webnovel

0738 เปิดช่องฟ้าสู่ขุนเขา

ตอนที่ 738 เปิดช่องฟ้าสู่ขุนเขา

“มิผิดแล้ว ข้าต้องการเข้าร่วมกับวังสวรรค์เมฆาวิเวก”

กู่ฉิงซานยืนยันอีกครั้ง

แม้จะเป็นเด็ก แต่น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ดังฟังชัด ส่งผลให้ผู้คนทั้งหมดสามารถได้ยินคำกล่าวของเขาทันที

ผู้ฝึกยุทธรับผิดชอบพิธียิ้มและกล่าว “เจ้าเลือกได้ดีทีเดียว วังสวรรค์เมฆาวิเวกคือนิกายอันดับหนึ่งในโลกสวรรค์ ที่ได้รับการดูแลใส่ใจจากเทพวิญญาณอย่างลึกซึ้ง”

เขามองออกไปยังทิศทางหนึ่งและเอ่ยถาม “เช่นนั้นทางวังสวรรค์เมฆาวิเวกมีข้อโต้แย้งอันใดหรือไม่?”

ฝูงชนต่างมองตามไปเป็นสายตาเดียว

ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ชายชราผมขาวผุดลุกขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “เด็กน้อยผู้นี้สามารถดลใจดาบนับพันให้ร่วงหล่นลงมาได้ ชัดเจนว่าเขาย่อมต้องมีหัวใจอันบริสุทธิ์ เป็นผู้มีเจตนาดี เมล็ดพันธุ์ชั้นยอดแห่งวิถีดาบ สรุปแล้วทางวังสวรรค์ของเราย่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ”

ฟุบ!

ดาบยาวเล่มหนึ่งบินเข้ามา และตกลงในมือของกู่ฉิงซาน

ดาบยาวเล่มอื่นๆ คร่ำครวญอย่างไม่ยินยอม สุดท้ายก็จนใจ บินกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า หายเข้าไปในก้อนเมฆหลากสี

ชายชราโบกมือให้กู่ฉิงซาน “มาเถิด เด็กน้อย นับตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าคือสาวกของนิกายวังสวรรค์”

กู่ฉิงซานกุมดาบยาว และเดินไปตามทิศทาง ก่อนจะหยุดลงเบื้องหลังชายชรา

ที่นั่นมีเด็กหลายคนกำลังนั่งอยู่กับพื้น ทั้งหมดต่างเฝ้ามองมาที่เขาด้วยความสนอกสนใจ

เด็กๆ เหล่านี้คือสาวกนิกายหน้าใหม่ ทั้งหมดในรุ่นนี้

กู่ฉิงซานอ้าปากของเขา แต่สุดท้ายหุบลง

เพราะหากนับอายุจริงๆ เขาเป็นลุงแล้ว ทว่าถ้าต้องสนทนากับเด็ก จริงๆ แล้วมันก็ไม่น่าจะมีอะไร

แต่...เขาดันลืมเลือนวิธีการสื่อสารกับเด็กในระดับเดียวกันไปซะแล้วนี่สิ

ต้องทำอย่างไรล่ะ? ให้แสร้งแสดงท่าทีทำตัวน่ารักแบบนี้เหรอ?

เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายส่ายหัวอย่างเงียบๆ

ดังนั้น เจ้าตัวจึงหาพื้นที่โล่งๆ แล้วนั่งลงคนเดียว ไม่พูดไม่จาอะไร

ได้ยินแค่เพียงเสียงสนทนาในหมู่เด็กๆ แว่วเข้ามาในหู

“พี่ใหญ่จ้าว ดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งมากๆ เลย” เสียงที่ฟังดูไม่สบายใจดังขึ้น

“ไม่ต้องหวาดกลัวไป เขาไม่ได้กินคนเป็นอาหารสักหน่อย แต่เจ้าหมอนั่นมันก็น่าหงุดหงิดจริงๆ นั่นแหละ” อีกเสียงหนึ่งกล่าวด้วยความอิจฉา

“โอ…”

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะดูแลเจ้าเอง ไอ้ขี้ขลาดหวงเอ้อหลาง เอ๊ย”

