webnovel

0476 เธอปรากฏตัว

ตอนที่ 476 เธอปรากฏตัว

อินทรีย์ได้ใช้เล็บอันแหลมคมของมันโฉบเข้าใส่ใบไม้ที่ลอยอยู่เหนือกระแสลม

ใบไม้จากหนึ่งแยกเป็นสอง มันสั่นไหวเล็กน้อยในอากาศ ก่อนจะแปรสภาพกลับคืน กลายเป็นร่างศพสองท่อน

ท่ามกลางหมอกเลือด พลังวิญญาณมหาศาลได้พรั่งพรูออกมา

ซึ่งนี่บ่งบอกได้ว่า ในวินาทีสุดท้าย ร่างศพนี้แต่เดิมกำลังคิดจะใช้ออกด้วยเทคนิคบางอย่างอย่างชัดเจน

และความผันผวนทางพลังวิญญาณที่พุ่งพรวดขึ้นเช่นนี้ ย่อมมิอาจรอดพ้นจมูกของหนังมนุษย์ไปได้อย่างแน่นอน

สองหนังมนุษย์ถลาเข้ามา กระโจนเข้าโอบกอดบนร่างศพ

และศพก็หายไปอย่างรวดเร็ว มิอาจมองเห็นได้อีกเลย

อินทรีย์สยายปีกของมันโดยไม่คิดหันหลังกลับไปมองฉากดังกล่าว พยายามมุ่งตรงไปยังทิศทาง ที่ไม่มีหนังมนุษย์ลอยอยู่

แต่ก็ใช้เวลาบินไปได้แค่ไม่นาน

จิ้งจอกขาวก็ปรากฏตัวขึ้น

มันยืนอยู่เบื้องหน้านกอินทรี ราวกับว่ากำลังเฝ้ารออีกฝ่ายอยู่

เวลานี้ ในมือของจิ้งจอกขาวกำลังถือไม้ยาวที่ถูกคลุมไว้ด้วยชั้นผ้าสีดำ

บนชั้นผ้าดำ ปรากฏตัวอักษรยันต์อันไร้ที่สิ้นสุดสาดแสงวิบวับอยู่ตลอดเวลา ยามมองไปที่มัน จะให้ความรู้สึกถึงแรงกดดันที่มิอาจอธิบายได้

จิ้งจอกขาวโบกไม้ยาว วาดวนเป็นวงรอบกายมัน

ปรากฏชั้นแสงโปร่งใสครอบคลุมตัวมันกับอินทรีย์

ด้วยชั้นแสงนี้ หนังมนุษย์โดยรอบจะมิอาจมองเห็น และละความสนใจจากพวกเขาไปโดยสมบูรณ์

จิ้งจอกขาววางไม้ยาวพาดบนไหล่ของมันและกล่าวกับอินทรีย์ว่า “เจ้าทำได้ดีมาก ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้ากลายเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้เป็นรากษสแล้ว”

อินทรีย์หันไปมองรอบๆ มิเอ่ยปากตอบอะไรกลับไป

มองไปยังโลกทั้งใบ บัดนี้ นอกเหนือไปจากอินทรีย์กับจิ้งจอกขาวแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่อีกเลย

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดถูกสูบกินโดยหนังมนุษย์จนเกลี้ยง

ขณะที่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่างร่วงหล่นลงไปพร้อมกับเกาะลอยฟ้า จมหายเข้าไปในร่างของมารโลกา

ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว

บนท้องฟ้า กระบวนการพังทลายของชั้นอากาศเริ่มทวีความเร็วขึ้น

โลกทั้งใบ… เกิดการหดตัวบีบอัดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

ฮูมมมม!

