webnovel

0743 ไร้ซึ่งผู้ใดในตอนท้ายของท่วงทำนอง

ตอนที่ 743 ไร้ซึ่งผู้ใดในตอนท้ายของท่วงทำนอง

กู่ฉิงซานกำลังรับชม รับฟังสิ่งที่อยู่ภายในใบหยกอย่างใจจดใจจ่อ แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีมือขาวๆ ข้างหนึ่ง ยื่นมาฉกมันไป

ใบหยกถูกดึงไปอย่างกะทันหัน

กู่ฉิงซานจึงค่อยตระหนักได้ว่าเวลานี้มีใครบางคนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา

เป็นสาวงาม

ปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ ลั่วปิงลี่

มีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงอย่างลั่วปิงลี่ขึ้นไปเท่านั้น จึงจะสามารถขโมยใบหยกออกจากมือกู่ฉิงซานได้ โดยที่เขาไม่รู้ตัว

กู่ฉิงซานมองหน้าอีกฝ่าย และย้อนนึกถึงคำสอนของเซี่ยกู่หงส์

เซี่ยกู่หงส์เคยบอกต่อเขาว่า ขอให้ตนรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับปรมาจารย์ลั่วเอาไว้ และกล่าวตามตรงว่าลั่วปิงลี่อยู่ฝ่ายเดียวกันกับเขา นอกจากนี้ยังมีความพลังโจมตีชนิดหาตัวจับได้ยากนัก แม้กระทั่งตัวเซี่ยกู่หงส์เองก็อาจด้อยกว่านาง

ในบรรดาเจ็ดปรมาจารย์ขุนเขาแห่งวังสวรรค์เมฆาวิเวก หากกล่าวถึงเฉพาะเพียงอำนาจการทำลายล้างตามรายบุคคล แท้จริงแล้วลั่วปิงลี่ย่อมถูกนับว่าเป็นอันดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลั่วปิงลี่จะครอบครองพลังโจมตีอันแสนร้ายกาจ แต่ขณะเดียวกันเธอก็ไม่มีการป้องกันที่ดีมากนัก กล่าวได้ว่าแม้จะโดดเด่นในด้านโจมตี ทว่าหากอยู่ในสนามรบ ก็จำต้องมีผู้ฝึกยุทธจำนวนมากตามไปคอยคุ้มครองเช่นกัน

กู่ฉิงซานย้อนนึกถึงคำของอาจารย์ จากนั้นประสานกำปั้นให้แก่อีกฝ่ายด้วยความนับถือ “คำนับปรมาจารย์ลั่ว”

ลั่วปิงลี่ไม่ตอบเขา แต่เลือกปลดจิตสัมผัสเทวะลงไปแทน สำรวจเนื้อหาในใบหยกและกล่าว “ เป็นอย่างไร? ‘การบรรเลงพิณ’ จากสาวกอันดับหนึ่งของข้าไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”

กู่ฉิงซานจ้องมองใบหยกในมือเธอ ปากร้องอุทาน “เสียงของมัน แม้บัดนี้ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทมิจางหาย ปรมาจารย์ลั่วสอนสั่งนางได้ดีจริงๆ”

ลั่วปิงลี่เขกหัวเขาและกล่าว “เลิกเปล่งวาจาประจบประแจงข้าเถิด อย่างไรเสีย ข้าย่อมไม่อนุญาตให้เจ้าร่วมฝึกยุทธเคียงคู่กับสาวกขุนเขาของข้า”

กู่ฉิงซานกล่าวซื่อตรง “ปรมาจารย์ลั่วเข้าใจผิดแล้ว ตัวข้าแม้ทุ่มสุดใจให้กับการฝึกยุทธ ทว่ามิได้มีความตั้งใจคิดหาสหายเต๋าในนิกายร่วมฝึกยุทธคู่เคียง”

ลั่วปิงลี่เพ่งมองเขา การแสดงออกทางสีหน้าของเธอกลายเป็นอ่อนโยนลงเล็กน้อย

เธอเป็นผู้ฝึกยุทธผู้ใช้เสียง แท้จริงแล้วเก่งกาจเป็นอย่างยิ่งในการล่วงรู้ห้วงความคิดและอารมณ์ที่แท้จริงของผู้คน เธอสามารถล่วงรู้ความจริงของคำพูดอีกฝ่ายได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยวิถีสวรรค์

