webnovel

0452 วิญญาณสถิต

ตอนที่ 452 วิญญาณสถิต

ด้วยการเลือกของกู่ฉิงซาน ตัวระบบจึงได้บังเกิดเสียงดังฟังชัดขึ้น

ติ๊ง!

“คุณได้เลือกทิศทางการวิวัฒนาการพลังศักดิ์สิทธิ์ของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนแล้ว , พลังศักดิ์สิทธิ์ในขั้นที่สอง : ไม่ยอมอ่อนข้อ กำลังจะถูกยกระดับในไม่ช้า”

“คุณได้เลือกพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สาม : ตัดขาดการเชื่อมต่อ”

สิ้นประโยคนี้ รังสีแสงยาวเหยียดบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็หายไป

ขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของกู่ฉิงซานเริ่มทำการยกระดับขึ้น

“ผู้เล่นได้ทำการยกระดับพลังของ ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ , ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ : ตัดขาดการเชื่อมต่อ”

“ตัดขาดการเชื่อมต่อ : หลังจากที่คุณโจมตีด้วยสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนแล้ว สติของฝ่ายตรงข้ามจะถูกตัดขาดออกไปจากร่างกาย และจะกลับคืนมาเมื่อผ่านพ้นไปสามวินาที”

กู่ฉิงซานยื่นมือของไป และสัมผัสเบาๆ ลงบนไหล่ของฉานนู่และว่านเอ๋อ

ทว่าฉานนู่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เธอเพียงแค่หันมาถามว่า “นี่คือสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนหรือ?”

“ใช่ เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทสายฟ้า” กู่ฉิงซานตอบ

ขณะเดียวกัน ว่านเอ๋อกลับนิ่งงันไม่ไหวติงอยู่ในสถานที่เดิม

“ครบเวลาแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

แล้วว่านเอ๋อก็พลันได้สติกลับคืน

“เอ๋? เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้นกับข้า?” เธอเอ่ยออกมาด้วยความสับสน

ฉินรั่วที่เห็นถึงเรื่องราวตั้งแต่ต้น ก็ค้นพบเบาะแสได้อย่างง่ายดาย เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากที่นายน้อยยกระดับขึ้น เขาอาจจะได้เรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง เลยทดลองใช้มันกลั่นแกล้งเจ้าเล็กๆ น้อยๆ น่ะ”

ว่านเอ๋อเอ่ยถามต่อทันที “เมื่อครู่ที่ข้าเหม่อลอยไป เวลามันผ่านพ้นไปเท่าใดกัน?”

“มันก็ไม่นานนักหรอก เพียงแค่ครึ่งลมหายใจเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

“ตั้งครึ่งลมหายใจเชียวหรือ!” ว่านเอ๋อหน้าเปลี่ยนสี

ต้องไม่ลืมนะว่าเธอเป็นถึงผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตพันวิบัติ จึงตระหนักดีว่า ในช่วงเวลาครึ่งลมหายใจนั้น ผู้ฝึกดาบน่าหวาดกลัวเพียงใด

ฉินรั่วถอนหายใจ ปากเอ่ยสรรเสริญ “ไม่คาดคิดเลยว่านายน้อยจะสามารถได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้ หากเป็นในกรณีนี้ โอกาสรอดชีวิตของพวกเราคงจะเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว”

กู่ฉิงซานรับรู้ได้ถึงพลังของเล่ยเดี๋ยนในร่างกายที่เพิ่มพูนขึ้น แม้ตนจะรู้สึกสุขใจ แต่ก็กังวลใจในขณะเดียวกัน

สุขใจที่ว่านั่นก็คือ ถึงแม้ว่าตนจะไม่สามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ขึ้นมาได้ แต่ก็สามารถควบคุมเวลาของศัตรูได้เพิ่มขึ้นมากถึงสามวินาที ซึ่งกู่ฉิงซานคิดว่า ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อนี้’ มันไม่ได้เลวร้ายไปกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ชนิดอื่นที่มีให้เลือกเลย

