webnovel

0732 เทคนิคสนับสนุนชีวิต

ตอนที่ 732 เทคนิคสนับสนุนชีวิต

“ยุคโบราณอันไกลโพ้น? คุณกำลังจะบอกว่าในภาพมายานั่น เป็นผมถูกย้อนเวลากลับไปในสมัยโบราณ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“หากจะกล่าวให้มันถูกต้อง สมควรต้องบอกว่าเป็นอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าการแทรกแซงห้วงกาลเวลาของข้า ก่อให้เกิดฉากบางฉากในห้วงเวลาอันไกลโพ้นขึ้น” ร่างแสงทมิฬกล่าว

เขาถอนหายใจ “เดชะบุญที่มันเป็นเพียงเศษเสี้ยว มิฉะนั้นเกรงว่าเจ้าอาจจะต้องติดอยู่ที่นั่นตลอดไป ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน และไม่สามารถกลับมาหาข้าผ่านการแทรกแซงห้วงมิติเวลาได้อีกเลย”

กู่ฉิงซานขบคิด “ก็แล้วถ้ามันเป็นแค่เศษเสี้ยว งั้นผมจะมีวิธีออกมาจากมันได้อย่างไร?”

“วิธีที่ง่ายที่สุดคือตาย หลังจากเจ้าตายไปแล้ว ข้าย่อมสามารถดึงเจ้ากลับมาได้ตามปกติ”

“แล้วหนทางอื่นล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม

“ไม่มีผู้ใดยินยอมจ่ายอำนาจที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนั้น เพื่อสร้างเศษเสี้ยวห้วงกาลเวลาอย่างไม่มีเหตุผลหรอก ข้าสงสัยว่า หากคิดผ่านด่านมัน อาจจำเป็นต้องตอบสนองต่อเงื่อนไขบางอย่างที่มันตั้งใจ เจ้าจึงจะสามารถออกมาได้” ร่างแสงทมิฬกล่าว

“ตอบสนองต่อเงื่อนไขบางอย่าง? โอเค ผมเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานรับคำ

“นี่เจ้าเข้าใจจริงๆ?” ร่างแสงทมิฬถามย้ำ

“อืม”

ร่างแสงทมิฬ“โลกในอดีตช่างอันตรายเหลือแสน อันที่จริงข้าเองก็เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยบ้างแล้ว”

“วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานยิ้ม “ช่วยส่งผมไปอีกรอบ คราวนี้จะไม่ยอมตายง่ายๆ แน่นอน”

“แล้วคราวนี้เจ้าตั้งใจจะทำสิ่งใด?”

กู่ฉิงซาน “เหตุผลหลักก่อนหน้านี้คือผมไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของห้วงกาลเวลา แถมยังไม่คุ้นเคยกับโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ไหนจะต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์คาดไม่ถึงอีก แต่ตอนนี้ผมกระจ่างเกี่ยวกับสถานการณ์แล้ว ผมจะไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยงง่ายๆ แบบครั้งก่อนๆ อีกแน่นอน”

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

“ในความเป็นจริง ผมควรจะใช้การรับรู้ทางจิตวิญญาณเพื่อตัดสินสภาพแวดล้อมที่ต้องพบเจอ แต่ตอนนี้การรับรู้ทางจิตวิญญาณของผมหายไปชั่วคราว ดังนั้นผมคงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์”

เขากล่าวอย่างจริงจัง “วางใจได้เลย ผมจะไม่ยอมตายโง่ๆ อีกต่อไป”

ร่างแสงทมิฬส่งเสียงชื่นชม “ยอดเยี่ยม งั้นพวกเรามาเริ่มกันอีกครั้ง”

ซุ่ม!

คลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับกู่ฉิงซาน นำพาเขาจมสู่ห้วงกาลเวลา

ท่ามกลางห้วงเวลา กู่ฉิงซานพยายามย้อนกลับไปยังฉากที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอย่างมุ่งมั่น

ทว่าทันใดนั้นเอง ปากขนาดใหญ่ที่มีความกว้างกว่าหลายร้อยเมตรก็ผุดออกมาจากในความมืดมิด

เป็นมอนสเตอร์ในสายหมอกแห่งกาลเวลา!

มันดูดกลืนกู่ฉิงซาน และสิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดทั้งหมดที่อยู่โดยรอบเข้าไปในคราเดียว

วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานกลายเป็นมืดบอด

เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง

ร่างแสงทมิฬยืนอยู่ต่อหน้าเขา

“…” กู่ฉิงซาน

“…” ร่างแสงทมิฬ

“ครั้งนี้ไม่นับ มันเป็นอุบัติเหตุ” กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด

“ลองอีกครั้งไหม?” ร่างแสงทมิฬถาม

“จัดไป!”

