webnovel

0655 ผู้หวนคืน

ตอนที่ 655 ผู้หวนคืน

ช่วงเวลาเย็น

ว่าวใบหนึ่งปรากฏขึ้นในนิกายร้อยบุปผา

มันเป็นว่าวที่มีขนาดเดียวกันกับฟูกนอน แขวนอยู่บนฟากฟ้า และแทบจะไม่มีการขยับไหวใดๆ เลย

ต่อให้สายลมยามค่ำจะอ่อนลง หรือท้องฟ้าจะมีฝนปรอยๆ ตกลงมา ทว่าว่าวกลับไม่มีทีท่าว่าจะร่วงหล่นมาเลย

ดูเหมือนว่าว่าวนี้จะขับเคลื่อนด้วยค่ายกลบางอย่าง ส่งผลให้มันไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังงานลมในการลอยตัวแต่อย่างใด

“แบบนี้มันจะดีหรือ?”

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองและเอ่ยถาม

“มันไม่เป็นไรหรอก” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “หากผู้ใดคิดจะฝึกยุทธ์ หนทางที่คนผู้นั้นต้องพบเผชิญย่อมยากลำบากเสมอ หากพวกเราไม่บีบคั้นเขาเช่นนั้น เกรงว่าทั้งชีวิตเขาคงไม่สามารถยกระดับไปได้”

เธอเอ่ยเสริมว่า “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว ก็จงมาเถิด พวกเราจะได้ชิมรสฝีมือของกู่ฉิงซานกันเสียที”

ว่าจบ ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยชามและตะเกียบ

ทุกคนนั่งลงบนโต๊ะอาหาร

นอกไปจากนางเซียนไป่ฮั่วกับห่านขาวแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ้างเป็นครั้งคราว

กู่ฉิงซานมองอาจารย์และห่านขาว ก่อนจะสลับมองศิษย์น้องหญิงทั้งสาม และอดไม่ได้ที่ปรบมือ “มาเถิด ถ้าไม่รีบกินเดี๋ยวมันจะเย็นนะ”

พอถูกเรียกสติ ทุกคนจึงค่อยยกตะเกียบขึ้น

“อ๊า รสชาติดีจัง!”

ซิวซิวที่กัดไปเพียงคำแรก เบิกตากว้าง

“นั่นสิ อาหารวิญญาณของฉิงซานทำออกมาได้ดีทีเดียว” ห่านขาวแสดงความคิดเห็น

ส่วนนางเซียนไป่ฮั่ว เธอลองชิมอาหารไปสองสามอย่าง ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “ฉิงซาน ซิวซิวกำลังเริ่มจะเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อเองก็ผ่านพ้นความเจ็บปวดมามากมาย ฉะนั้นในช่วงนี้ เรื่องจัดการอาหาร ข้าอยากจะขอมอบมันให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ…เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”

“ยินดีขอรับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานกล่าว

“ดีมาก” นางเซียนผุดลุกขึ้น และกล่าว “ฉิงซาน หากนิกายเรากลับมากินอาหารได้อย่างอิ่มเอมอีกครั้ง ข้าก็รู้สึกโล่งใจแล้ว เจ้าค่อยๆ กินมันไปเถิด”

“อ้าว? อาจารย์ทานพอแล้วหรือ?” ซิวซิวที่กำลังขมุบขมิบปากเอ่ยถาม

“พอดีว่ามีกลุ่มคนจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์มาเยือนน่ะ” นางเซียนอธิบาย

