ตอนที่ 635 ปลดปล่อยจิตวิญญาณ
ภายในโลกเดิม
ณ ขั้วโลกเหนือ
หลี่อันกำลังบอกเล่าเรื่องราวของโลกเทวะให้แก่กู่ฉิงซานอย่างละเอียด
“เช่นนั้นก็หมายความว่า ตอนนี้อาจารย์ข้าได้กลายเป็นผู้นำแห่งพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ไปแล้วใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ถูกเผง” หลี่อันตอบ
“ฟังดูไม่เลวเลยนี่นา” กู่ฉิงซานสรรเสริญ
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“อะไร? หรือว่าจะมีเหตุผลอะไรซ่อนเร้นอยู่อีก?”
“พวกเราได้ยินข่าวคราวของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์จากกษัตริย์ปีศาจหลากหลายตนในโลกมารดึกดำบรรพ์มาแล้ว และได้รับข้อมูลมาว่าทางฝั่งพันธมิตรกำลังประสบการณ์กับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง มีผู้นำอยู่หลายคนทีเดียว ที่ตกตายลงในสงคราม”
รอยยิ้มแย้มบนใบหน้าของกู่ฉิงซานค่อยๆ จางหายไป
ทว่ารำพึงเพียงชั่วครู่ เขาก็เอ่ยออกมา “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่สิ่งหนึ่ง อาจารย์ข้าน่ะเป็นคนที่ฉลาดมาก ดังนั้นท่านย่อมจะต้องไม่ยอมปลงใจที่จะเข้ารับตำแหน่งที่อันตรายแบบนั้นเป็นแน่”
“ไม่หรอก นางไม่มีทางเลือก”
“เพราะอะไร?”
“เพราะในความเป็นจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ อาจารย์ของเจ้าได้ทำการผสานรวมไปกว่า ห้าโลก”
“ว่าไงนะ!” กู่ฉิงซานอุทานเสียงแหบแห้ง
หลี่อันพยักหน้าและกล่าว “หากอิงตามโลกหกวิถีของนาง และโลกหกวิถีของโลกเทวะ ซึ่งโดยสิ้นเชิงแล้วมี สิบเอ็ดโลก โดยรวมนางได้ผสานพวกมันเข้าด้วยกันทั้งสิ้น หกโลกแล้ว”
กู่ฉิงซานตกตะลึง เร่งเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “แล้วเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้นบ้างรึเปล่า? ปฏิกิริยาของสิ่งมีชีวิตในโลกหกวิถีตอบสนองเป็นอย่างไรบ้าง?”
สีหน้าของหลี่อันดูซับซ้อน เธอส่ายหัวและกล่าว “ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด”
เธออธิบายเพิ่มเติม “ในบรรดาหกวิถีของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ โลกสวรรค์นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงเหลืออยู่เพียง ห้าโลกเท่านั้น”
“ขณะเดียวกันในบรรดาหกวิถีของโลกเทวะ โลกมนุษย์ โลกผีร้าย โลกอาชูร่า โลกสวรรค์ และโลกจ้าวอสูร ล้วนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย เฉพาะเพียงในปรภพเท่านั้นที่มีคนตายกว่า ล้านล้านคนกำลังทนทุกข์จากการถูกทรมานตลอดทั้งวันคืน มิอาจหลุดพ้นออกมาได้”
“และอาจารย์ของเจ้าได้ทำการเลือกผสานรวมหกวิถีของโลกเทวะ อันได้แก่ โลกผีร้าย โลกอาชูร่า โลกสวรรค์ โลกจ้าวอสูร และรวมไปถึงตัวโลกเทวะเองเข้าด้วยกัน ทั้งหมดห้าโลก ผสานรวมเข้ากับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ รวมเป็นทั้งสิ้นหกโลก”
“ส่วนเหตุผลที่นางเลือกทำการผสานรวมหกวิถีแต่ทางฝั่งของโลกเทวะ ละความคิดที่จะผสานรวมหกวิถีทางฝั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ไปโดยสมบูรณ์นั้น ทั้งหมดก็เพื่อมิให้เกิดสงคราม หรือความสูญเสียใดๆ ขึ้นนั่นเอง”
เสี่ยวเหมียวแทรกขึ้นมา “แต่โลกหกวิถีคือวัฏจักรปิด สิ่งมีชีวิตสมควรที่จะเกิดใหม่ กระจายไปในโลกต่างๆ สิ แล้วเพราะอะไรกัน ทำไมในโลกอื่นๆ ถึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย?”