“ได้ยินเช่นนั้นก็ดี เอาเถอะ เจ้ายังคงสามารถเก็บใบหยกนี่เอาไว้ได้”

ลั่วปิงลี่ยื่นใบหยกคืนให้แก่เขา

“ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ขุนเขา” กู่ฉิงซานกล่าว

“เจ้าจงมากับข้า ข้ามีอะไรบางอย่างจะพูดกับเจ้า” ลั่วปิงลี่เชื้อเชิญ

กู่ฉิงซานเห็นว่าเธอมีท่าทีจริงจัง  ทัศนคติที่แสดงออกมาแปรเปลี่ยนไป ตนจึงเดินตามเธอไปยังจุดสูงสุดของขุนเขา

ขุนเขากระเรียนเทามีรูปทรงคล้ายกับกระเรียนสมชื่อ ตรงส่วนปลายสูงสุดของมันคล้ายจะงอยปากนกกระเรียนที่ยืดยาวแยกออกไป

นั่นคือตรงยอดขุนเขากระเรียนเทา

ลั่วปิงลี่ยืนอยู่บนยอดเขา ไขว้สองมือตนไว้เบื้องหลัง

ภายใต้สายลมแรง ชุดคลุมของเธอพลิ้วไหวไปกับมัน ฉากนี้ดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ขณะเดียวกันก็เหมือนกับว่าเธอจะปลิดปลิวไปกับสายลมได้ตลอดเวลา

“หากสนทนากันที่นี่ ข้ารับประกันได้เลยว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยิน” ลั่วปิงลี่กล่าว

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

บนยอดเขา ก้อนเมฆควบแน่นกลายเป็นฝนวิญญาณ ดอกไม้พลิ้วไหวไปตามลม สายน้ำไหลอยู่เบื้องล่าง คลื่นในน้ำสั่นไหวคล้ายกำลังโกรธเกรี้ยว

ในเวลานี้ ทั้งสองยืนอยู่ท่ามกลางหมอกและฝน คล้ายทั้งสวรรค์และโลกมีเพียงพวกเขาอยู่เพียงลำพัง ฉะนั้นย่อมไม่มีใครสามารถลอบฟังบทสนทนาได้

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ “ปรมาจารย์ลั่ว แท้จริงแล้วมีคำใดจะชี้แนะ?”

ลั่วปิงลี่ “สงครามแนวหน้ายิ่งนาน ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ฝึกยุทธระดับสูงพากันตกตาย กำลังรบเผ่ามนุษย์เริ่มถดถอยลง เรื่องเหล่านี้เจ้าทราบหรือไม่?”

“เป็นเรื่องหนาหู ผู้น้อยเคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน” กู่ฉิงซานพยักหน้ากล่าว

ลั่วปิงลี่ “ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเร็วๆ นี้ ทางเทพวิญญาณจึงได้ถ่ายทอดประสงค์ของพวกเขาลงมา และขอให้ทางนิกายจัดหากลุ่มสาวก จากในแต่ละขุนเขา เลือกมาจำนวนหนึ่งเพื่อเดินทางไปฝึกยุทธกับเทพวิญญาณหรือผู้รับใช้ทวยเทพเป็นการส่วนตัว”

“ให้ไปฝึกยุทธกับเทพวิญญาณงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทวนถาม

“ใช่ ขุนเขาของข้า เดิมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเทพวิญญาณอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงได้รับ ‘สิทธิ์’ มาจำนวนหนึ่ง ที่สามารถส่งสาวกไปฝึกยุทธกับเทพวิญญาณได้” ลั่วปิงลี่กล่าว

กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด

สถานการณ์ในปัจจุบันกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เผ่ามนุษย์ทั้งพ่ายแพ้และล่าถอยซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิอาจยืนหยัดต่อกรกับมอนสเตอร์บรรพกาลได้ กระทั่งเทพวิญญาณเองก็ยังได้รับความเดือดร้อน

ส่งผลให้เทพวิญญาณบังเกิดความต้องการที่จะยกระดับความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง มุ่งมั่นที่จะสร้างกลุ่มนักรบที่ทรงประสิทธิภาพ เพื่อแผนการระยะยาวสำหรับสงครามในอนาคต

“กระทำการเร่งด่วนเช่นนี้ เกรงว่าเทพวิญญาณคงร้อนรนไม่น้อยเลยสินะ?” กู่ฉิงซานโพล่งออกมา

ลั่วปิงลี่ผงะ ร้องตำหนิเขา “เจ้าช่างกล้านัก พูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?”