พร้อมด้วยเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนโลกหล้า จู่ๆ ร่างหลักของมารโลกาก็กางแยกออกทันที

และท้องฟ้าก็พังทลายลง หายเข้าไปในรอยแยกของมารโลกาโดยสมบูรณ์

ไร้ซึ่งมิติให้ต้องหดตัวอีกต่อไป

ทุกสิ่งอย่างรอบกายดับสูญลง

ตลอดทั้งฉาก หลงเหลือเพียงความมืดมิดและสายลมของปฐมบท แห่งความโกลาหลที่พัดโชยเข้ามาแทนที่เท่านั้น

จิ้งจอกขาวเฝ้าดูฉากตรงหน้า และหันไปกล่าวกับอินทรีย์ว่า “อสูรกายตนนี้ช่างทรงพลังจริงๆ มันได้ทำลายโลกใบนี้ลงไปแล้ว”

ใช่แล้วล่ะ โลกใบนี้น่ะ มันไม่มีอยู่อีกต่อไป

แม้มารโลกาจะยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ทว่าโลกล่องเวหา บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นเพียงมิติที่ว่างเปล่าเท่านั้น

โลกล่องเวหา… ได้กลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว

มันได้สาบสูญไปตลอดกาล

หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ มันได้ถูกกลืนกินจนสิ้นโดยมารโลกา

“พวกเราจะไปกันได้หรือยัง?” เสียงนี้เปล่งออกมาจากปากของอินทรีย์

มันคือเสียงของกู่ฉิงซาน

“ยังไม่ได้หรอก เพราะมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว พื้นที่มิติแห่งนี้ถูกระงับการเคลื่อนย้าย เอาไว้” จิ้งจอกขาวเอ่ยตอบเขา

สองตาเรียวแหลมของมันหรี่แคบลง พร้อมด้วยบรรยากาศอันตรายที่คุกรุ่นออกมาจากร่างของมัน

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เจ้ากล่าวจริงๆ มีมนุษย์หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังความลับอันมืดมิดนี้” จิ้งจอกขาวกล่าวต่อ

“ไม่มีวิธีที่จะฝืนหลบลี้ออกไปได้เลยหรือ?” อินทรีย์กล่าวเสียงหม่น

“การเคลื่อนย้ายมิติ สิ่งที่อันตรายมากที่สุดก็คือการถูกรบกวน แต่นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะข้าจะสังหารเจ้ามนุษย์ตัวปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังทันที” จิ้งจอกขาวกล่าวต่อ

อินทรีย์พอได้ยิน ก็แปลงกายกลับมาเป็นกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่บนอากาศที่ว่างเปล่า

กู่ฉิงซานชักดาบออกมา และกุมมันไว้แน่น

จิ้งจอกขาวสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขา มันหัวเราะออกมา “เจ้ากลัวหรือ? ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อให้มีสองมารโลกามาอยู่ที่นี่ มันก็มิอาจต่อกรกับอาวุธในมือของข้าได้อยู่ดี”

พอได้ฟัง แม้จิตใจจะยังไม่สงบ แต่ท่าทีของกู่ฉิงซานก็คลายลง ขณะที่ในสมองขบคิด

‘จิ้งจอกขาว …’

กระทั่งตัวตนจากในโลกชั้นกลางอย่างอีกฝ่าย ก็ยังเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของโลกใบนี้ ในช่วงหลังจากที่กู่ฉิงซานบอกความลับที่ว่าผ่านใบหยกให้แก่อีกฝ่าย

อย่างไรก็ตาม แม้จิ้งจอกขาวจะล่วงรู้เรื่องราวทุกอย่าง และตระเตรียมอาวุธมาแล้วก็ตาม แต่อันที่จริงดูเหมือนว่ามันจะไม่หวาดกลัวมารโลกาเลยซะด้วยซ้ำ …

ขณะที่กู่ฉิงซาน เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าหากเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะมั่นใจเพียงใดก็ไม่สมควรที่ จะดึงดันเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จักเช่นนี้

แต่พอคิดดูอีกครั้ง จิ้งจอกขาวมันกล้าเอ่ยปากออกมาเองว่าตัวมันสามารถจัดการกับมารโลกาถึงสองตนได้

มารโลกาสองตน!

นึกดูสิมารโลกาสองตนจะทรงพลังเพียงใดกัน!

ฉะนั้นแล้ว หากอ้างอิงจากคำกล่าวของจิ้งจอกขาว การที่มันจะมั่นใจในตนเองก็สมควรจะเป็นเรื่องปกติ .. ล่ะมั้ง?

ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็พบว่าจิ้งจอกขาวได้ยกศีรษะขึ้นทันใด

กู่ฉิงซานมองตามขึ้นไปยังเบื้องบนทันที

ท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า เหนือร่างหลักของมารโลกา บังเกิดการก่อร่างของบางสิ่งที่มหึมาปรากฏขึ้น

มาแล้วสินะ!

กู่ฉิงซานลอบกล่าวในใจ

เขาจ้องมองดูพฤติกรรมของบางสิ่งที่มหึมา อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

นี่คือการดำรงอยู่อันแสนพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นจากเส้นเลือดและมัดกล้ามเนื้อมากมายนับไม่ถ้วน

มันค่อยๆ ลดระดับลง มาหยุดอยู่ใกล้กับทั้งสอง

ขณะที่เบื้องล่างของกู่ฉิงซานและจิ้งจอกขาว ก็เริ่มปรากฏเงาดำๆผุดขึ้นมาจากมารโลกา

เงาเหล่านี้ลอยตัวขึ้น และทยอยกันผลุบหายเข้าไปในเส้นเลือดและมัดกล้ามเนื้อขนาดมหึมาโดยตรง

หากใช้จิตสัมผัสเทวะอย่างเต็มกำลังในการจับสังเกตมัน จะค้นพบว่าเงาเหล่านี้ แท้จริงแล้วเป็นเงาจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ

แต่ละเงาต่างกรีดร้องโหยหวน ตะโกนร่ำอย่างน่าสมเพช ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะตระหนักดีถึงโชคชะตาของตนเอง

เมื่อได้รับจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นมา เส้นเลือดและมัดกล้ามขนาดมหึมาที่ม้วนติดกัน เป็นเกลียวก็เริ่มกระตุกอย่างบ้าคลั่ง

มันถอนหายใจยาวออกมา

“เด็กดี เจ้าทำได้ดีมากเลย”

ด้วยเสียงนี้เส้นเลือดและมัดกล้ามขนาดมหึมาก็แปรสภาพเป็นใบหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่

มันเป็นใบหน้าของผู้หญิงที่งดงาม

ผู้หญิงคนนั้นเปิดปากของเธอ

และปากๆ นั้นก็อ้าออก มันขยายยาว กว้างออกไปถึง หนึ่งร้อยแปดสิบองศา

เงาทั้งหมดถูกรวบเข้าด้วยกันเป็นเสาแสงสีดำ และเริ่มถูกสูบกินเข้าไปในปากของเธอ

กระบวนการกลืนกินยิ่งมา ยิ่งทวีความรวดเร็วขึ้น

ใบหน้าหญิงสาวกำลังดูดกลืนจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธอย่างบ้าคลั่ง

ด้วยความเร็วนี้ มันรวดเร็วดยิ่งกว่าก่อนหน้าหลายสิบเท่า!

จิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ นับตั้งแต่ช่วงพันกว่าปีก่อน กำลังถูกสูบกินโดยใบหน้าของหญิงสาว

จิ้งจอกขาวพยักหน้าเล็กน้อย “นั่นคือกับดักที่เจ้าพูดถึงสินะ?”

กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าเพียงอนุมานถึงการดำรงอยู่ของมัน แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด”

“นี่คือหนึ่งในประเภทของการเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกาย ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับมนุษย์ ที่ทรงอำนาจจนสามารถกระทำเช่นนี้ได้ในโลกกระจัดกระจาย”

สีหน้าการแสดงออกของจิ้งจอกขาวเริ่มกลายเป็นหนักอึ้ง

“เปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายคือสิ่งใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที

นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่เขาได้รับข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของอสูรกายที่แท้จริง

จิ้งจอกขาวอธิบาย “การเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายนั้น เกิดจากการสละร่างศพของเทพบรรพกาล ให้อสูรกายเข้ายึดครอง และแปลงตนให้กลายเป็นมารที่พิเศษยิ่งกว่า สำหรับโลกของข้าแล้ว มันนับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจทีเดียว

“แถมเจ้าเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายตนนี้ ยังได้สูบกินจิตวิญญาณทั้งหมดที่มารโลกาเก็บสะสมเอาไว้ตลอดทั้งพันกว่าปี ดังนั้นมันจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมากแน่ๆ”

