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์

แต่เขาค้นหามานานแล้วแต่ยังไม่ได้ข้อมูลที่บ่งบอกว่านี่คือช่วงเวลาใดในยุคโบราณ

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานหยุดมือ

เขายืนอยู่ที่เดิม บรรยากาศชวนให้ไม่กล้าหายใจออกมา

จิตวิญญาณกำลังเตือนเขาอย่างหมดหวังว่าความตายได้โอบล้อมเข้ามาโดยไม่มีการกล่าวเตือน

กู่ฉิงซานไม่ขยับ

เขาไม่รู้ว่าการโจมตีจะมาจากทิศทางใด

แต่นี่ไม่ได้ป้องกันเขาจากการทำสิ่งหนึ่ง

จิตเทพของเขาปกคลุมไปหลายร้อยฟุต บรรจบกันตรงกำแพงที่พังทลายทันที

ฉับพลันนั้นเอง กู่ฉิงซานหายไปจากที่นั่น

กำแพงเข้ามาแทนที่ก่อนปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมที่เขาอยู่

เคลื่อนย้าย!

แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงร้องต่ำดังขึ้น

กำแพงถูกภาพติดตากระแทกเข้าใส่กลายเป็นฝุ่นลอยไปทั่ว

กู่ฉิงซานปรากฏตัวด้านนอกห่างออกไปหลายร้อยเมตร เขามองผู้โจมตีร่างใหญ่ด้วยจิตเทพ

ปีกบางยาวโปร่งแสงสองข้าง ร่างยาวหกฟุตราวกับงู

เมื่อมองส่วนศีรษะจะเห็นรูม่านตาแนวตั้งคู่หนึ่งเปิดอยู่ดูเหมือนมังกร แต่ปีกและขนาดหกฟุตของมันคือสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้

แม้สัตว์ประหลาดตัวนี้มีปีกติดอยู่ที่แผ่นหลังแต่ก็ไม่สามารถขยับได้

ด้านหลังของหัวกะโหลกถูกฟันด้วยบางสิ่งก่อนจะร่วงหล่นลงไป เป็นการยากที่จะห้อยติดอยู่กับคอได้

ในตอนนี้เอง แสงเย็นเยือกสองสายเคลื่อนเข้ามา

ดาบสองเล่มไขว้กัน ฟาดฟันใส่บาดแผลลึกที่คอของสัตว์ประหลาด

ศีรษะของสัตว์ประหลาดเชื่อมต่อกับชั้นผิวบาง ยังไม่หลุดออกมาอย่างสมบูรณ์

แต่ชีวิตของมันมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

สัตว์ประหลาดดิ้นรนอยู่บนพื้นอีกหลายอึดใจก่อนจะแน่นิ่งไป

ดาบสองเล่มฟันหน้าหลังใส่สัตว์ประหลาดจนกระทั่งศีรษะถูกฟันจนขาดอย่างสมบูรณ์

ไกลออกไปหลายร้อยเมตร กู่ฉิงซานกลั้นหายใจ

เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ขยับไปไหนไม่ได้พักใหญ่

โลหิตสีแดงใสยังไหลมาจากศีรษะจนชุ่มเสื้อผ้า

เขายังไม่ขยับจนกระทั่งดาบสองเล่มบินกลับมา

นานมากแล้วที่กู่ฉิงซานไม่ได้เผชิญหน้ากับช่วงเวลาเช่นนี้

ยากจะคาดเดา ไม่อาจเตรียมตัวทัน ไม่มีเวลาให้ตอบสนอง

นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างความเป็นกับความตาย

โชคยังดี สัตว์ประหลาดได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อนแล้ว

อีกอย่าง เพราะพวกมันเคยกำจัดหนึ่งในสำนักที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งการฝึกฝนมาแล้ว เขาย่อมไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้แก่สัตว์ประหลาดบรรพกาลได้

เกรงว่าเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลัวที่จะถูกพวกพ้องกิน มันจึงซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งกู่ฉิงซานเข้าใกล้

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขาหยิบค่ายกลออกมาแล้วติดตั้งค่ายกลแจ้งเตือนอย่างรวดเร็วขณะตรวจสอบบาดแผลตัวเองด้วยจิตเทพอย่างละเอียด