กู่ฉิงซานยืนขึ้น เขาเอ่ยปากขอ “อาจารย์ ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“อย่าได้กังวลไป เพราะในเวลานี้ทุกคนที่มาเยือน ต่างก็ล้วนเป็นผู้ให้การสนับสนุนข้า การมาในครั้งนี้คาดว่าพวกเขาคงได้ทราบข่าวเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้ว จึงเร่งตรงมาที่นี่”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นอาจารย์จะให้ข้าทอดอาหารสักสองสามจาน แล้วเชิญพวกเขามารับประทานร่วมกันด้วยหรือไม่?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพวกเขาหรอก เอาไว้หลังจากที่ข้าตกลงกับพวกเขาแล้วจะรีบกลับมา เพราะข้าเองก็ยังมิได้ตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของโลกใบนี้เลย”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็พยักหน้า

ในพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ แม้ว่าท่านอาจารย์จะได้รับตำแหน่งผู้นำ แต่มันก็แค่ในนามเท่านั้น ยังมีผู้คนอีกส่วนหนึ่งที่คิดว่านางยังไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม เวลานี้สถานการณ์มันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

กลุ่มคนที่ต่อต้านนางในพันธมิตร ทั้งหมดได้หายไป

ไม่ว่าอาจารย์จะคิดครอบครองทั้งพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ หรือออกจากพันธมิตรไป ตัวเลือกใดก็ล้วนจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวเลือกนี้มันจะเกี่ยวพันธกับอนาคตของโลกเทวะโดยตรง

แม้ว่านี่จะเป็นการตัดสินใจของนางเซียนไป่ฮั่ว แต่กู่ฉิงซานเองก็ยังระมัดระวัง และเริ่มคิดถึงข้อได้ข้อเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา

ระหว่างขบคิด นางเซียนก็เอ่ยปาก “ฉิงซาน หลังจากนี้พวกเราจะกลับมาสนทนาในเรื่องนี้กันอีกครั้ง”

“ขอรับ” กู่ฉิงซานรับคำ

ฉินรั่วกล่าวด้วยความกังวล “ท่านอาจารย์ แต่ท่านเพิ่งจะกินไปนิดเดียวเองนะ รองท้องสักหน่อยก่อนไปไม่ได้เลยหรือ?”

นางเซียนไป่ฮั่วยิ้ม

ฉินรั่วน่ะเป็นคนที่รอบคอบและห่วงใยผู้อื่นมากที่สุด หากมิได้เข้าร่วมกับนิกายช้าเกินไป นางคงจะได้รับตำแหน่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ไปแล้ว

“ช่างมันเถิด หากปล่อยให้พวกเขารอมันคงไม่ดี ขอข้าไปหยั่งเชิงทัศนคติของพวกเขาก่อน”

“และด้วยฐานวรยุทธ์ของข้า ทำให้ข้าสามารถดูดซับแก่นแท้ของกฏเกณฑ์แห่งฟ้าดินได้ ดังนั้นอาหารมันไม่จำเป็นสำหรับข้าอีกต่อไปแล้ว”

นางเซียนกล่าวด้วยความเคารพลึก

ร่างกายของนางวูบไหว และหายไปจากโต๊ะอาหาร

บรรดาหญิงสาวพอได้ฟัง ต่างก็ระเบิดเสียงชวนหลงใหลขึ้นมา

“อืม ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ถึงจะสามารถไปถึงจุดนั้นได้” ว่านเอ๋อถอนหายใจ

“พวกเรามาเริ่มฝึกหนักกันดีกว่า เพื่อที่ว่าวันหนึ่งจะได้กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งดั่งเช่นท่านอาจารย์” ฉินรั่วสนับสนุน

ซิวซิวสูดหายใจและกล่าว “อาจารย์ไม่กินอาหารมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตข้าคงไม่สามารถไปยืนหยัดอยู่ในระดับเดียวกับนางได้”

กู่ฉิงซานนั่งฟังบทสนทนาของทั้งสามสาว เขาอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปมองห่านขาว

เวลานี้ หัวของห่านขาวฝังลึกอยู่ในเข่งเกี๊ยวกุ้ง มันกำลังเพลิดเพลินไปกับเนื้อกุ้งหนึบหนับแสนอร่อย