แบรี่ลองตริตรอง แต่แล้วก็ส่ายหัวและกล่าว “นี่มันไม่สมเหตุสมผล ฉันไม่รู้เลยว่าจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร”
กู่ฉิงซานยังคงเงียบ
เกี่ยวกับความลับสุดยอดของโลกหกวิถี เขาไม่ยินดีที่จะพูดสิ่งใดออกไปต่อหน้าฝูงชน
บางทีเมื่อช่วงที่หกวิถีพังทลายลง มันอาจส่งผลให้เศษเสี้ยวหกวิถีของโลกเทวะได้รับผลกระทบบางอย่างก็ได้
ส่วนหกวิถีของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์เองก็เหมือนกัน ที่หลงเหลืออยู่เพียงห้าโลก โดยไร้ซึ่งวี่แววของโลกสวรรค์ในสถานที่แห่งนั้น
มันอาจกล่าวได้ว่าโลกสวรรค์คงจะถูกทำลายลงเมื่อหกวิถีที่แท้จริงเกิดการพังทลายลงใช่หรือไม่?
หลี่อันส่ายหัวให้เสี่ยวเหมียว แสดงท่าทีว่าเธอเองก็ไม่ทราบถึงคำตอบเช่นกัน
เธอกล่าวต่อ “แต่หลังจากที่ทำการผสานโลกไปหลายใบ แหล่งกำเนิดกฎเกณฑ์ของโลกก็มีอำนาจเพิ่มมากขึ้นทันที ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ก็เพิ่มพูนขึ้นในฉับพลัน”
“ยิ่งท่านอาจารย์ครอบครองพรสวรรค์อันน่าทึ่งอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน นางจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นจนมิอาจจินตนาการได้อย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว
หลี่อันเตือน “แต่อย่าลืมนะว่าอาจารย์เจ้าได้ทำการผสานรวมโลกไปมากมายโดยพลการ ซึ่งเป็นการละเมิดกฎของโลก เก้าร้อยล้านชั้น นั่นนับว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก”
“อาจารย์เจ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเข้าร่วมพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์แห่งโลก เก้าร้อยล้านชั้น และแน่นอนว่านี่ก็เพื่อให้เธอได้รับสิทธิ์ในการผสานรวมโลก”
“ส่วนราคาที่นางจะต้องจ่าย ก็คือต้องร่วมต่อสู้เพื่อพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ รับมือกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารอันทรงอำนาจ”
“และปัจจุบัน อาจารย์เจ้าก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำพันธมิตรแล้ว ตำแหน่งซึ่งเป็นเป้าหมายที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารต้องการจะสังหารลงมากที่สุด และข้าไม่อยากบอกเลย ว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของอาจารย์เจ้าน่ะ มันต่ำที่สุดเลย ในบรรดาผู้นำทั้งหมดที่ถูกเลือกขึ้นมา”
“ดังนั้น ยามนี้นางจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง”
หลี่อันมองเขา และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าคิดว่าข้อมูลนี่มีความสำคัญต่อเจ้า เพราะก่อนหน้านี้ เจ้าเองก็เคยเรียกข้า เพื่อให้ไปช่วยเหลืออาจารย์เจ้าเหมือนกัน”
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงมาแจ้งให้ข้าทราบใช่หรือไม่?”
“ใช่”
กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้นตนเข้าด้วยกัน และโค้งกายคารวะให้แก่หลี่อันอย่างช้าๆ
“ข่าวที่เจ้านำมาเป็นเรื่องสำคัญยิ่งจริงๆ และข้าขอน้อมรับน้ำใจในครั้งนี้เอาไว้ หากในภายภาคหน้าเจ้ามีปัญหาอะไร เจ้าสามารถมาพบข้าได้ตลอดเวลา ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือเจ้าเอง”
หลี่อันเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะละสายตาลง “เจ้าดูจะห่วงใยในตัวอาจารย์มากเลยนะ”
“แน่นอน” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เพราะในความเป็นจริงแล้วโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์น่ะโหดร้ายยิ่งกว่าโลกมนุษย์ใบนี้เสียอีก หากไม่มีนิกาย ก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนไร้บ้านเลย”
“เดิมทีข้าเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เร่ร่อน ในช่วงเวลานั้นยังอยู่แค่ขอบเขตปราณปรับแต่ง ไม่นับว่ามีสถานะใดๆ”