“บิดาได้เปลี่ยนชื่อของข้าแล้ว ยามนี้ข้ามีชื่อเรียกว่าหวงซาน”

“เออ หวงซาน ต่อไปในนิกาย ข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง ใครเข้ามาหาเรื่องก็ให้มาบอกพี่ใหญ่ของเจ้าซะ เข้าใจไหม”

“ขอบพระคุณพี่จ้าว แต่ข้าจะไม่สร้างปัญหาหรอก”

“เจ้าโง่ ตรงกันข้ามเลย พวกเราจำเป็นต้องสร้างปัญหาต่างหาก คนอื่นๆ ถึงจะได้หวาดกลัวพวกเราไง”

“โอ้ โอ้...”

กู่ฉิงซานรับฟัง กะพริบตาปริบๆ

และแล้วแสงอาทิตย์ก็เริ่มลาลับ

พิธีคัดเลือกเข้าสู่นิกายค่อยๆ ยุติลง

อาวุโสของแต่ละนิกายร่ำลากัน ก่อนจะปล่อยเรือเหาะออกมา แล้วกลับไปยังนิกายพร้อมกับสาวกหน้าใหม่

เมื่อเรือเหาะเข้าใกล้อาณาเขตของนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวก เด็กๆ ทุกคนต่างก็เริ่มตื่นเต้น

พวกเขาสามารถมองเห็นพระราชวังบนฟากฟ้า จากพื้นดินเบื้องล่างในระยะไกลออกไป

และวันนี้ พวกเขาจะได้เข้าสู่นิกายที่มีชื่อเสียงแห่งนั้น

กู่ฉิงซานแหงนหน้า มองขึ้นไปบนท้องฟ้า

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ เขากลับเห็นกระแสอีกหลายเส้น นั่นคงมิแคล้วเรือเหาะเช่นกัน บินแล่นเข้ามา แล้วก็ผ่านไปตลอดเวลา

เรือเหาะเหล่านี้เต็มไปด้วยเด็กตัวน้อยมากมาย

กู่ฉิงซานลองนับดูคร่าวๆ เขาค้นพบว่าเรือเหาะมันมีจำนวนรวมกันมากกว่า สองถึงสามร้อยลำ

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจำนวนคร่าวๆ เท่านั้น ในขณะที่กู่ฉิงซานกำลังจะนับใหม่ ก็มีเรือเหาะอื่นขับเพิ่มเข้ามา

ว่ากันว่าวังสวรรค์ อันที่จริงพิถีพิถันนักในการคัดเลือกสาวก ทว่าภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ กลับยังสามารถชักนำสาวกจำนวนมากเข้ามาได้ ดูเหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคนี้ จะอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์อย่างแท้จริง

เรือเหาะแล่นมาถึงหน้าประตูวังสวรรค์ มันก็หยุดนิ่ง ลอยกลางอากาศอย่างเงียบๆ

ผู้อาวุโสบนเรือเหาะ หันกลับมาหาเด็กๆ เอ่ยอธิบายออกไป “ทุกคนจงเตรียมตัวให้พร้อม หลังจากนี้พวกเจ้าจะต้องแยกกลุ่มกันตามประเภทฝึกยุทธ”

“เรียนถามผู้อาวุโส จากนี้ไป พวกเราสามารถฝึกฝนในวังสวรรค์ได้แล้วใช่หรือไม่?” จ้าวควนผุดลุกขึ้น เอ่ยถามอย่างชาญฉลาด

พวกเด็กๆ ต่างก็มองไปยังผู้อาวุโส

อาวุโสที่ยืนอยู่บนเรือ ไม่ทราบคิดสิ่งใด กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วังสวรรค์คือศูนย์กลางนิกาย โดยทั่วไปแล้วมิได้เปิดให้สาวกธรรมดา”

จ้าวควนงง พยายามเอ่ยถาม “เช่นนั้น แล้วพวกเรา…”

อาวุโสกล่าว “มีเรือเหาะอีกหลายลำที่ยังไม่กลับมา พวกเราเฝ้ารอให้เรือทั้งหมดมาถึงก่อนเถอะ แล้วค่อยสนทนากันอีกครั้ง”