“แล้วท่านสามารถจัดการกับมันได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“เจ้าวางใจเถอะ โชคยังดีที่ขีดจำกัดของข้ายังสามารถจัดการกับมันได้”

จิ้งจอกขาวตบลงบนไม้ยาวที่คลุมผ้าดำบนไหล่ของมัน กล่าวอย่างยินดี “หลังจากที่เจ้าเตือนข้า ข้าก็ได้ทำการเรียกสิ่งประดิษฐ์เทวะที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในการรับมือกับการเปลี่ยนรูปเป็นอสูรกายมาแล้ว”

ขณะกล่าว เห็นแค่เพียงใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวที่เหลือบสายตามองมา

เธอสังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวที่ตำแหน่งนี้

จิ้งจอกขาวยกไม้ยาวมาไว้เบื้องหน้าด้วยสองมือ

“มารร้าย! จงปลดการกักมิติของเจ้าเสีย หรือต้องการที่จะให้ข้าสังหารเจ้าทันที?” จิ้งจอกขาวกล่าว

ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวมองไปยังไม้ยาวในมือจิ้งจอกขาว ก่อนที่ท่าทีการแสดงออกทางสีหน้า ของเธอจะเปลี่ยนแปลงไป

มันหยุดกลืนกิน และจ้องมองต่อมาที่กู่ฉิงซาน

“เจ้า”

เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้พูดมานานมากเกินไป ดังนั้นในทุกๆการเปล่งเสียงจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ที่สังหารเฉียนซานเย่?”

กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย

เห็นแค่เพียงในดวงตากลมโต กำลังฉายแววแห่งความคาดหวังเป็นพิเศษ

เธอกำลังเฝ้ารอคอยคำตอบ

กู่ฉิงซานใช้สมองไตร่ตรอง แล้วเขาก็เริ่มที่จะเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน

กู่ฉิงซานยอมรับอย่างง่ายดาย “ถูกต้อง เป็นข้าเองที่สังหารเขา”

ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวแลดูคลายลง การแสดงออกถึงความโกรธแค้นเกลียดชังถูกปัดเป่าออกไป

ราวกับว่าเธอได้รับการปลอบประโลมลง

“เจ้าทำได้ดีมาก” ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวกล่าว

เสียงของเธอที่เปล่งออกมาบัดนี้คมชัดมากขึ้น “เจ้าสารเลวเฉียนซานเย่ ในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ มันได้เรียนรู้วิชาแยกวิญญาณไปจากข้า”

“หลังจากที่ข้าตายไป เขาก็หวาดกลัว จึงทำการแยกวิญญาณตนเองและซ่อนมันเอาไว้เป็นพันๆปี ดังนั้นข้าจึงไม่เคยได้ค้นพบถึงร่องรอยของเขาเลย”

“แต่ในเวลานี้ ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ!”

พร้อมกับคำกล่าวนี้ของใบหน้ายักษ์หญิงสาว ก็เห็นแค่เพียงผลไม้สีแดงเลือดผลหนึ่ง ผุดขึ้นมาจากพฤษามารโลกา

ผลไม้นั้นร่วงตกลงจากกิ่งก้าน และลอยมายังทิศทางใบหน้ายักษ์ของหญิงสาว

ยามเมื่อผลไม้มาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว เปลือกของมันก็ถูกลอกออกโดยพลัน

และปรากฏร่างเงาดำอันเลือนรางขึ้นแทน

ทันทีที่ร่างเงาดำนั้นเป็นอิสระ มันก็เตรียมจะพุ่งหลบหนีออกไปทันที

อย่างไรก็ตาม ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวกลับแลบลิ้นยาวออกมา แล้วชิงตัดหน้า ฉกรัดลงใบร่างเงาที่ว่านั่นเสียก่อน

เมื่อร่างเงาถูกฉกรัด แม้มันจะยังดิ้นรนขัดขืนได้ ทว่ากลับมิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้เลย

ในเวลานี้เอง กู่ฉิงซานจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างเงาสีดำที่ว่า แท้จริงแล้วก็คือเฉียนซานเย่นั่นเอง

ลิ้นยาวพันธนาการจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ และค่อยๆชักลิ้นกลับให้ร่างเงามาหยุดตรงดวงตาของหญิงสาว

“เฉียนซานเย่”