“หากโชคดี ข้าอาจจะได้รับการยอมรับจากบางนิกายในช่วงการทดสอบประจำปี และเข้าร่วมกับพวกเขาก็ได้”
“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะนิกายใด สาวกทุกคนไม่ว่าใครก็ล้วนต้องการ ทรัพยากรฝึกยุทธ์ เทคนิคฝึกยุทธ์ อาวุธ เกราะ และอุปกรณ์อันยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น”
“แต่หากหมายจะได้รับสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็ต้องทำงานต่างๆ มากมายเพื่อที่จะให้นิกายมอบมันเป็นค่าตอบแทน”
“ผู้ฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วนจึงต้องทนทำงานหนักไปตลอดชีวิต แต่สุดท้ายหากพวกเขาก็ล้มเหลวในการทำตามข้อตกลงรับของตอบแทนจากนิกาย ทรัพยากรที่ได้รับมันก็จะไม่เพียงพอ และผลที่ตามมาก็คือ การยกระดับขอบเขตก็จะเชื่องช้าลง ถูกชะลอออกไป”
“นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธ์มากมายที่ไม่ได้รับ เทคนิคฝึกยุทธ์ เทคนิคมนตรา อาวุธหรือเกราะดีๆ ส่งผลให้พวกเขาต้องจบชีวิตลงในสงครามอีก”
กู่ฉิงซานยิ้ม น้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่นขึ้น “แต่ท่านอาจารย์ก็เลือกที่จะรับข้าเข้าสู่นิกายร้อยบุปผา”
“ท่านอาจารย์มอบดาบพิภพให้แก่ข้า ช่วยสอนสั่งทักษะดาบแก่ข้า”
“เพราะเป็นห่วง เกรงว่าข้าจะถูกลอบสังหาร ท่านถึงขั้นใช้สกิลเทวะเฝ้าติดตามข้าอย่างลับๆ”
“ยามเมื่อท่านตกอยู่ในช่วงเวลาวิกฤต ท่านก็เลือกที่จะมอบทรัพยากรทั้งหมดของนิกายให้แก่ข้า”
“แต่เจ้าทราบหรือไม่? ข้าแท้จริงแล้ว ข้ากลับแทบจะไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อนิกายเลย”
หลี่อันคอยรับฟังอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “สำหรับพวกเราแล้ว ร้อยบุปผาน่ะไม่ใช่นิกาย ตรงกันข้าม มันเป็นเสมือนครอบครัวต่างหาก”
“และท่านอาจารย์ก็คือสมาชิกครอบครัว ดังนั้นข้าจะไม่ยินยอมเสียท่านไป”
น้ำเสียงของเขากลายเป็นคมชัด
“แต่เท่าที่ข้าเห็น เหมือนว่าเจ้าจะมีอีกหลายสิ่งมากมายที่จำต้องทำในโลกใบนี้ แล้วเจ้าจะย้อนกลับไปหานางได้อย่างไร?” หลี่อันถาม
“ข้าก็แค่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นลงในวันนี้ แล้วรีบกลับไปทันที”
“เอาล่ะ ขอบคุณสำหรับการมาเยือนอันแสนพิเศษของเจ้า” กู่ฉิงซานขอบคุณอย่างจริงใจ
หลี่อันยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่เฉิดฉายดั่งนางฟ้านางสวรรค์
แล้วเจ้าตัวก็ค่อยๆ ถอยหลังกลับ ผลุบเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างช้าๆ และหายไปในที่สุด
กู่ฉิงซานมองเสี่ยวเหมียว “เกรงว่าจากนี้ไปผมคงต้องรบกวนคุณมากกว่านี้เสียแล้ว”
“อยากจะให้ฉันทำอะไรล่ะ?” เสี่ยวเหมี่ยวถามด้วยรอยยิ้ม
ยิ่งได้ฟังสิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าว และได้เห็นถึงทัศนคติที่เขามีต่ออาจารย์ มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกรู้สึกประทับใจในตัวเขามากยิ่งกว่าเดิม
“พวกเราจะเร่งกระบวนการผสานรวมหกวิถีให้เร็วขึ้น เพื่อทำการค้นหาสุสานแห่งโลก”
“ไม่มีปัญหา แค่ฉันกระดิกนิ้ว ก็สามารถพานายไปยังในแต่ละโลกของหกวิถีได้แล้วในพริบตา”
“ดีล่ะ แต่ก่อนอื่นพวกเรามีบางสิ่งที่จะต้องทำ”
“อะไรงั้นเหรอ?”
“พวกสถาบันเทพ ได้ซ่อนสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่านาฬิกาเทพไว้ใต้ยานอวกาศ”
“ด้วยสิ่งนั้น ทำให้พวกเขาสามารถค้นพบสุสานแห่งโลกได้”
“อ้อ นั่นสินะ ฉันก็ลืมไปเลย” เสี่ยวเหมียวกล่าวขึ้นทันที
เธอก้มตัวลง และกดมือลงกับพื้น
คลื่นมิติที่บิดเบี้ยวผุดออกมาจากมือเธอ และแพร่กระจายไปตลอดทั้งขั้วโลกเหนือ
ไม่นานนัก ยานอวกาศขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในขั้วโลกเหนือก็ถูกห่อหุ้มด้วยอำนาจมิติอันไร้ที่สิ้นสุด
“ฮ่า!”