ต้องรู้นะว่าการสนทนาเชิงลบใดๆ เกี่ยวกับเทพวิญญาณ มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของคำสาปและภัยพิบัติเสมอๆ

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ขออภัย แต่ข้ายังอยากฟังรายละเอียดจากปรมาจารย์ลั่วมากกว่านี้ เชิญท่านพูดต่อเถอะ”

ลั่วปิงลี่มองเขาอีกครั้งและกล่าว “ทางนิกายจึงตัดสินใจทำการประลองเทียบเปรียบครั้งใหญ่ และเลือกเฟ้นสาวกจากในทุกรุ่นที่มีคุณสมบัติโดดเด่นยอดเยี่ยม เพื่อไปฝึกยุทธในพระราชวังเทวะกับเหล่าทวยเทพ”

“หากสามารถได้รับโอกาสรับคำแนะนำจากเทพวิญญาณโดยตรงเช่นนี้ ข้าเกรงว่าทุกรุ่นของสาวกนิกาย จะทำลายล้างกันเองเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าว

เขายังคงยิ้มและกล่าวต่อ “หากแต่ไม่ใช่ว่าการประลองเทียบเปรียบของทางนิกายเราเสร็จสิ้นไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วหรอกหรือ? ท่านไม่น่าจะต้องมาเป็นกังวลเรื่องนี้เลยนี่?”

ลั่วปิงลี่กล่าว “ในเวลานี้ สิ่งที่ผิดแผกไปก็คือ ทางระดับสูงของแต่ละขุนเขาต่างปิดประตูบ้านตนเอง  ทำการจัดการประลองในหมู่สาวกของตนขึ้น เพื่อคัดเลือกผู้ที่จะได้รับสิทธิ์นี้”

กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ใส่ใจว่า “ยังคงต้องทำการเฟ้นเลือกอยู่อีกหรือ? มิใช่ว่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงคอยสอนสั่งศิษย์ของพวกเขาทุกวันอยู่แล้ว ฉะนั้นย่อมต้องทราบดีว่าจิตแห่งเต๋าของผู้ใดเหมาะสมและคู่ควร?”

ลั่วปิงลี่กล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่การที่ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อต้องการบอกกับเจ้าว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ปรมาจารย์วังขาดการติดต่อไป ขณะที่สาวกจากขุนเขาหลัก จักต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของสาวกทั้งหมด ดังนั้นหลังจากหารือกันแล้ว ทางปรมาจารย์ขุนเขาจึงตัดสินใจมอบ ‘สอง’ สิทธิ์ให้แก่พวกเจ้า”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “แท้จริงแล้วสิทธิ์ที่ว่ามีทั้งหมดกี่ตำแหน่ง?”

“สามสิบตำแหน่ง” ลั่วปิงลี่ตอบตามตรง

“มีถึงสามสิบตำแหน่ง? ทว่ากลับมอบให้ขุนเขาหลักเพียงแค่ สองเท่านั้นเองหรือ?” เขาหัวเราะ

ลั่วปิงลี่มองเขาและกล่าว “ใช่ นี่คือผลจากการหารือของเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา และเนื่องจากปรมาจารย์วังไปยังแนวหน้า และไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้นทุกคนจึงตัดใจกันเอง ข้าหวังว่าเจ้าจะคัดเลือก สองตำแหน่งได้อย่างเหมาะสม”

เธอกล่าวต่อ “ส่วนประเด็นในเรื่องนี้ ทางขุนเขารุ่งอรุณโบราณได้ทำการแจ้งต่อหวงซานกับเฉินหยางแล้ว  และบอกให้พวกเขาเตรียมตัวต่อสู้ สำหรับสิทธิ์ที่มีเพียงสองของขุนเขาหลัก”

กู่ฉิงซานเงียบไป

นี่อีกฝ่ายเมินตนเอง และไปแจ้งเรื่องนี้แก่หวงซานและเฉินหยางโดยตรงอย่างงั้นหรือ?

ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองจะมีจิตใจที่ดี หากแต่พวกเขายังคงเด็กเกินไป ที่จะทานทนต่อสิ่งยั่วยวนเช่นนี้ได้

เกรงว่าพวกเขาคงมิอาจทานทนต่อโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้ฝึกยุทธกับเทพวิญญาณเป็นการส่วนตัว!

กู่ฉิงซานค่อยๆ ได้สติกลับคืน

แต่ละขุนเขาล้วนจัดงานประลองของตนเองขึ้น …

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาจะต้องต่อสู้กับหวงซานและเฉินหยาง เพื่อช่วงชิงคุณสมบัติในการเข้าสู่พระราชวังเทวะใช่หรือไม่?

...กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยมและมุ่งร้ายอันลึกล้ำ

อาศัยประโยชน์จากในช่วงเวลาที่ท่านอาจารย์ขาดการติดต่อไป จงใจมอบให้เพียงสองสิทธิ์ โยนลูกพีชลงมาเพียงสอง เพื่อหมายยุยงให้สามหมาป่าแห่งขุนเขาหลักแก่งแย่งกันเอง

ทำกันแบบนี้ พวกเขากล้าดีอย่างไร!?

ท่านอาจารย์เพียงสูญเสียการติดต่อไป ดังนั้นพวกเขาเลยคาดเดาไปว่าท่านอาจารย์จะไม่สามารถกลับมาใช่หรือไม่?

อย่างไรก็ตาม จากชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์อื่นๆ ทำให้กู่ฉิงซานทราบกระจ่างแก่ใจว่า เซี่ยกู่หงส์นั้นปลอดภัยดี และเขาจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวจนกระทั่งวังสวรรค์ถูกทำลาย

กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่บนยอดเขา เบนสายตาออกไปมองเมฆหมอกภายนอก

เขาค้นพบว่าเมฆหมอกกำลังก่อตัวขึ้น ฝนเทลงมาเป็นครั้งคราว บ้างก็กระจายหายไป

กู่ฉิงซานไตร่ตรอง “การมอบสองสิทธิ์ให้แก่ขุนเขาหลัก เป็นความคิดของผู้ใด?”

ลั่วปิงลี่เห็นจู่ๆ เขาก็เอ่ยถามประเด็นสำคัญ สีหน้าของเธอเลยแลดูจืดไปเล็กน้อย

ลั่วปิงลี่ตอบ “นี่คือข้อเสนอจากทางขุนเขารุ่งอรุณโบราณ ขุนเขาเมฆาพยศ ขุนเขาสดับวิญญาณ และขุนเขากระเรียนเทาที่พวกเรายืนอยู่ก็เช่นกัน”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วทางขุนเขาวารีกระจ่างกับ ขุนเขาทำนองเสนาะเล่า?”

ลั่วปิงลี่กล่าว “แน่นอนพวกเราสองขุนเขาคัดค้าน แต่สิทธิ์และเสียงของพวกเราไม่เพียงพอ สุดท้ายถูกบังคับให้ข้อสรุปนี้ผ่านที่ประชุมโดยพวกเขา”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นให้อีกฝ่าย “ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ลั่ว แม้ในยามนี้อาจารย์ของข้าจะไม่อยู่ แต่ท่านก็ยังเลือกที่จะบอกเล่าสถานการณ์ของนิกายให้แก่ข้า”

ลั่วปิงลี่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา ในหัวใจของเธอก็บังเกิดความพึงพอใจขึ้นหลายส่วน “ขุนเขารุ่งอรุณโบราณ และขุนเขาสดับวิญญาณ ได้รับสืบทอดมาจากเทพแห่งชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติตามคำแนะนำของเทพแห่งชีวิต”

“แล้วทางขุนเขากระเรียนเท่ากับขุนเขาเมฆาพยศเล่า?” กู่ฉิงซานถาม

“สองขุนเขานี้ ซื่อสัตย์ภักดีต่อเทพแห่งดวงดารา และเจ้าก็น่าจะทราบดีว่าเทพดารามักจะไม่ลงรอยกับเทพวารี”