จ้าวควนรู้จักกาลเทศะ เขาหุบปากลง แล้วกลับไปสนทนาตามประสาเด็ก

เหล่าเด็กน้อยยังคงนั่งอยู่บนเรือเหาะ แหงนหน้ามองฟากฟ้า

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

บางครั้งคราว เรือเหาะก็บินมาจากในสถานที่ไกลแสนไกล ลอยอยู่กลางอากาศรอบๆ อย่างเงียบๆ เฝ้ารอให้สหายที่ยังมาไม่ถึง

ในช่วงเวลานี้ ค่ำคืนได้มาเยือนแล้ว

ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล ดุจเดียวกับผืนทะเล

สายลมยามค่ำคืนเงียบเหงา ทุกสิ่งราวกับหลับใหล

ในที่สุด กระแสแสงสุดท้ายก็มุ่งมาจากในระยะไกลออกไป

เรือเหาะทุกลำได้มาถึงแล้ว

ชายชราบินขึ้นไปบนอากาศ โค้งกายและกล่าวว่า “รายงานท่านอาจารย์วัง เรือเหาะทั้งหมดได้กลับมาแล้ว คราวนี้ได้สาวกทั้งสิ้นเจ็ดร้อยห้าสิบเก้าคน”

เฝ้ารออยู่สองลมหายใจ

เสียงที่ยิ่งใหญ่ เปี่ยมไปด้วยบารมีก็ดังขึ้นจากในความว่างเปล่า “เบิกช่องฟ้าได้”

“น้อมรับคำสั่งท่านปรมาจารย์วัง” ชายชรากล่าว

บทสนทนาระหว่างทั้งสอง แพร่กระจายไปทั่วในยามค่ำคืน ทุกคนต่างก็ได้ยินมัน

เด็กๆ รับฟัง แต่ทั้งหมดล้วนแสดงออกถึงความสงสัย ว่าคำในประโยคสนทนาของทั้งสอง ที่ว่าเบิกช่องฟ้านั่นหมายถึงอะไร

แต่ไม่นาน พวกเขาก็ได้รับคำตอบ มันคือฉากที่แม้จะได้เห็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต แต่ก็จักไม่มีวันลืมเลือน

บนท้องฟ้า ดวงดาราระยิบระยับพลันแยกย้ายออกจากกัน

ท้องฟ้าสีครึ้มค่อยๆ แยกออกเป็นสองฟากฝั่ง ราวกับม่านการแสดงที่ถูกเปิดออก

เหนือขึ้นไปบนวังสวรรค์ ปรากฏแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน

ในแม่น้ำเต็มไปด้วยกระแสที่ไหลเชี่ยว

และยังมีขุนเขาเขียวขจีหลายแห่ง ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำเหล่านั้น

บนยอดเขา ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก

ภายนอกที่พวกเด็กๆ อยู่ช่างมืดมิด ทว่าภายในกลับสว่างไสวไปด้วยแสงสีขาว

นี่ราวกับภาพฝัน ทว่าเป็นภาพฝันที่สมจริงเกินไป

“นี่น่ะหรือคือ ‘เบิกช่องฟ้า’ …” กู่ฉิงซานรำพึง

ปรากฏว่าเหนือขึ้นไปบนวังสวรรค์เมฆาวิเวก ยังมีโลกอีกใบหนึ่งซ่อนอยู่

มองเข้าไปในโลกที่ว่านั่น เห็นแค่เพียงหญิงงามนางหนึ่งบินลงมาจากยอดเขาอันห่างไกล และร่อนลงบนตีนเขาที่อยู่ใกล้กันกับโลกภายนอก

เธอมองมายังทิศทางโลกภายนอกด้วยรอยยิ้ม ดึงขลุ่ยสีมรกตจากเอว วางประกบมันลงบนริมฝีปาก

บังเกิดช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน

เสียงขลุ่ยเริ่มดังขึ้น

ในขณะนี้ ตลอดทั้งสวรรค์และโลกไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ ได้ยินแค่เพียงเสียงอันไพเราะ

ฝูงชนต่างรับฟังอย่างมึนเมา

แต่แล้วทันใดนั้นเอง เปรี้ยง!