พลังจิตวิญญาณรวมตัวที่จุดนั้นก่อนจะทำการปิดปากแผลชั่วคราว

เขาจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรหากหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับอีกฝ่าย

โลหิตคล้ายกับไหลออกมาจากรูขุมขน

ดูท่าจะไม่ใช่การโจมตีถึงตาย

หรือว่าเป็นเพราะเสียงกรีดร้องตอนนั้น

ตอนที่สัตว์ประหลาดกรีดร้อง เขาตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ทำให้ซัดดาบสองเล่มออกไปไม่ทันเวลา

เมื่อนึกย้อนอย่างถ้วนถี่ ตอนนั้นเอง ความว่างเปล่าเหนือศีรษะคล้ายกับเคลื่อนไหว...

เหงื่อเย็นก่อตัวขึ้นที่แผ่นหลังของกู่ฉิงซาน

เขาวิเคราะห์การโจมตีของสัตว์ประหลาดอย่างละเอียด

เพียงชั่วประกายไฟ การโจมตีของสัตว์ประหลาดถูกซัดออกมาสามรูปแบบ

หนึ่งคือการโจมตีวิญญาณด้วยเสียง ทำให้ผู้คนสับสน

สองคือการฟาดฟันความว่างเปล่าที่มองไม่เห็น ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันเริ่มจากจุดไหน แต่มันเกือบคร่าชีวิตของกู่ฉิงซานได้

สามคือการโจมตีเต็มรูปแบบ ทำให้กำแพงทั้งแผ่นกลายเป็นฝุ่นลอยไปทั่วอยู่เบื้องล่าง

ชั่วพริบตา การโจมตีทั้งสามเปิดฉากเข้าใส่พร้อมกัน

โชคดีที่เขาใช้วิชาเคลื่อนย้าย จึงเลี่ยงการโจมตีของศัตรูมาได้

ทันทีที่ดาบบินออกไป เขาย่อมไม่สามารถปิดฉากได้หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเจ็บมาก่อนแล้ว

กู่ฉิงซานยืนขึ้นช้า ๆ

ด้วยจิตของเขา ดาบบินสองเล่มโจมตีใส่ทั่วร่างสัตว์ประหลาดที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบไมล์ด้วยการฟาดฟันอันทรงพลัง

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ

หลังจากนั้น กู่ฉิงซานจึงสามารถพุ่งเข้าหาร่างของสัตว์ประหลาดก่อนตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างระวังได้

บาดแผลบนร่างของสัตว์ประหลาดน่าตกตะลึงนัก

ถึงแม้จะตายสนิทแล้ว แต่พลังวิญญาณของธาตุทั้งห้ายังหลงเหลืออยู่ รอยหนาม รอยฟัน รอยข่วน รอยกระแทกและรอยอาวุธชนิดอื่น ๆ เด่นชัดเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่ามันได้รับการโจมตีมามากมาย

กู่ฉิงซานเก็บร่างของสัตว์ประหลาด อารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย

ในฐานะนักพรต มีหลากหลายระดับที่ต้องสั่งสมประสบการณ์ ทั้งระดับปราณปรับแต่ง ระดับก่อตั้ง ระดับแก่นทองคำ ระดับก่อกำเนิด ระดับก้าวสู่เทพ ระดับนักบุญ ระดับร่างเทวะ ระดับพันวิบัติ ระดับขีดสุดความว่างเปล่า ระดับวิญญาณลี้ลับ ระดับดาราโกลาหล ระดับหวนคืนสู่ศูนย์ ระดับกระจ่างจิตเทวะและระดับเบิกเนตรมิติ

ตอนนี้ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็มาถึงจุดสิ้นสุด ความสำเร็จของเขาอยู่ในระดับเบิกเนตรมิติ

ระดับเบิกเนตรมิติ เพียงแค่สะบัดมือก็จะทลายความว่างเปล่าจนมองเห็นโลก

ตอนนี้เขาเหมือนกับเซี่ยเต้าหลิงที่จะทะลวงผ่านกรงจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งด้วยการสัมผัสครั้งสุดท้ายนี้

แต่ต่อหน้าสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังสามารถถูกอีกฝ่ายสังหารได้อย่างง่ายดาย

ใครก็ตามที่มีระดับการฝึกฝนทัดเทียมกันอาจจะตายเมื่อถึงจุดที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้

หากเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องเผชิญกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ ถึงตอนนั้น...