กู่ฉิงซานกล่าว “หมายความว่าทางขุนเขาทำนองเสนาะและขุนเขาวารีกระจ่าง ปฏิบัติตามคำแนะนำของเทพวารีใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง กระทั่งอาจารย์ของเจ้าก็ยังฟังคำแนะนำและคำสอนของเทพวารี เทพวารีเป็นหนึ่งในทวยเทพที่วิเศษยิ่ง นับว่าเป็นเทพที่มีทัศนคติที่ดีต่อมนุษย์มากที่สุดองค์หนึ่ง”

“ดังนั้น ในครั้งนี้ ช่วงเวลาที่อาจารย์ของข้าไม่ทราบเป็นตายร้ายดีอย่างไร พวกเขาเลยคิดจะสั่นคลอนขุนเขาหลักสินะ?”

“มิผิด บางครั้งอาจารย์ของเจ้า ก็ใส่ใจความเสียหายที่เกิดขึ้นในแนวหน้ามากเกินไป และนิกายวังสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในนิกายที่ใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นั่นหมายความว่านิกายนับไม่ถ้วนย่อมคล้อยตามแนวทางของอาจารย์เจ้า”

“สำหรับบางการดำรงอยู่ชั้นสูง แรงสะท้อนที่อาจารย์ของเจ้าสร้างจึงก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น…”

มิต้องกล่าวสืบต่อ เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนมากแล้ว

เซี่ยกู่หงส์ไปยังแนวหน้าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ แต่กลับขาดการติดต่อไปอย่างไม่คาดฝัน

ขณะที่ในเวลานี้ ในขุนเขาหลักมีสมาชิกอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น

นี่จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดี!

เพราะหากในกรณีที่สาวกทั้งสามมีปัญหากัน มันอาจจะก่อให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียได้ บางทีในการแข่งขันแย่งตำแหน่งกัน มันอาจถึงขั้นก่อให้เกิดสถานการณ์ร้ายแรงที่ไม่อาจแก้ไขได้ก็ได้ หลังจากที่มีคนเติมเชื้อไฟลงในความปรารถนาอันลึกล้ำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมแผ่กระจายไปตลอดทั้งโลกแห่งการฝึกยุทธในทันที

ถึงเวลานั้น เซี่ยกู่หงส์ย่อมต้องถูกตราหน้าว่า ‘มิอาจขัดเกลาสาวกได้อย่างเหมาะสม’ เป็นแน่

ในฐานะที่เป็นถึงผู้นำนิกาย แต่กลับถูกตีตราว่า ‘มิอาจขัดเกลาสาวกได้อย่างเหมาะสม’ หนทางเดียวต่อจากนั้นคงมิแคล้ว เขาต้องเดินลงจากบัลลังก์ผู้นำเหล่านิกายมนุษย์ที่ตนเคยยืนหยัดอยู่เสมอมา

และต่อให้เขาไม่ยอมลง แต่ทางเทพวิญญาณก็จะมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขาเอื้อมมือไปคว้าจับใบไม้ที่ลอยมาตามลมและฝน

ครึ่งหนึ่งของใบไม้มีสีเหลืองอ่อนและ แต่ขณะเดียวกันอีกครึ่งยังคงเขียวขจี ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันลอยมาจากที่ไหน และจะไปยังที่ใด

แล้วนี่ตัวเขาจักต้องเป็นเหมือนกับมัน ที่ทำได้แค่เพียงถูกบีบบังคับให้ลอยล่องไปตามกระแสลมเช่นนั้นหรือ?