หญิงสาวมองมาที่เขา ปากถอนหายใจบรรเทาความโกรธ

“เสี่ยวถาย (ถายน้อย) เจ้าฟังข้าก่อนสิ ข้าถูกพวกมันบังคับนะ! พวกมันควบคุมข้าและบังคับให้ข้าทำร้ายเจ้า!” เฉียนซานเย่ร้องเสียงหลงออกมา

ตัวตนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยุคสมัย บัดนี้กลับหวาดกลัวและร่ำร้องราวกับเด็ก

แต่ที่แสดงออกเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเพราะเขาตระหนักดีว่าอีกฝ่ายน่าหวาดกลัวเพียงใดก็ได้

หญิงสาวรับฟังอย่างเงียบๆ พร้อมกับรอยยิ้มประชดประชันบนใบหน้าของเธอ

“เพื่อป้องกันมิให้เจ้าลวงหลอกข้าอีกหน ข้าจึงกลืนกินจิตวิญญาณทั้งหมดในโลกใบนี้ และทำการค้นความทรงจำของทุกคนจนสิ้นแล้ว ดังนั้น เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะไม่รู้ถึงเรื่องราวที่แท้จริง?” เธอกล่าว

“เสี่ยวถาย อภัยให้ข้าด้วย ข้าก็เพียงแค่มัวเมาไปกับความแข็งแกร่งเท่านั้นเอง!”

เฉียนซานเย่ตะโกนอย่างกระวนกระวาย

ขณะที่ใบหน้าของหญิงสาวยังคงนิ่งงัน

“เจ้าไม่เพียงสังหารข้า แต่ยังสังหารเด็กที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาอีกด้วย ตอนนี้เจ้ายังจะขอให้ข้าให้อภัยเจ้า อีกหรือ?” เธอกล่าวอย่างช้าๆ

“เฉียนซานเย่ ตอนนี้ข้าจับเจ้าได้แล้ว ต่อไป ข้ายังเหลือเวลาอีกนานปี นานจนไร้ที่สิ้นสุดในการที่จะทรมานเจ้า อย่างช้าๆ เพื่อบรรเทาความเกลียดชังในหัวใจของข้า”

“เสี่ยวถาย”

เฉียนซานเย่ยังมิทันได้เอ่ยจบ

ลิ้นยาวๆ ก็สั่นไหวอย่างแรง มันม้วนพันจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ และฟุบ! ฉกเขากลืนเข้าไปในปาก

จากนั้นใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวก็มองมาทางกู่ฉิงซาน

“เจ้าเป็นมนุษย์คนที่สองที่มีพระคุณต่อข้า เจ้าได้ช่วยข้าค้นหาจิตวิญญาณของชายคนนี้เอาไว้” เธอกล่าว

“ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”

กู่ฉิงซานที่กำลังตั้งใจฟัง ก็เร่งประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือไปทางเธอทันที “ขอบพระคุณท่าน”

“จงไปเถิด ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ” หญิงสาวหลับตาลง

กู่ฉิงซานกับจิ้งจอกขาวหันมามองหน้ากัน

เมื่อถึงจุดนี้ จิ้งจอกขาวก็รู้สึกได้ถึงการกักมิติที่ถูกปลดออก

หากมิต้องต่อสู้ แต่สามารถจากไปได้โดยตรง นี่ย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

จิ้งจอกขาวพยักหน้าเล็กน้อย และยกหางของมัน ชูไปในอากาศ

พร้อมกับประตูแสงที่ปรากฏขึ้น

“มาเถอะ มายังโลกชั้นกลางกับข้า ข้าจักพาไปยังโลกที่ข้าอาศัยอยู่” จิ้งจอกขาวกล่าว

“ขอรับ” กู่ฉิงซานตอบรับ

ขณะเดียวกัน มุมหางตาของทั้งสองก็เหลือบผ่านไปยังใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวอีกครั้ง

เห็นแค่เพียงใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวที่เงียบสงบและหลับตาปิดสนิท

ในหัวใจของจิ้งจอกขาวจึงคลายลงเล็กน้อย

จิ้งจอกขาวกับกู่ฉิงซานเริ่มที่จะก้าวเท้าเข้าไปในประตูแสง

ทว่า… จู่ๆ หัวของจิ้งจอกขาวก็หายวับไปทันใด!?