กู่ฉิงซานส่ายหน้า

แม้กระทั่งการแจ้งเตือน “ได้รับพลังวิญญาณสามแสนแต้ม” ที่ปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ไม่ทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งแม้แต่น้อย

เขายังคงพัฒนาต่อไป!

เซี่ยกูหงสามารถเข้าสู่โลกบรรพกาลเพียงลำพังเพื่อสังหารผู้นำโลกบรรพกาลได้ เขาเองก็ต้องทำได้!

กู่ฉิงซานลอบสาบาน

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

อีกด้านของซากปรักหักพัง

กู่ฉิงซานยังไม่ได้เบาะแสเพิ่ม

เขาพบสถานที่ลับ มือล้วงหยิบยาเม็ดออกมาก่อนเอาเข้าปากแล้วเคี้ยวช้า ๆ

นี่ไม่ใช่ยาเม็ดที่มีผลพิเศษ เป็นเพียงยาเม็ดปี้กู่ที่กู่ฉิงซานสร้างขึ้น

ยาเม็ดนี้มีสารอาหารมากมายที่จำเป็นต่อร่างกายของนักพรต อีกทั้งยังทำให้สดชื่นอีกด้วย

เมื่อไม่นานมานี้ เขาเหนื่อยล้ายิ่ง ไม่มีเวลาและอารมณ์จะมาทำอาหาร เขาจึงสร้างยาเม็ดแบบนี้ขึ้นมา

หลังจากกินยาเม็ดปี้กู่แล้วพักสักครู่ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็หายเป็นปกติ

เขาเริ่มสรุปข้อมูลได้ที่มา

จากเครื่องแต่งกายที่สภาพดูไม่ได้ รวมถึงรูปแบบการตกแต่งของวัตถุเหล่านั้น ทำให้กู่ฉิงซานยืนยันจุดกำเนิดของเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ได้

ตั้งแต่ยุคโบราณ มีเพียงสำนักทรงพลังที่สุดเท่านั้นที่จะมีเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่แบบนั้นได้

ตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก สำนักเซียนธารจันทรา หอหยกประกายมุก

ชุดของตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวกยังเป็นสีดำ สำนักเซียนธารจันทรายอมให้สวมเพียงชุดคลุมเต๋า ส่วนหอหยกประกายมุกมักแต่งชุดหลากสีสันเพราะส่วนใหญ่เป็นนักพรตหญิง

กู่ฉิงซานพบชุดเปื้อนโลหิต ทุกชุดเป็นชุดคลุมเต๋า

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเกาะลอยฟ้าของสำนักเซียนธารจันทรา

แต่ในประวัติศาสตร์ สำนักเซียนธารจันทราถูกทำลายมาแล้วสองครั้ง

ครั้งแรกเกิดขึ้นเร็วมาก ในตอนนั้น เทพเพิ่งทำการติดต่อกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างสำนักนี้ที่ถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดบรรพกาลขึ้นมาใหม่

ครั้งที่สองเป็นช่วงไม่กี่ปีหลังจากที่เขาเข้าสู่ตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก

ในตอนนั้น สถานการณ์การต่อสู้ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ยอดนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนล้มตายในครั้งนั้น

เพราะสำนักเซียนธารจันทราตั้งอยู่ใกล้กับแนวหน้า ในศึกสำคัญ ทุกสำนักถูกทำลายโดยสัตว์ประหลาดบรรพกาล

“แล้วมัน...เมื่อไหร่ล่ะ”

กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง

เขาครุ่นคิดสักพัก จากนั้นหยิบค่ายกลออกมา การจัดเรียงของค่ายกลเสร็จสมบูรณ์

เขาเริ่มรออย่างอดทน

ถ้าเป็นครั้งแรก เทพและเผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมากจะมาถึงในไม่ช้า

ถ้าเป็นครั้งที่สอง...