จู่ๆ ก็ปรากฏร่างเงาจำนวนหนึ่งบนเรือเหาะหลายลำ เงาทะมึนเหล่านั้นถูกฉุดลากจนลอยขึ้นด้วยเสียงจากขลุ่ยมรกต

อย่างไรก็ตาม หญิงสาวงดงามยังคงเปล่าขลุ่ยราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราว

สายลมเคลื่อนคล้อยไปพร้อมกันกับเสียงขลุ่ย

ร่างเงาเหล่านั้นพยายามหลบหนี ทว่ากลับค่อยๆ สลายเป็นผง และปลิวหายไปกับสายลม

หลังจากนั้นอีกกว่าหลายสิบลมหายใจ

เสียงขลุ่ยก็หยุดลง

หญิงสาวเก็บขลุ่ยของเธอ และเอ่ยรายงานว่า “ท่านปรมาจารย์วัง ผู้บูชามารบรรพกาลที่ซุ่มซ่อนอยู่ได้ดับสิ้นลงแล้ว”

และเสียงของปรมาจารย์วังก็ดังขึ้นมาจากในความว่างเปล่า “ดีมาก เจ้าถอยกลับไปได้”

หญิงสาวโค้งกายน้อยๆ พอเป็นพิธี แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสง บินกลับเข้าไปในขุนเขาห่างไกลที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก

ฉากนี้ยังคงตรึงอยู่ในจิตใจของเด็กทุกคนเป็นระยะเวลานาน

ในเวลานั้นเอง เรือเหาะที่รอคอยมานาน ก็สามารถบินขึ้นเบื้องบน ผ่านเข้าสู่ช่องฟ้าที่เปิดออกเสียที

เรือเหาะลงจอดในแม่น้ำ และแล่นไปยังเกาะเล็กๆ ตามกระแส

บนเกาะแห่งนี้ว่างเปล่า ทว่ามีสะพานหินชัน ทอดยาวออกจากตัวเกาะ นำไปสู่ขุนเขาต่างๆ ที่แยกกันออกไป

และแน่นอน ว่ามันเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนา ส่งผลให้มองไกลไปได้เพียงครึ่งทางของสะพานหิน ทุกสิ่งอย่างก็จมหายไปในหมอกขาวแล้ว

เด็กทุกคนถูกพาตัวมาลงมาบนเกาะ

การรับสาวกใหม่เป็นเหตุการณ์สำคัญในทุกๆ สามปี ดังนั้นปรมาจารย์ขุนเขาแต่ละคน จึงล้วนมาเฝ้ารอคอยต้อนรับอยู่ที่นี่

แม้กระทั่งปรมาจารย์วังเองก็มาแล้วเช่นกัน

กู่ฉิงซานมองไปทางอีกฝ่าย

เห็นแค่เพียงปรมาจารย์วัง ที่หากเทียบกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาพบเจอแล้ว ปัจจุบันอีกฝ่ายยังดูอ่อนวัยอยู่มาก ผมไม่ได้เป็นสีขาว ทั้งคนทั้งร่างดั่งต้นไม้หยก ให้ความรู้สึกมั่นคง ไม่โอนอ่อนตามแรงลม

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดบุตรสาวของเขาถึงได้งดงามนัก!

ระหว่างขบคิด กู่ฉิงซานก็เบนสายตาตกลงไปข้างกายปรมาจารย์วัง

เขาค้นพบว่ามันมีดาบยาวลอยอยู่ก็จริง แต่นั่นมิใช่ดาบพิภพ

ดูเหมือนว่าในช่วงเวลานี้ ดาบพิภพยังไม่ถือกำเนิดขึ้น

ในเวลานี้ เด็กๆ ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน ส่วนปรมาจารย์วังหันไปมองรอบๆ และโบกมือออกไป

ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก้าวเดินออกมา และยืนอยู่หน้าสะพานหิน

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์เทคนิคมนตราแห่งธาตุทั้งห้า จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาวารีกระจ่าง” เขาตะโกนเสียงดัง

ผู้ฝึกยุทธคนที่สองก้าวออกมายังอีกสะพานหินหนึ่ง เอ่ยปากกล่าว “ผู้ใดได้รับอุปกรณ์วิญญาณ ชุดเกราะ ถุงมือ สนับมือ จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขารุ่งอรุณโบราณ”