กู่ฉิงซานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก “เอาเถิด ท่านอาจารย์ใช่คนธรรมดาเสียที่ไหนกัน พวกเจ้าจะนำตนเองไปเทียบเปรียบ มันคงไม่เหมาะหรอก”

ว่าแล้วเขาก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารให้กับแต่ละคน

อาหารที่แตกต่างกันในแต่ละจานเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกนางชื่นชอบ

ด้วยเหตุนี้เอง สาวกคนอื่นๆ ของนิกายร้อยบุปผาจึงหุบปากลง และเริ่มขยับตะเกียบอีกครั้ง

ระหว่างรับประทาน พวกนางก็เริ่มเปิดประเด็นสนทนาอยู่สองสามครั้ง มีบ้างเหมือนกันที่เอ่ยถามถึงเรื่องการฝึกยุทธ์ของห่านขาว

ทุกคนต่างสนทนากันอย่างสนุกสนาน

...เว้นไว้แต่เพียงฉินเซี่ยวโหลวที่นั่งอยู่บนว่าว

โดยที่ไม่ว่าเจ้าตัวจะชอบหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากต้องนั่งบนว่าว และหลับตาฝึกยุทธ์ต่อไป

จนกว่าจะสามารถตัดผ่านก่อกำเนิด และขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพ เขาจึงจะสามารถกลับลงมาบนพื้นดินได้

หลังมื้ออาหารเย็น กู่ฉิงซานก็เก็บจานชาม และเริ่มทำความสะอาดมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกตะกร้าขึ้นจากบ่อแช่แข็ง และวางผลไม้ที่อุณหภูมิเย็นได้ที่ลงบนโต๊ะ

ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างเริ่มปอกเปลือก และลงมือกินผลไม้ ขณะเดียวกันก็เริ่มพูดคุยกันต่อ

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อเอ่ยขอคำแนะนำจากห่านขาว เพื่อต้องการที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการฝึกยุทธ์

ขณะที่ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขากำลังช่วยซิวซิวปอกเมลอนและแตงโม

ผ่านไปไม่นาน นางเซียนไป่ฮั่วก็กลับมาอีกครั้ง

มองไปยังรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถาม “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถออกจากกลุ่มพันธมิตรได้อีกต่อไปแล้ว” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะยามนี้ ทุกคนต่างก็ให้การสนับสนุนข้าในฐานะผู้นำ และหน่วยงานที่รับผิดชอบของพันธมิตรก็อยู่ทางฝั่งข้า”

“ข่าวแพร่กระจายไปเร็วจริงๆ” กู่ฉิงซานหัวเราะ

“ถูกต้อง พวกเขาไม่น่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แท้ๆ แต่กลับสามารถรับข่าวมาได้ และเร่งมาหาข้าเป็นกลุ่มแรก”

“อาจารย์ ศิษย์พี่ นี่พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่หรือ?” ซิวซิวทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานลูบหัวเธอและกล่าว “เรื่องขีดจำกัดการผสานรวมโลกน่ะ”

“อ้อจริงสิ” นางเซียนไป่ฮั่วอุทาน “เรื่องขีดจำกัดทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตร มันได้ถูกโอนมาอยู่ในมือข้าแล้วนะ”

ว่าจบ เธอก็หยิบตราเล็กๆ ที่เหมือนกันกับของแปดอาวุโสออกมา ทว่าตรานี้ดูดีๆ แล้วเหมือนจะประณีตยิ่งกว่า

“นี่คือตราที่ทางคณะตุลาการโลกส่งมา พวกเขาส่งตรงถึงมือข้า แถมยังแนบเอกสารที่ประทับตราจากทางประธานคณะตุลาการโลก และถูกลงนามโดยจ้าววงการเฉินหยางมาอีกด้วย”