กู่ฉิงซานกางมือออก ปล่อยให้ใบไม้ใบนั้นถูกพัดพาไปตามสายลมแห่งขุนเขา

ในช่วงเวลานี้ ลั่วปิงลี่กล่าวต่อ “ประสงค์ของเทพวิญญาณมิอาจละเมิด พวกเราได้รับคำสั่งนี้ ดังนั้นเราจะต้องคัดคนเพื่อไปฝึกยุทธในพระราชวังเทวะ”

“กู่ฉิงซาน เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งขุนเขาหลัก และทางขุนเขาหลักเอง ไม่ว่าศิษย์คนใดก็ล้วนยอดเยี่ยม อย่างไรเสียก็ต้องจัดการประลองขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นปรมาจารย์ขุนเขาหลายคน คงไปรับชมด้วยตนเอง เจ้าจะต้องคิดหาหนทางออกในครั้งนี้”

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “หากเป็นทางออกของเรื่องนี้ มันย่อมง่ายดายยิ่ง -ข้าขอสละสิทธิ์”

“สละสิทธิ์?”

“ใช่ ก็ในเมื่อขุนเขาหลักมีสมาชิกโดยสิ้นเชิง สามคน แต่ทว่ากลับต้องประลองกันต่อหน้าปรมาจารย์ขุนเขาต่างๆ นี่มันคงจะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไม่น้อย ดังนั้นข้าขอสละสิทธิ์”

“สำหรับการได้ฝึกยุทธและชี้แนะโดยเทพวิญญาณ ...ก็มอบให้หวงซานกับเฉินหยางไป”

ลั่วปิงลี่ตกตะลึง

การตัดสินใจของอีกฝ่าย รวดเร็วกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้นัก

“กู่ฉิงซาน เจ้าต้องทราบนะว่าการที่ได้เทพวิญญาณเป็นผู้ชี้นำ ฝึกยุทธให้เป็นการส่วนตัวมันยอดเยี่ยมขนาดไหน -เจ้าสามารถเรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ และความลี้ลับมากมาย แม้กระทั่งอัตราเร็วในการฝึกยุทธก็ยังพรวดทะยานขึ้น นี่เจ้าไม่รู้สึกเสียดายเลยหรือ?” ลั่วปิงลี่เค้นถาม

“มันไม่เป็นไรหรอก สิทธิ์พวกนี้ปล่อยให้พวกเขาไป อาจารย์ได้ขอให้ข้าสอนเรื่องวินัยให้กับพวกเขา ดังตอนนี้ หากมีเทพวิญญาณคอยรับหน้าที่นั่นแทน ข้าเองก็จะได้ผ่อนคลายมากขึ้น และสามารถมีสมาธิในการฝึกยุทธได้ดีขึ้น ฉะนั้นเรื่องนี้นับว่าได้รับผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงลี่พยักหน้าอย่างช้าๆ

เธอรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริง และหาได้เศร้าเสียใจใดๆ ไม่

กู่ฉิงซานกล่าว “แต่ข้อร้องขอเพียงหนึ่งเดียวของข้าก็คือ ข้าอยากจะให้พวกเขาไปฝึกยุทธกับเทพวารี”

“ข้ายินดีช่วยเหลือ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา”

“ในเมื่อได้แบบนั้น ข้าก็โล่งใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ลั่วปิงลี่มองเขา

ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของนิกาย แต่กลับละทิ้งสิทธิ์ของตน และเปิดโอกาสให้กับสองศิษย์น้อง เพียงเท่านี้เรื่องราวของขุนเขาหลักก็ไม่อาจมีผู้ใดมายุยงได้

“ฉิงซาน เจ้านี่มันเป็นคนดีจริงๆ”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้น “ขอบพระคุณปรมาจารย์ลั่ว ข้าจะขอจดจำเรื่องในวันนี้เอาไว้ แต่ในเมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ข้าคงต้องขอตัวลาก่อน”

แล้วเขาก็หันหลัง เตรียมจะเดินจากไป

ดวงตาของลั่วปิงลี่บังเกิดระลอกคลื่น เร่งถามขึ้นทันใด “กู่ฉิงซาน พวกเราอาจจะไม่ได้มีโอกาสคุยกันแบบนี้อีกแล้วในอนาคต ฉะนั้นข้ามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถามเจ้า”

“เชิญกล่าว”

“เจ้ามีความคิดอย่างไรกับเทพวิญญาณ?”