ซูม...!

คลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับ

คราวนี้ระหว่างเดินทาง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

เขารับเขาดิสก์ค่ายกลจากอาจารย์ กลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก วาร์ปไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ และสนทนากับเต่ายักษ์

จากนั้น ก็กลับมาปรากฏตัวในเศษเสี้ยวของสมัยโบราณอีกครั้ง

ท่ามกลางบรรดาผู้ฝึกยุทธ ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้น

เห็นแค่เพียงบนผืนดิน คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกยุทธในชุดเกราะ

เบื้องบนท้องฟ้า กระแสแสงลอยผ่านไปผ่านมา

ป้อมปราการกำลังเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกช่างเงียบงัน

มีเพียงเสียงของสายลมที่พัดโชย

จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น

“เตรียมตัว!”

กู่ฉิงซานมองไปตามทิศทางของเสียง แล้วก็พบกับคนที่คาดว่าน่าจะเป็นนายพล

ทั้งร่างของนายพลสวมทับด้วยเกราะรบสีแดงเพลิง ลอยล่องอยู่กลางอากาศ กำลังชักอาวุธออกมา เปล่งวาจาส่งคำสั่งมาทางกลุ่มผู้ฝึกยุทธ

กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจ

ในช่วงเวลาเดียวกัน หัวยักษ์ก็ผุดลงมาจากฟากฟ้า ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วถูกใช้ออกทันใด

ประกายแสงสีขาวกะพริบไหว

ตู้ม!

เสียงระเบิดหนักทึบ ดังแว่วมาจากเบื้องหลังเขา

สายลมแรงพัดกระพือ

ทว่าที่กล่าวมาล้วนไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเขา

เพราะกู่ฉิงซานสามารถหลบมันพ้นตั้งแต่แรก!

เขาหายวับไป โผล่รวมตัวกันกับผู้ฝึกยุทธอีกกลุ่มหนึ่ง ทุกคนต่างชักอาวุธออกมา ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้า ร่างของมอนสเตอร์ปรากฏแก่สายตาของทุกผู้คน

อันที่จริงสมควรกล่าวว่ามิใช่ร่างกาย เพราะตัวมันไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากส่วนหัวและดวงตามากมายที่เบิกกว้าง แต่ละตากำลังยิงลำแสงสีขาวลงใส่กลุ่มของผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนพื้นดิน จนสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่ว

ผู้ฝึกยุทธปิดล้อมมอนสเตอร์ หมายมั่นจะสังหารมันโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความตาย

หลังจากนั้น การต่อสู้รุนแรงและสาหัส ท้ายที่สุดมอนสเตอร์ตนแรกก็ถูกตัดหั่นจนกลายเป็นศพ

ฝนเสือดสาดโปรยปรายลงจากท้องฟ้า

แม้มอนสเตอร์ตนนี้จะทรงประสิทธิภาพ และครอบครองอำนาจโจมตีที่แข็งแกร่ง แต่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธนับไม่ถ้วน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะยืนหยัดได้ไหว

กู่ฉิงซานลอบกรีดร้องอย่างลับๆ

มอนสเตอร์ตนนี้ สามารถใช้พลังทางวิญญาณแห่งแสงได้ในระดับที่เกินกว่าความรู้ความเข้าใจของกู่ฉิงซานไปไกลโข

บนผืนฟ้า หัวที่เต็มไปด้วยดวงตาปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง

บางคนตะโกนขึ้น “‘เนตรมารบรรพกาล’ มาอีกแล้ว ทุกคนเตรียมรับมือ!”

ผู้ฝึกยุทธพากันทะยานเข้าหามอนสเตอร์อีกครั้ง

การต่อสู้ร้อนแรงตั้งแต่แรกเริ่ม

กู่ฉิงซานลอยอยู่กลางอากาศ เฝ้าสังเกตสถานการณ์ในสนามรบเล็กน้อย ยังมิได้เคลื่อนกายไปไหน

อีกอย่าง ความแข็งแกร่งของเขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะเฉียดเข้าไปใกล้มอนสเตอร์ประหลาดบนท้องฟ้าได้

เขาตริตรองกับตัวเองอย่างลับๆ ว่า “ที่แท้มันก็ชื่อ ‘เนตรมารบรรพกาล’ ดูเหมือนว่าเวลานี้จะเป็นช่วงรอยต่อเวลาระหว่างสมัยบรรพกาลกับโบราณอันไกลโพ้น”