แล้วผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ก็เริ่มมาหยุดยืนเบื้องหน้าสะพานหินแต่ละแห่ง เริ่มอธิบายให้เด็กๆ ฟัง

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์มนตรา จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาสดับวิญญาณ”

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์กระบี่ คันธนู ดาบ ไม้พลอง หรืออาวุธอื่นๆ จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาเมฆาพยศ”

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์เครื่องดนตรีต่างๆ จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาทำนองเสนาะ”

“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์ดิสก์ค่ายกล เม็ดยา เตาหลอมโลหะ ค้อนเหล็ก อุปกรณ์ทำครัว จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขากระเรียนเทา”

“เหนือขึ้นไปคือยอดขุนเขาทั้งหก พวกเจ้าทุกคนจะต้องปีนป่ายขึ้นไป แต่ก่อนหน้านั้นจงไปจัดแถวอย่างเป็นระเบียบ ตามอุปกรณ์ที่พวกเจ้าได้รับเสียก่อน”

เมื่อเด็กๆ ได้ฟัง ก็เริ่มปฏิบัติตาม ทุกคนเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าสะพานหิน ตามลำดับ

กู่ฉิงซานเองก็เข้าแถว และมองออกไปนอกเกาะ

นอกเหนือไปจากเกาะเล็กๆ ที่ใช้ขนส่งแห่งนี้แล้ว บนยอดต้นน้ำ มันมีขุนเขาอยู่ทั้งสิ้นเจ็ดลูก

ทว่าที่เหล่าผู้ฝึกยุทธแนะนำกันก่อนหน้านี้ พวกเขาเอ่ยออกมาเพียงหกขุนเขาเท่านั้น ขณะที่ขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่กลับไม่มีใครออกมาให้คำแนะนำใดๆ เลย

เขาจึงหันไปเอ่ยถามอาวุโสที่เป็นคนนำตนเข้ามา

อาวุโสกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขุนเขาที่ใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นขุนเขาของปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวก  ซึ่งมีแค่เพียงปรมาจารย์วังกับศิษย์ของเขาเท่านั้นจึงจะสามารถขึ้นไปได้”

กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปชั่วครู่

วังสวรรค์เมฆาวิเวก…

นอกจากฉันจะเคยขึ้นไปยังวังสวรรค์ด้วยตนเองมาแล้ว ฉันยังได้เข้ามายังนิกายในยุคก่อนที่ยังคงมีผู้นำนิกายอยู่อีก

ท่านอาจารย์เองครั้งหนึ่งก็เคยขึ้นมายังวังสวรรค์ เพื่อทำการศึกษาเทคนิคมนตราเช่นกัน

นอกจากนี้ ปรมาจารย์วังในยุคนี้ ก็ยังเป็นพ่อของท่านอาจารย์

อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงตามการรับสืบทอดมรดก  ปรมาจารย์วังเป็นจ้าวนิกายของคนรุ่นก่อน ไม่ทราบว่ากี่ชั่วอายุคนแล้ว ดังนั้น เขาย่อมสามารถนับถือปรมาจารย์วังในฐานะบรรพบุรุษของตนเองได้

… มันค่อนข้างที่จะซับซ้อนนิดหน่อย

อย่างไรก็ตาม นี่ก็ชัดเจนแล้วว่า เพื่อที่จะเรียนรู้ทักษะขั้นพื้นฐาน การได้เข้ามายังนิกายนี้ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

กู่ฉิงซานพิจารณา สุดท้ายตัดสินใจเดินตรงเข้าหาปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวกโดยตรง

เมื่อเขาเดินไปได้ครึ่งทาง ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดก็ตระหนักถึงการเคลื่อนไหวของเขา

ทว่าปรมาจารย์วังมิได้เอ่ยห้าม ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกยุทธจึงไม่คิดสอดมือหยุดเขา

ไม่นานนัก เด็กๆ คนอื่นๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนี้บ้างแล้วเช่นกัน

ทั้งหมดหยุด และมองไปยังกู่ฉิงซานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