เสี้ยวพริบ บังเกิดเงามืดโฉบบินออกจากมัน จากนั้นเงามืดที่ว่าก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว

ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวเปิดปากอย่างดุร้าย และกลืนกินเงามืดที่คาดว่า น่าจะเป็นจิตวิญญาณที่กำลังดิ้นรนอยู่ลงไป!

ต่อมาศีรษะและลำตัวของจิ้งจอกขาวที่เพิ่งจะแยกจากกัน ก็ลอยตามเข้าไปในปาก และถูกเคี้ยวกลืนโดยเธออีกรอบ

“ช่างไร้เดียงสา”

หญิงสาวที่เพิ่งกินจิ้งจอกขาวไปหัวเราะเบาๆ

“เป็นเพียงมดในชั้นกลาง ที่กระทั่งขอบเขตของข้าก็ยังมิอาจหยั่งถึงได้ แต่กล้าที่จะดูหมิ่นข้า!”

เธอเปิดตาขึ้น มองไปยังกู่ฉิงซาน

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” หญิงสาวกล่าว

“อย่างงั้นหรือ?”

กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไป คว้าจับดาบพิภพที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่า

เขาพร้อมแล้ว… สำหรับการดิ้นรนครั้งสุดท้าย

“ไม่จำเป็นต้องกังวลไป”

ใบหน้ายักษ์ของหญิงสาวเผยรอยยิ้มแย้มอย่างกะทันหัน

สีหน้าของเธอเปิดเผยถึงร่องรอยเล็กๆน้อยๆของความเอ็นดู ปากเอ่ยกล่าว “ในยามที่ข้ายังเป็นมนุษย์ ครั้งหนึ่งเคยมีตัวตนทรงอำนาจผู้หนึ่งได้ช่วยข้าไว้”

“แต่จนกระทั่งตอนนี้ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าก็ได้ถูกเติมเต็มแล้ว ทว่าข้ายังมิได้ตอบแทนความเมตตาของตัวตนทรงอำนาจที่ว่านั่นเลย”

“ข้าได้กลายเป็นมารที่แท้จริง และไม่สามารถหวนคืนสู่โลกมนุษย์ได้ต่อไป ดังนั้นโปรดช่วยข้ามอบบางสิ่งบางอย่างให้แก่เขา เพื่อเป็นการตอบแทนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ช่วยข้าเอาไว้ด้วยเถอะ”

“ช่วยข้าหน่อยจะได้หรือไม่?”

“ได้ ข้าจะช่วยท่าน”

หญิงสาวจ้องหน้าของกู่ฉิงซานราวกับจะตรวจสอบถึงความจริงในคำกล่าวของอีกฝ่าย และสุดท้ายใบหน้าของเธอก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“ข้าล่วงรู้ถึงทุกสิ่งอย่างที่เจ้าทำในโลกใบนี้”

“ทัศนคติของเจ้าที่มีต่อทาสนั้นเหมือนกันกับข้า และแม้กระทั่งความเกลียดชังที่มีต่อโลกใบนี้ ก็คล้ายคลึงกับข้าเช่นกัน”

“ดังนั้น ข้าจะช่วยเจ้าอีกสักครั้งหนึ่ง”

ผู้หญิงกล่าว ขณะเดียวกันก็เป่าลมหายใจออกไปยังทิศทางของประตูแสง

ภาพฉากในประตูแสงขยายกว้างขึ้นทันใด มันปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซาน

มันคือซากปรักหักพัง

ขณะที่หลายสิบทหารติดอาวุธกำลังกดหัวของผู้คนที่เข้าแถวยาวเหยียดลงกับพื้น และตัด!หัวพวกเขาลงทีละคน ทีละคน

ทันใดนั้นหนึ่งในทหารก็เอ่ยตะโกนออกมา “หัวหน้า มีช่องว่างมิติถูกเปิดออก”

แล้วเสียงของนายทหารอาวุโสก็ดังขึ้นทันใด “จงส่งทีมขนาดเล็กออกไปล้อมรอบประตูมิติ และดักรอให้รากษสปรากฏตัวขึ้น”

…………………………………..........