เสี่ยวเหมียวตะโกนคำหนึ่ง
เสี้ยววินาทีนั้นเอง ขั้วโลกเหนือก็หายไป
ไม่ ไม่สิ ไม่ใช่ขั้วโลกเหนือที่หายไป แต่เป็นยานอวกาศทั้งลำที่หายวับไปจากสายตาของทุกคนเลยต่างหาก!
ฉะนั้นขั้วโลกเหนือบัดนี้จึงว่างเปล่า หลงเหลือเพียงพายุหิมะอันอ้างว้าง
ยานอวกาศถูกนำออกจากใต้ชั้นน้ำแข็งลึก
ดวงตาของเสี่ยวเหมียวเหลือบไปมาตามพื้นเบื้องล่าง ตรวจสอบถึงการเคลื่อนไหวของพื้นอย่างระมัดระวัง
“ฉันว่าฉันพบมันแล้วนะ ดูจากคลื่นความผันผวนมันชัดเจนมาก รู้สึกเหมือนจะเป็นเครื่องมือตรวจจับอะไรบางอย่าง”
ขณะกล่าว เสี่ยวเหมียวก็วาดมือของเธอออกไปเบาๆ และค่อยๆ อุ้มมิติที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า
วินาทีต่อมา สิ่งเล็กๆ ที่ดูประณีตละเอียดอ่อนก็ผลุบออกมาจากอากาศที่บางเบา ตกลงในมือของเธอ
ทุกคนก้มลงมองมัน และพบว่านี่คือนาฬิกาเรือนเล็กๆ ที่มีรูปร่างสวยงามแปลกตา
“โอเค ฉันจะย้ายยานอวกาศกลับมาแล้วนะ”
เสี่ยวเหมียวยื่นมืออีกข้างออกไป และดีดนิ้วของเธอ
ยานอวกาศปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ และจอดลงบนพื้นน้ำแข็งขั้วโลกเหนืออย่างมั่นคงอีกครั้ง
เสี่ยวเหมียวโยนนาฬิกาเทพให้แก่กู่ฉิงซาน
“นายลองดูสิ ว่าใช่นี่ไหม?” เธอกล่าว
กู่ฉิงซานรับนาฬิกาเทพมา และตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
บนหน้าต่างเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรได้เด้งเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ชื่อไอเท็ม ผู้แสวงหาสมบัติของเหล่าทวยเทพ”
“คุณภาพ ไอเท็มประหลาดหายาก”
“คำอธิบายตามพงศาวดารวันสิ้นโลก ไอเท็มหายากชิ้นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในครั้งอดีต มันไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ดังนั้น ไอเท็มหายากชิ้นนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ใดๆ”
“วิชายุทธ์เทพสงคราม จะทำการแสดงสกิลของไอเท็มดังต่อไปนี้”
“สกิลลึกลับ ความสามารถในการสำรวจ การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์”
แต่แล้วหน้าต่างเทพสงครามก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
กู่ฉิงซานตกใจ
เกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับระบบอย่างงั้นเหรอ?
แต่ไม่ต้องรีรอให้เขาคาดเดา บรรทัดตัวอักษรสีแดงขนาดเล็กก็เริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“คุณเป็นคนที่สามที่ได้รับของขวัญจากเหล่าทวยเทพ”
“ตามความปรารถนาของคุณ เหล่าทวยเทพจึงได้ใช้อำนาจที่อยู่เหนือกฎแห่งเหตุและผล มอบกุญแจที่ช่วยให้คุณสามารถปลดเปลื้องพันธะแห่งจิตวิญญาณ”
“กฎเกณฑ์อันลึกล้ำของจิตวิญญาณคุณได้รับการยกระดับ”
“นับตั้งแต่ตอนนั้น คุณก็สามารถแหกกฎข้อจำกัด สามารถศึกษาเทคนิคมนตราประเภทใดก็ได้ตามต้องการ”
“คุณสามารถฝึกฝนสกิลลึกลับ การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์”
“เพื่อที่จะทำการเรียนรู้เกี่ยวกับสกิลลึกลับนี้ คุณจำเป็นต้องจ่าย หนึ่งหมื่นแต้มพลังวิญญาณ”
“คุณยินดีที่จะจ่ายแต้มพลังวิญญาณ หนึ่งหมื่นแต้ม เพื่อได้ฝึกฝนสกิลนี้หรือไม่?”
กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ฉันจ่าย!”
.........................................