“ด้วยสองสิ่งนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้คนในพันธมิตรหวาดกลัว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ไม่ใช่กลัวธรรมดา แต่กลัวมากเลยล่ะ” นางเซียนเผยยิ้ม ยิ้มแบบยิ้มจริงๆ อันหาได้ยากยิ่ง

“เนื่องจากผลลัพธ์มันปรากฏมาในรูปแบบนี้ ในเมื่ออำนาจได้มาอยู่ในมือของอาจารย์แล้ว ท่านเลยไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนที่จะโยนตำแหน่งผู้นำทิ้งไปใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานกล่าว

นางเซียน “ข้าก็คิดเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยตำแหน่งผู้นำพันธมิตรในตอนนี้ อย่างน้อยข้าเองก็ไม่ต้องไปร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีกครั้ง เพื่อแลกกับจำนวนขีดจำกัดผสานโลก”

เธอมองมายังกู่ฉิงซานและเอ่ยถาม “แล้วเจ้าเล่า? เมื่อครั้งที่เจ้าไปยังโลกล่องเวหา ข้าได้ยินฉินรั่วกับว่านเอ๋อกล่าวว่า...”

“เจ้าสามารถใช้ออกด้วยกลอุบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ สังหารผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลมปรารณจิตลงได้ นี่มันเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ แต่มันก็ทำให้ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”

“แต่เรื่องราวหลังจากนั้นเล่า? มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าได้ผ่านพ้นประสบการณ์แบบใดมา?”

เมื่อนางเซียนไป่ฮั่วกล่าวถึงจุดนี้ ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็พากันเงี่ยหูตั้งใจฟัง

เพราะท้ายที่สุดนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับกู่ฉิงซานที่จะกลับมาได้อย่างปลอดภัย แล้วที่สำคัญก็คือ เขายังได้เป็นสหายกับตัวตนดั่งเช่นเฉินหยางอีก ดังนั้นทุกนางในที่นี้จึงอยากจะรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาเป็นธรรมดา

กู่ฉิงซานขบคิดเล็กน้อยและกล่าว “ข้าร้องขอให้ท่านอาจารย์นำเซี่ยวโหลวลงมาก่อนจะได้หรือไม่ ข้าคิดว่าบางเรื่อง หากเขาได้รับฟังด้วยมันก็คงจะดี”

“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรือ?”

“ขอรับ”

นางเซียนไป่ฮั่ววาดมือ แล้วว่าวก็ค่อยๆ ลดระดับลงมา

ฉินเซี่ยวโหลวที่นั่งอยู่บนว่าวยังคงแสร้งทำเป็นอยู่ในสภาวะสมาธิ

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะศิษย์พี่สอง เรื่องราวจากนี้ไปข้าขอให้ท่านตั้งใจฟังให้ดี ข้าคิดว่าเรื่องจากนี้ไปมันจำเป็นที่จะต้องบอกแก่ทุกคน เพื่อให้พวกเราคนในนิกายเข้าใจตรงกัน”

ฉินเซี่ยวโหลวลืมตา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความผิดหวัง “ข้าก็หลงคิดว่าเจ้าหว่านล้อมอาจารย์ ช่วยให้ข้าลงมาได้แล้วสัยอีก”

เมื่อเขาเปิดปากพูด สายตาดุร้ายของนางเซียนก็กวาดไปทันที จนเจ้าตัวรีบหุบปากลงอย่างรวดเร็ว

แล้วกู่ฉิงซานก็เริ่มบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

นับตั้งแต่ที่สองสาวจากเขาไปในโลกล่องเวหา เขาก็ได้ใช้วิชาลี้ลับที่ตนครอบครอง ต่อกรกับวิชาลี้ลับของสตรีแห่งรากษส จนคว้าชัยชนะมาได้

ถึงเวลานั้นจิ้งจอกขาวจึงค่อยปรากฏตัวขึ้น ทว่าสุดท้ายก็ถูกเสี่ยวถายที่เปลี่ยนรูปเป็นมารสังหารลง