กู่ฉิงซานเดินไปยังเบื้องหน้าปรมาจารย์วัง และโค้งคารวะอย่างนอบน้อม

“เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร?” ปรมาจารย์วังมองเขาและเอ่ยถาม

“ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ของท่านด้วย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง

ปรมาจารย์วังมองเขาอย่างเงียบๆ และจู่ๆ แววตาของเขาก็สะท้อนประกายบางอย่าง

เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ กำลังมีใครบางคนรายงานเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ของกู่ฉิงซาน

ปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่นๆ เองก็ได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาคนแล้วคนเล่าเริ่มเผยให้เห็นถึงความปีติ

มันเป็นเรื่องที่ดี ที่เด็กน้อยผู้นี้กล้าหาญไม่ธรรมดา

แต่ที่ดียิ่งกว่าคือพรสวรรค์ที่แท้จริงของเขา

ทั้งหมดต้องการจะดูว่า ปรมาจารย์วังจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

ปรมาจารย์วังเอ่ยถาม “เหตุใดข้าจักต้องยอมรับเจ้าในฐานะศิษย์ด้วย?”

กู่ฉิงซานกล่าว “เป็นเพราะข้าต้องการที่จะกลายเป็นผู้ฝึกดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธรุ่นนี้”

ปรมาจารย์วัง “ก็แล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับการที่เจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์?”

กู่ฉิงซาน “เพราะข้างกายท่านมีดาบอยู่ ดังนั้นชัดแจ้งว่าเป็นผู้ฝึกดาบ นอกเหนือไปจากนี้ ท่านยังเป็นถึงปรมาจารย์วัง ข้อสรุปจึงง่ายดายยิ่ง ทักษะดาบของท่านย่อมต้องแสนวิเศษ เหนือธรรมดา จึงสามารถเหยียบย่ำทุกผู้คน แล้วขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งนั่นได้”

“ดังนั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด การได้ศึกษาดาบจากท่าน ย่อมเป็นวิธีบรรลุเป้าหมายได้ดีที่สุด”

ปรมาจารย์วังพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกดาบที่แข็งแกร่งที่สุดงั้นหรือ? เหตุใดเป้าหมายของเจ้าจึงมิใช่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเล่า?”

กู่ฉิงซาน “โลกใบนี้กว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุด มีผู้คนโดดเด่นอยู่นับไม่ถ้วน ดังนั้นข้าไม่กล้าคิดเหยียบย่างขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นอันดับแรก”

ปรมาจารย์วังผงกหัวเล็กน้อย เอ่ยถามอีกครั้ง “ทว่าการคิดกับการลงมือทำ นั่นเป็นคนละเรื่อง เส้นทางแห่งผู้ฝึกดาบยากเย็นเหลือแสน หากข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ แต่เจ้ามิอาจบรรลุผลดังหวังได้ นี่มิใช่หมายความว่าคำสอนที่ข้าอุทิศให้เสียเปล่าหรอกหรือ?”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้น “ในภายภาคหน้า หากมีวันใดที่ข้ามิได้เป็นผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่งแห่งนิกาย ในบรรดาผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันอีกต่อไป ข้าจักทำลายฐานวรยุทธ์ตนเอง และหลีกลี้ออกจากนิกาย… ร้องขอฟ้าดินเป็นพยาน!”

เปรี้ยง!

บังเกิดสายฟ้าคะนองลั่น

วิถีสวรรค์ได้ตอบรับคำสาบานของเขาแล้ว!

ทุกผู้คนสีหน้าแปรเปลี่ยนไป

ปรมาจารย์วังเอง ถึงแม้จะเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้น

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงคำสาบานของเด็ก แต่เด็กผู้นี้มีรากวิญญาณอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงสามารถส่งผ่านพลังทางจิตวิญญาณไปยังสวรรค์และโลกได้ ตั้งแต่ที่ยังไม่เริ่มฝึกยุทธ

ส่งผลให้กฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินตอบรับคำสาบานของเขา!

หกปรมาจารย์ขุนเขาต่างมองไปยังกู่ฉิงซาน สีหน้าของพวกเขาเผยถึงความประหลาดใจ

เพราะในการฝึกยุทธในภายภาคหน้า หากเด็กน้อยผู้นี้ไม่สามารถรักษาวิถีดาบในฐานะอันดับหนึ่งเอาไว้ได้ เขาจะต้องสูญสิ้นฐานวรยุทธ์ และถอนตัวออกจากนิกาย กลายเป็นคนพิกลพิการในบัดดล!

วิถีสวรรค์เองก็รับทราบเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นคำสาบานย่อมมิอาจละเมิด ไม่เช่นนั้นโชคชะตาของเขา คงมิแคล้วถูกลงโทษด้วยทัณฑ์สายฟ้า ฟาดผ่าจนจิตวิญญาณหลีกลี้ พลังวิญญาณแตกสลายไป

เด็กคนนี้ ฝืนบังคับตนเองให้ถึงทางตันอย่างกะทันหัน เลือกก้าวเดินในเส้นทางที่มิอาจย้อนกลับ และด้วยจิตแห่งเต๋าที่แสนจะหาได้ยากยิ่งนี้ ปรมาจารย์วังย่อมไม่ควรปฏิเสธ ยิ่งเป็นผู้ฝึกดาบเฉกเช่นเดียวกัน ยิ่งแล้วใหญ่

เป็นครั้งแรกเลยที่ปรมาจารย์วังเพ่งมองกู่ฉิงซาน ตรวจสอบเด็กน้อยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เขาไตร่ตรองและกล่าว “ข้าขอถามเจ้า เหตุใดเจ้าต้องการฝึกฝนทักษะดาบ? เพื่อความโดดเด่น? เพื่อต้องการจักมีชื่อเสียง? เพื่อโค่นล้มมอนสเตอร์จากโลกบรรพกาล? เพื่อแบ่งเบาภาระของเทพวิญญาณ? หรือว่าเพื่อต้องการที่จะเป็นอิสระจากหมู่มวลสวรรค์และโลก ไร้ซึ่งข้อจำกัดข้อผูกมัดใดๆ หรืออันใดกันแน่?”

กู่ฉิงซานเงียบไปหนึ่งลมหายใจ

ในเมื่อตอนนี้เขายังเป็นเด็ก แค่ออกมาพูดคุยกับปรมาจารย์วัง ทุกคนก็ถือว่าฉันมีพรสวรรค์ และจิตแห่งเต๋าอันเลอเลิศแล้ว

ทว่าหากเขาเอ่ยในเชิงลึกเกินไป ผลลัพธ์อาจตรงกันข้าม มันอาจกระตุ้นให้เกิดข้อสงสัยแก่ทุกคนได้

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถโกหกผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งเป็นเลิศได้ หากเกิดความผิดปกติขึ้นแม้เพียงน้อย การรับรู้ทางจิตวิญญาณของพวกเขาก็ย่อมต้องตระหนักได้ในทันที

ดังนั้น คำถามนี้ เขาจะต้องตอบตามความคิดง่ายๆ ง่ายที่สุดที่มันอยู่ในหัวใจของเขา

เมื่อตริตรองถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็โพล่งตอบไปว่า “เพื่อที่ว่าหากบังเกิดความอยุติธรรม ข้าพเจ้าจักชักดาบออกไปฟาดฟันมัน”

สรรพสิ่งโดยรอบพลันเงียบงัน

ปรมาจารย์ขุนเขาต่างสบตากัน แววตาฉายชัดว่าเหนือความคาดหมาย

ปรมาจารย์วังเชิดหน้าขึ้นขบคิดเล็กน้อย ปากเอ่ยวาจาคำหนึ่ง “จงคุกเข่าลง”

กู่ฉิงซานคุกเข่าต่อหน้าเขา น้อมกายโค้งคารวะ “ร้องขอท่านอาจารย์ ได้โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วย”

ปรมาจารย์วังมองเขาและกล่าว “มีเพียงหัวใจอันบริสุทธิ์เท่านั้น จิตแห่งเต๋าจึงจักแข็งแกร่ง เด็กน้อยเช่นเจ้าหาได้ยากเย็นยิ่งนัก วันนี้ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็นจ้าวแห่งเต๋า ลงมือพิฆาตความอยุติธรรมทั้งมวลเพื่อเผ่ามนุษย์”

“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์!”

........................................