คำถามนี้ ถือเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดของวันนี้เลย

ก่อนหน้านี้กู่ฉิงซานเคยพูดถึงเทพวิญญาณ แต่ก็ถูกเธอตำหนิไป ดังนั้นอาศัยช่วงเวลาสุดท้าย ลั่วปิงลี่จึงเอ่ยถามกู่ฉิงซานถึงเรื่องของเทพวิญญาณ

กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด

เขามองลงไปยังแม่น้ำ มองข้ามผ่านไปยังขุนเขา และในที่สุดก็ตกลงบนขุนเขาหลัก

นั่นสินะ

ตนเองคิดอย่างไรกับเทพวิญญาณกันแน่?

ช่วงจังหวะนั้นเอง ภาพในอดีตก็เริ่มหลั่งไหลมาในจิตใจของเขา

คำกล่าวของเซี่ยกู่หงส์กังวานขึ้นในหูเขา

“หากวันใดที่นางตื่นขึ้นมา จงบอกนางออกไปแทนข้า ว่าชื่อของนางคือเซี่ยเต๋าหลิง”

แล้วเสียงนี้ก็กระจายออกไป สลับเปลี่ยนเป็นอีกภาพฉากหนึ่งในอดีต

ณ วังร้อยบุปผา

บนบัลลังก์หมื่นบุปผาที่ถูกแกะสลักขึ้นจากหยกวิญญาณ หญิงงามทรงอำนาจเปล่งคำถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “หากยังไม่มีนิกายอื่นใดในใจ...เจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผาหรือไม่?”

ท่ามกลางกระแสลมแรงบนยอดเขา กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มออกมา

“ปรมาจารย์ลั่ว ข้าได้ยินมาว่าทางขุนเขาทำนองเสนาะของท่านครอบครองเครื่องดนตรีที่มีชื่อเสียงมากมาย ฉะนั้น ข้าอยากจะขอขลุ่ยหยกสักชิ้นจะได้หรือไม่?”

ลั่วปิงลี่ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายหยิบเอาขลุ่ยหยกสีม่วงออกมา และมอบมันให้แก่เขา

“ขลุ่ยนี่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันโดยข้า ฉะนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลมันเป็นอย่างดี”

“ขอบพระคุณท่าน”

“...แล้วเจ้าเล่นมันเป็นหรือไม่?”

“เป็นอยู่แล้ว”

กู่ฉิงซานรับขลุ่ยหยกมา หยุดกล่าวคำใด ประกบมันลงบนริมฝีปากของเขา

วู้ม...

ได้ยินแค่เพียงเสียงหนึ่งดังลอดออกมาจากในขลุ่ยหยก ทว่าเสียงนี้กลับแฝงเจตดาบอันอ้างว้างและลึกซึ้ง มันขจรขจายตัดผ่านสายน้ำทั้งเจ็ด

ลั่วปิงลี่พยักหน้าเล็กน้อย เพราะการเอ่ยถึงเทพวิญญาณมันไม่ค่อยจะสะดวกเท่าใดนัก ดังนั้นการใช้เสียงของขลุ่ยแทนที่ความหมายของคำพูดย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า

เธอรับฟังมันอย่างตั้งใจ

เสียงที่ดังออกมาจากขลุ่ยหยก ช่างฟังดูโดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก

ปราณดาบกระเพื่อมไหวไปตามเสียงขลุ่ยที่ดังขึ้น คล้ายกับกระแสน้ำที่ตัดผ่านเมฆหมอกบนยอดเขากระเรียนเทา ทะยานไกลไปสุดขอบฟ้า

แล้วเสียงขลุ่ยก็สิ้นสุดลง

ทันใดนั้น ปราณดาบที่ท่วมทับไปทั่วผืนฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นกระแสลมแรง กวาดข้ามไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก ปัดเป่ามวลเมฆหมอกที่ครอบคลุมท้องฟ้าเสมอมา ปลิดปลิวหายไป

พายุฝนคะนองหยุดตกลง ท้องฟ้าก็พลันกลายเป็นกระจ่าง

แสงแดดสดใสที่แสนจะอบอุ่นค่อยๆ สาดส่องลงมา สะท้อนกับใบหน้าอันงดงามของลั่วปิงลี่

หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ในแววตาบังเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย

ทว่าบัดนี้ ตรงข้ามกับเธอ มันว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอยู่อีกต่อไป…

.......................................