และมารโลกาก็คือลูกของเสี่ยวถาย

ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในโลกล่องเวหาถูกเปิดเผย

เมื่อเล่ามาจุดนี้ ก็บังเกิดบรรยากาศที่ชวนให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดขึ้น

มันไม่มีใครสนใจในส่วนของเรื่องที่โลกล่องเวหาถูกทำลายลงหรอก แต่ทุกคนต่างถอนหายใจกับเรื่องน่าเศร้าที่เสี่ยวถายต้องเผชิญต่างหาก

จากนั้น กู่ฉิงซานก็บอกเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกมิติอนันต์ สถานที่ซึ่งตนเองได้ไปรู้จักกับแบรี่และเสี่ยวเหมียว

จากนั้นก็ในส่วนของการเรียกขานของวิหคหนาม

การทรยศของทริสเต้ เจ้าหญิงหนาม

ระบบของราชามารที่หมายจะวิวัฒนาการขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การรวมตัวกันของผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคน

ยอดภูเขาน้ำแข็งของเหล่าทวยเทพ

โลกใต้ดินที่ถูกทิ้ง

การสูญพันธุ์ของสายพันธุ์เทพ ที่ถูกมารสวรรค์ทางฝั่งระบบของราชามารจ้างวานมาเป็นคนลงมือ

ตามต่อด้วยตนเองและมารสวรรค์ฝั่งตนที่ทำการแลกเปลี่ยนกัน

เรื่องราวยามเมื่อเกิดโทษทัณฑ์จากสายลมและสายฟ้าขึ้น

การเผชิญหน้าระหว่างระบบของราชามาร และระบบของเทพสวรรค์

กู่ฉิงซานเล่าทุกอย่างในไม่กี่ลมหายใจ ขณะเดียวกันทุกคนที่กำลังตั้งใจฟัง บางครั้งก็ถึงขั้นลืมหายใจ และรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา

จนกระทั่งกู่ฉิงซานอธิบายถึงโลกเดิมของเขา

“ดูเหมือนว่าข้าจะสามารถเดินทางไปมาระหว่างโลกใบนี้ กับโลกเดิมได้ นั่นจึงหมายความว่าข้าเป็นคนของทั้งสองโลก” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ควรบอกเรื่องนี้ให้แก่คนอื่นฟังอีก และพวกเจ้าทุกคนก็เหมือนกัน จงอย่าได้แพร่งพรายความลับอันยิ่งใหญ่นี้ของกู่ฉิงซานออกไป” นางเซียนกล่าวกับสาวกของเธอ

ทั้งหมดต่างพยักหน้ารับ

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ กู่ฉิงซานก็บังเกิดความตกใจ

ตอนแรกเขามาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเขา และตนคิดว่าการที่เอ่ยมันออกมาตามตรงจะเป็นการทำให้ท่านอาจารย์เกิดความสงสัยเสียอีก แต่ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นนี้

นางเซียนไป่ฮั่วเมื่อเห็นถึงการแสดงออกของกู่ฉิงซาน ก็เอ่ยปากอย่างจริงจัง “เจ้าทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่อง ‘ผู้หวนคืน’ หรือไม่?”

“ผู้หวนคืน?”

“ใช่ แท้จริงแล้วโลกของพวกเรา เดิมทีมันมีความลับ…” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน “ช่างมันเถิด หากเจ้าทราบถึงเรื่องนี้ไป มันจะไม่เป็นการดี เอาไว้เมื่อเจ้ามีกำลังที่สามารถแบกรับมันได้มากพอ ข้าจะบอกมันแก่เจ้าอีกครั้ง”

เธอหันไปบอกกับทุกคน “วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ พวกเจ้าทุกคนจงกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“วังหลานเฉาทำความสะอาดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ฉิงซาน เจ้าเองก็ไม่ได้กลับมานานแล้ว จงไปพักผ่อนที่นั่นเถอะ เอาไว้วันพรุ่งนี้ข้าจะมาสนทนากับเจ้าอีกครั้ง”