กู่ฉิงซานนั่งขัดสมาธิในค่ายกล หลับตาลงเพื่อทำการฝึกฝนขณะรอ

หนึ่งวันค่อย ๆ ผ่านไป

เขาเก็บค่ายกลก่อนจะยืนขึ้นแล้วถอนหายใจ

ไม่มีใครมาตรวจสอบสถานการณ์ ไม่มีเทพมารับนักพรตเพื่อฟื้นคืนสำนัก

นี่แสดงให้เห็นว่าสงครามยังดำเนินต่อไปและไปถึงจุดที่ตึงเครียดยิ่ง

หากไม่นับครั้งแรก

นี่ก็จะเป็นการทำลายล้างครั้งที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย

ตอนสำนักเซียนธารจันทราถูกทำลายจนสิ้นในครั้งที่สอง เทพไม่ได้มาเพื่อช่วยสำนักนี้

ตอนนั้นเองที่แนวหน้าถูกทำลายยับเยิน

นักพรตทรงพลังทั้งหมดต่างออกโรง แม้กระทั่งเทพก็ไม่เว้น

เซี่ยกูหงผู้เป็นจ้าวตำหนักกสวรรค์เมฆาวิเวกยังปล่อยวางเหตุการณ์ต่าง ๆ ของสำนัก แม้กระทั่งศิษย์สองคนที่รับเข้ามาใหม่ก็ไม่สนใจเล่าเรียน ทำให้ต้องรีบออกไปแนวหน้ากับจ้าวสำนักจำนวนมาก

ในตอนนั้น เซี่ยกูหงฝากฝังศิษย์ทั้งสองไว้กับกู่ฉิงซานและขอให้กู่ฉิงซานสอนสั่งสองศิษย์ผู้น้อง

เดี๋ยวนะ...ถ้าเป็นคราวนี้ล่ะก็…

กู่ฉิงซานนึกถึงฉากในตอนนั้น

ในตอนนั้น หวงซานและเฉินหยางเพิ่งติดตามพวกเขากลับยอดเขาเมฆาวิเวกก่อนจะถามว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับแนวหน้าหรือเปล่า

ตอนนั้น หวงซานพูดว่าอะไรนะ

กู่ฉิงซานนึกถึงฉากนั้น

...

หวงซานลดเสียงต่ำลงก่อนกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าการต่อสู้โหดร้ายนัก เทพหายตัวไป ทำให้การพิพากษาเบื้องต้นจบตรงที่ถูกสัตว์ประหลาดบรรพกาลโอบล้อมเข้ามาฆ่า”

เฉินหยางกระซิบเสียงต่ำเช่นกัน “นี่เป็นครั้งแรกที่เทพล้มลงต่อหน้าทุกคน ดูท่าตอนนี้สำนักใหญ่ทั้งหลายจะอยู่ในความตื่นตระหนกกันแล้ว”

...

กู่ฉิงซานพยักหน้าช้า ๆ

สำนักเซียนธารจันทราถูกทำลาย แนวหน้าพังพินาศในหนึ่งวันให้หลัง ครึ่งวันต่อมา เทพถูกสังหาร

จากนั้นเทพนำยอดนักพรตทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปแนวหน้าเพื่อสู้กับสัตว์ประหลาดบรรพกาล

ตอนนี้แทบจะเหมือนกับตอนที่แนวหน้าพังพินาศ

ยังเหลืออีกครึ่งวันก่อนที่เทพจะถูกสังหาร

นี่นับว่าแปลก เทพไม่ได้ทำข้อตกลงกับสัตว์ประหลาดบรรพกาลหรอกหรือ

ทำไมสัตว์ประหลาดบรรพกาลถึงต้องสังหารเทพด้วย

...นี่เป็นครั้งแรกที่เทพถึงแก่ความตาย

แล้วพวกเขาถูกสังหารได้อย่างไร คำถามนี้นับว่าสำคัญยิ่ง

กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก จากนั้นยืนขึ้นช้า ๆ ขณะมองไปทางแนวหน้า

.....................................................................