แม้สมองจะวางแผน แต่ตัวกู่ฉิงซานมิได้ว่างเว้น เขาหลบหลีกเสาแสงที่สาดเข้าใส่อยู่หลายครั้งหลายครา สุดท้ายตัดสินใจลงมือ สั่งการนึกคิดเทคนิคดาบในจิตใจ

สองดาบพลันผุดออกมาจากในความว่างเปล่า

สองดาบพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้า ดั่งกระแสแสงไล่ตามติดตาม ตรงเข้าหามอนสเตอร์

มันเป็นความจริงที่ว่าพลังโจมตีของเขานั้นอ่อนแอเหลือแสน หากเทียบกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ตัวเขาน่ะครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์!

ตัดขาดการเชื่อมต่อ!

พลังที่มิว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่ได้รับการยกเว้น!!

นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพสงคราม

สิ่งเดียวที่กู่ฉิงซานยังไม่แน่ใจก็คือ เจ้าเนตรมารบรรพกาลนี่มันเป็น ‘สิ่งมีชีวิต’ หรือไม่ก็เท่านั้นเอง

เขาลอบเร้นใช้ออกด้วยเทคนิคดาบอย่างเงียบๆ

เช่าหยินเปิดก่อนเป็นดาบแรก ฟันฉับเข้าลงบนหนึ่งในดวงตาของเนตรมารบรรพกาล

ทันใดนั้นดวงตาขนาดใหญ่ของเนตรมารก็พลันสั่นสะท้าน

มันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ มิอาจเคลื่อนไหว

ผู้ฝึกยุทธน่ะฉกาจในการฉกฉวยเป็นอย่างดี พวกเขาย่อมมิพลาดคว้าโอกาสนั่นไว้ ทุ่มโจมตีเต็มกำลัง

สามวินาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

มอนสเตอร์ส่งเสียงคำรามอีกครั้ง

หลังจากหยุดนิ่งเป็นเวลากว่าสามวินาที การโจมตีทั้งหมดก็มันก็พรั่งพร้อมแล้ว

ท่ามกลางดวงตานับพัน แสงสีขาวกำลังจะถูกปลดปล่อยออกมา

ในพริบตานั้นเอง ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็ลงมือ มันพุ่งทะยาน ทิ่มแทงเข้าไปใส่ตาของเนตรมารบรรพกาล

แสงสีขาวทั้งหมดพลันหายวับไป

ดวงตามารเริ่มกระตุกอีกครั้ง

เวลานี้ ทุกคนต่างทุ่มโจมตีพร้อมกัน

เพราะทุกคนรู้ดีว่า มันคือโอกาสสุดท้ายแล้ว หากตนมิอาจเข่นฆ่ามอนสเตอร์ตนนี้ลงได้ ก็จักกลายเป็นทุกคนเสียเองที่ถูกสังหาร!

ในช่วงวินาทีสุดท้าย

ตูม!

มอนสเตอร์พลันระเบิดกลายเป็นชิ้นเนื้อนับไม่ถ้วน ทั้งเลือดทั้งเนื้อร่วงตกลงจากฟากฟ้า

เนตรมารบรรพกาลตกตายลงแล้ว!

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างส่งเสียงไชโย

กู่ฉิงซานยิ้ม แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

เพราะมอนสเตอร์ตนนี้มิได้ถูกสังหารลงโดยเขา ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่ได้รับแต้มพลังวิญญาณ

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้ พลังของ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ก็เริ่มค่อยๆ แผลงฤทธิ์ออกมา

หลังจากยกระดับไปกว่าสองครั้งจาก ‘สูญสิ้นการควบคุม’ ไป ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ’ มาสู่ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ส่งผลให้ ณ ตอนนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม เทคนิคสนับสนุนชีวิต สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนถูกยกระดับจนสามารถสำแดงให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของมัน

บนท้องฟ้า ร่างที่สวมเกราะแดงเพลิงลดระดับลงมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

เขาคือนายพลแห่งสมรภูมินี้

เป็นผู้รับผิดชอบบัญชาการสงครามตรงหน้า!