“ส่วนฉินโหลว เจ้าจงอยู่บนว่าวต่อไป จนกว่าจะตัดผ่านไปยังก้าวสู่เทพ ห้ามลงมาโดยเด็ดขาด”

“ทุกคน แยกย้ายได้”

ด้วยคำสั่งของนางเซียน ทุกคนแม้ว่าจะยังคุยกันได้ไม่เต็มอิ่ม แต่ก็ต้องแยกย้ายกันไป

เหลือเพียงกู่ฉิงซานเป็นคนสุดท้าย

นางเซียนไป่ฮั่วมองมาที่เขา

“ข้าขอเวลาสักสองสามลมหายใจ เพื่อไปกระตุ้นแรงใจแก่ศิษย์พี่สองสักเล็กๆ น้อยๆ จะได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

นางเซียนพยักหน้า และหันหลังจากไป

เฝ้ารอจนกระทั่งทั่งทุกคนออกไปกันหมดแล้ว กู่ฉิงซานจึงค่อยบินขึ้นไปบนฟ้า มาหยุดอยู่เบื้องหน้าฉินเซี่ยวโหลว

ฉินเซี่ยวโหลวเผยถึงสีหน้าเปี่ยมสุข “ศิษย์น้อง เจ้าได้เก็บสุรากับของคาวไว้ให้ข้าใช่หรือไม่?”

“ไม่ แต่ข้ามีบางอย่างจะพูดกับเจ้า”

“เรื่องอะไรหรือ?”

“ศิษย์พี่สอง ท่านทราบถึงประวัติความเป็นมาของฉินรั่วกับหว่านเอ๋อหรือไม่?”

“ไม่ค่อยกระจ่างเท่าใดนัก” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว “แต่ท่านอาจารย์เล่าว่าพวกนางเป็นคนที่น่าสงสาร”

กู่ฉิงซานบอกถึงรายละเอียด “ฉินรั่ว นางคือผู้ที่จะกลายมาเป็นเสาหลักของโลกในรุ่นต่อไป นางเริ่มต้นฝึกยุทธ์ตั้งแต่อายุสามขวบ และหลังจากฟันฝ่ามายาวนานกว่ายี่สิบเจ็ดปี วันหนึ่ง ในที่สุดนางก็สามารถตัดผ่านขึ้นมาเป็นขอบเขตพันวิบัติจนได้ กลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์อายุน้อยที่โดดเด่นที่สุดในโลก”

“ส่วนว่านเอ๋อ นางคือบุตรสาวของผู้นำนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แม้จะครอบครองสถานะที่สูงศักดิ์ถึงปานนั้น นางก็มิเคยหย่อนยานที่จะฝึกฝน เนื่องด้วยคุณสมบัติในด้านนี้ของตนไม่สู้ดี นางจึงต้องพยายามยิ่งกว่าผู้อื่นมากมายนัก หลายครั้งหลายหนที่ต้องหยั่งเท้าอยู่บนขอบเหวแห่งความตาย แต่ก็ยังเลือกที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดเกรง จนสุดท้ายจึงตัดผ่านมาในระดับที่สูงขึ้นได้ในที่สุด”

“อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสองจะเพียรพยายามอย่างหนัก แต่ก็ยังถูกรุกรานจากผู้คนในโลกอื่น ทุกคนในครอบครัว กระทั่งคนรักต่างก็ตกตาย ไม่ก็ถูกจับไปเป็นทาส”

“เห็นได้ชัดว่าแม้จักทุ่มเทอย่างหนัก แต่ในที่สุดผลลัพธ์มันกลับช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ศิษย์พี่คิดว่าตรงจุดนี้ มีส่วนใดกันที่ผิดพลั้งไป?”

ฉินเซี่ยวโหลวอึ้ง

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “คราวนี้มากล่าวกันถึงเรื่องของท่านอาจารย์เรากัน อาจารย์เองก็ไม่คาดคิดเลยว่าการผสานรวมโลกจะมีอันตรายถึงเพียงนี้ แม้ท่านจะหมั่นเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ แต่ท้ายที่สุดก็เกิดสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดาขึ้น โดยผลพวงของมันคือจักต้องถูกลบล้างตัวตนออกไป”

“นางจึงจำต้องเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ต้องออกไปต่อกรกับกองทัพมารทั้งวันคืน เพื่อรักษาชีวิตตนและโลกใบนี้ให้คงอยู่ต่อไป”

“แต่ก็ยังมีคนแอบลักลอบเข้ามาในโลกของพวกเรา พยายามที่จะลักพาตัวซิวซิว เพื่อหมายจะควบคุมท่านอาจารย์ของพวกเรา”

“ทุกคนต่างก็ทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อป้องกันทุกชนิดของหายนะที่เข้ามาย่างกรายอย่างไม่หยุดหย่อน และเพื่อที่จะไม่ให้คนของตัวเองตกอยู่ในอันตราย”

“ศิษย์พี่ ท่านสามารถทำเป็นเล่นต่อไปก็ได้”

“แต่เมื่อท่านมองดูผู้คนรอบกาย ท่านเห็นผู้ใดพร่ำบ่นเรื่องความยากลำบากของตนหรือไม่”

“ช่วงเวลารับประทานอาหารเมื่อครู่ ฉินรั่วและว่านเอ๋อก็ยังต้องการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เอ่ยถามปัญหาฝึกยุทธ์ที่ตนติดขัดจากศิษย์พี่ใหญ่”

“พวกนางแม้จักสูญเสียทุกสิ่งอย่างไปแล้ว แต่ก็ยังเลือกที่จะต่อสู้ดิ้นรน เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดพวกนางถึงทำเช่นนั้น?”

“ดูท่านอาจารย์ของพวกเราสิ แม้อาหารจะอยู่ตรงหน้า แต่ท่านก็ยังต้องปลีกตัวออกไปจัดการธุระกับโลกภายนอก”

“การที่นางทุ่มเทลำบากเช่นนี้ มันเพื่อใครกัน?”

ฉินเซี่ยวโหลวนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

“ศิษย์พี่นั่นมีศักดิ์สูงกว่าข้าที่เป็นศิษย์น้อง ข้าจึงทำได้เพียงเน้นยำถึงสิ่งที่ศิษย์พี่ควรให้ความสำคัญ นอกไปจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดให้พูดอีก”

“สุดท้ายแล้วนะศิษย์พี่ ข้าแค่อยากจะถามท่านสักเรื่องหนึ่ง”

“จงถามมา”

กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ยามเมื่อซิวซิวเกือบจะถูกจับตัวไป หากไม่มีฉินรั่วและว่านเอ๋อ ท่านจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรกัน?”

ฉินเซี่ยวโหลวอ้าปาก แต่กลับพบว่าตนมิอาจเอ่ยคำใดออกมาได้

“หากเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ด้วยอุปนิสัยของท่านอาจารย์ แน่นอนว่าย่อมจะต้องบุกไปลงมือกับคนเหล่านั้นอย่างเต็มกำลัง แม้ว่าจักต้องพินาศสิ้นไปด้วยกันก็ตาม”

กู่ฉิงซานถามต่อ “แล้วหากอาจารย์เสียชีวิต ซิวซิวก็คงสิ้นใจลงด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นแบบนั้นเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ในทุกๆ วันอีกหรือ?”

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ไม่สนใจฉินเซี่ยวโหลวที่บัดนี้นิ่งงันราวกับไม้สลักอีกต่อไป และบินกลับลงไปยังวังร้อยบุปผา

.....................................