“นั่นคือพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าใช่หรือไม่?” นายพลเอ่ยถาม

“ใช่” กู่ฉิงซานยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“มันช่างร้ายกาจ กล่าวตามตรง มีน้อยครั้งนักที่พลังศักดิ์สิทธิ์จะสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตแห่งบรรพกาลได้ หลังจากนี้ไป เจ้าจงใช้ออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ ช่วยเหลือเหล่าสหายต่อกรกับมัน”

“ข้าจะพยายาม” กู่ฉิงซานพยักหน้า

นายพลกวักมือไปทางเบื้องหลัง “ผู้ใดก็ได้ มานี่ที”

ทันใดนั้นผู้ฝึกยุทธสองกลุ่มที่ทรงพลังก็มาตามคำสั่งของเขา

“ฐานวรยุทธ์ของชายหนุ่มผู้นี้ยังไม่ดีพอ พวกเจ้าต้องรับหน้าที่ปกป้องเขา” นายพลกล่าว

“ขอรับ!” ผู้ฝึกยุทธตะโกนเสียงดัง

แล้วพวกเขาก็โอบล้อมกู่ฉิงซาน คอยปกป้องเขาตามคำสั่งของนายพล

นายพลมองกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยิ้มเล็กน้อย

ท่ามกลางสงครามรุนแรงเป็นพิเศษเช่นนี้ นายพลกลับบังเกิดความคิดว่าจักต้องช่วยปกป้องชีวิตของกู่ฉิงซาน

ดังนั้นตอนนี้ ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องมาคอยพะวงอีกต่อไป

เนื่องจากสามารถรับประกันความปลอดภัยของตนเองได้ ดังนั้นเขาย่อมทุ่มเทสมาธิ มีส่วนร่วมในสงครามได้อย่างไม่ลังเล

บนท้องฟ้า สองดาบระเบิดประกายอันแข็งกร้าวออกมาอีกครั้ง

พวกมันโฉบฉวัดเฉวียนระหว่างผืนเมฆ บ้างตวัด บ้างแทงเข้าใส่ดวงตาของเนตรมารบรรพกาลตนอื่นๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อใดก็ตามที่พวกมันสับเข้าใส่ เนตรมารทั้งหมดจักสูญสิ้นความสามารถในการโจมตีไปในทันที

“ทุกคนจงบุกโจมตีตามสองดาบ!” นายพลคำราม

เหล่าผู้ฝึกยุทธได้สังเกตเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเมื่อพวกตนได้รับคำสั่ง ก็ไม่ปล่อยให้มือหรือเท้าตนว่างเว้น ไล่ติดตามสองตามสังหารมอนสเตอร์ที่พวกเขาทำการโจมตีทิ้งไว้ล่วงหน้าทันที

แม้ว่าเนตรมารบรรพกาลจะมีจำนวนมาก แต่มันก็ไม่สามารถหยุดยั้งสถานการณ์ล่าสังหารลงได้

เพียงไม่นาน เนตรมารบรรพกาลทั้งหมดก็ถูกกำจัดออกไป

เหล่าผู้ฝึกยุทธส่งเสียงกระหึ่ม

“อำนาจอันองอาจ!”

“อำนาจอันองอาจ!”

“อำนาจอันองอาจ!”

สงครามในครั้งนี้ ได้รับชัยชนะ!

นายพลทอดถอนหายใจ “เจ้าหนุ่ม พลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าคืออันใดกัน? ใช่แก่นแท้จิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าหรือไม่?”

กู่ฉิงซานตกใจ ปากเอ่ยถาม  “นี่ท่านไม่ทราบ?”

นายพลส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน”

กู่ฉิงซาน “นี่คือธาตุสายฟ้าจากเทคนิคสนับสนุนชีวิต”

นายพลขมวดคิ้ว “ธาตุสายฟ้า? ห้าธาตุแต่เดิมมีเพียง ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน เท่านั้น สายฟ้ามาจากที่ใด ว่าแต่ธาตุสายฟ้าคืออะไร?”

กู่ฉิงซานตะลึง

เขามองหน้านายพล และพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเผยว่ามิได้โกหก

ในยุคโบราณ ไม่มีห้าธาตุจำเพาะอย่างงั้นหรือนี่?

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ท้องฟ้าก็พลันมืดครึ้ม

ใบหน้าของนายพลแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากอ้าคำราม “ทุกคน จงจัดวางค่ายกลป้องกันขนาดยักษ์!”

ด้วยคำสั่งของเขา เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างพร้อมใจกันทิ้งตัวลงจากฟากฟ้า รวมตัวกันตามกลุ่มตน แล้วเริ่มจัดวางค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่

ผู้ฝึกยุทธใจจดใจจ่อ จัดเตรียมค่ายกลป้องกันอย่างเป็นระเบียบ

ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่คอยปกป้องกู่ฉิงซานก็มิได้ล่าถอยจากไป

พวกเขายังคงรายล้อมรอบกู่ฉิงซาน และเริ่มจัดวางค่ายกลป้องกัน

ทันใดนั้นเอง

ฝูงชนก็อดไม่ได้ ต้องเงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่งบนท้องฟ้า

พบว่าผืนฟ้าถูกเปิดออก

ตะวัน จันทรา ดาราและท้องฟ้ามิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป ทว่าท่ามกลางผืนฟ้าอันไกลโพ้น โลกอีกใบกำลังค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาโลกใบนี้

กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นถึงฉากอันคลุมเครือของโลกที่กำลังเคลื่อนมาได้

เขาค้นพบว่ากำลังปรากฏถึงร่างที่แลดูดุร้ายนับไม่ถ้วนจากโลกใบนั้น

เป็นมอนสเตอร์หลากหลายชนิดที่เขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

พวกมันกำลังเฝ้ารอให้ทั้งสองโลกปะทะกัน

เบื้องบนท้องฟ้า นายพลแหกปากคำราม “พวกมันคิดจะเข้าปะทะ นี่ดูท่ามิใช่กลลวง หรือการหยั่งเชิงใดๆ แต่พวกมันตั้งใจที่จะสู้รบขั้นแตกหักกับพวกเรา!”

“ผู้ใดก็ได้ เร่งไปหาเหล่าผู้อาวุโส และเชิญเทพวิญญาณมาระ...”

เสียงยังไม่ทันจะตกลง ผืนดินที่อยู่ห่างไกลออกไปก็พลันเกิดการระเบิด สั่นสะท้านไปทั้งโลกหล้า

เสียงกรีดร้อง สาปส่งอันขมขื่นมากมายดังขึ้น ตลอดทั้งสวรรค์และโลก

จากนั้น พายุเฮอริเคนพลันถูกพัดกวาดจากที่ไกลแสนไกล ระเบิดซากแขน ขา ลำตัว และเลือดเนื้อปลิวว่อนไปทั่วทั้งผืนดิน

เกิดความวุ่นวายขึ้นในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ

กู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความสงสัย

ช่วงจังหวะที่พบว่าสิ่งมีชีวิตบรรพกาลจากอีกโลกหนึ่งกำลังเตรียมปะทะกับโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์อย่างเต็มกำลัง แต่ภายในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ท่ามกลางช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับบังเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น

ในที่สุด ผู้ฝึกยุทธที่ทั้งร่างท่วมไปด้วยเลือดก็ลอยมาจากในสถานที่ห่างไกลออกไป

เขาปาดเลือดและน้ำตาที่กำลังนองหน้า

เกราะรบอันแข็งแกร่งบนร่างถูกทำลายจนสิ้น ครึ่งซีกร่างอยู่ในสภาพดูไม่ได้ เว้นไว้แต่เพียงตำแหน่งหัวใจ

ผู้ฝึกยุทธลอยโซเซมา และเกือบจะทันทีก็ล้มลงกับพื้น

นายพลพุ่งเข้าหาเขาเป็นคนแรก

นายพลช่วยพยุงเขาและเอ่ยถามเสียงดัง “รองนายพลหวัง มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ผู้ฝึกยุทธกล้ำกลืนโลหิตจากปาก พยายามเอ่ยไม่กี่คำ “เทพวิญญาณ”

“เกิดอันใดขึ้นกับเทพวิญญาณ?”

“เทพวิญญาณทรยศพวกเรา! พวกมันหลบหนีไปแล้ว!”

“ว่ากระไร!”

“เทพวิญญาณ…ลอบโจมตีพวกเรา ศูนย์บัญชาการใหญ่ได้ถูกทำลายลงแล้ว”

หลังสิ้นประโยคนี้ ร่างของผู้ฝึกยุทธที่มารายงานก็แข็งทื่อ ลาจากโลกใบนี้ไป

บนผืนแผ่นดินโดยรอบ ทุกคนต่างจมลงสู่ความเงียบงัน

ผู้ฝึกยุทธต่างนิ่งค้าง สักพักหนึ่งยังมิอาจเรียกคืนสติ

ขณะที่เหนือขึ้นไปบนฟากฟ้า อีกโลกหนึ่งกำลังค่อยๆ ใกล้เข้ามาปะทะกับโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้ด้วยความเหม่อลอย

วินาทีต่อไป ทุกสิ่งอย่างก็หายวับราวกับควันไฟ

ก็ฉิงซานค้นพบว่าตนเองได้มาหยั่งเท้าอยู่บนผืนดินที่รกร้างอีกครั้ง

เขากลับออกมาจากเศษเสี้ยวของห้วงกาลเวลาแล้ว

.............................................