สำหรับผู้ฝึกดาบแล้วสามวินาทีนับว่ายาวนานยิ่ง

อย่างเช่นตัวของกู่ฉิงซานสามวินาทีเขาสามารถฟันออกด้วยเจ็ดดาบ และปลุกเจ็ดดารา มังกรแหวกธาราขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

ในอนาคต ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ จะกลายมาเป็นพลังสำคัญ -เป็นไพ่ตายชั้นยอดที่จะเบ่งบานในการต่อสู้ภายภาคหน้าอย่างแน่นอน

ส่วนกังวลใจที่ว่านั่นก็คือ กระบวนท่านี้มันกินพลังวิญญาณมากเกินไป

การใช้ออกด้วย ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ สำหรับสองคนเมื่อครู่ มันได้กินพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานไปทันทีถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์!

และอย่าลืมนะว่าตอนนี้เขาคือผู้ฝึกยุทธในขอบเขตประทับเทพ!

พลังวิญญาณที่จำต้องจ่ายออกเพื่อใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้มากมายจริงๆ ซึ่งมันไม่สะดวกเลยสำหรับการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ

ดังนั้น ในยามที่คิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นี้ มันคงจะเป็นการดีกว่าหากเร่งแก้ปัญหาโดยการจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด

กู่ฉิงซานพยายามสงบใจ ระลึกย้อนไปถึงสกิลที่ตนเองมีอีกครั้ง

นอกเหนือไปจากสกิลดาบ เขามีสกิลเป็นของตัวเองอยู่เพียงสี่เท่านั้น

เริ่มจาก ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ , ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ , ‘ร่างเงาแทนที่’ และสุดท้าย ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’

และจากนี้ไปในไม่ช้า เขาก็จะเริ่มสร้างรูปแบบสกิลเหล่านี้เข้าด้วยกัน ให้มันกลายเป็นกระบวนท่าต่อเนื่อง!

กู่ฉิงซานหันไปเอ่ยกับสามสาว “เรามาเริ่มงานกันต่อเถอะ”

สามสาวตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มทำการเลือกหยิบใบหยก

ส่วนกู่ฉิงซานก็ได้เดินไปยังชั้นวางที่จัดเรียงไปด้วยใบหยกที่บันทึกเกี่ยวกับค่ายกล และนิ่งไป

เขาลองสุ่มหยิบมันขึ้นมามั่ว ๆ และพบว่าระดับความยากง่ายของค่ายกลนั้น ได้ถูกจัดเรียงเอาไว้ตามใบหยก เริ่มจากใกล้ที่คือง่าย ไล่ไปเรื่อย ๆ เป็นกลาง และยาก ตามลำดับ

กู่ฉิงซานจึงเลือกใบหยกที่บันทึกค่ายกลที่ง่ายที่สุดขึ้นมา และเริ่มที่จะทำการเรียนรู้มันอย่างรวดเร็ว

“ปัจจุบันนี้ ภายในใบหยกมีองค์ประกอบสำคัญ‘ขั้นพื้นฐาน’ในการจัดตั้งค่ายกล และเก้าชุดค่ายกลพื้นฐาน หากต้องการที่จะเรียนรู้มันโดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณ … คุณต้องการที่จะเรียนรู้มันหรือไม่?”

“เรียนรู้”

กระแสไอร้อนหลั่งไหลผ่านใบหยกเข้ามาในกายของกู่ฉิงซาน และสุดท้ายก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

กู่ฉิงซานหลับตาลงครู่หนึ่ง เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญขั้นพื้นฐานในการตั้งค่ายกล

ไม่นานนัก เขาก็ลืมตาขึ้น

จากนั้นก็วางใบหยกในมือลง และเริ่มหยิบใบหยกชิ้นต่อไปขึ้นมา

“ปัจจุบันนี้ คือใบหยกที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ‘ขั้นต้น’ในการจัดวางค่ายกล และห้าชุดค่ายกลขั้นต้น หากต้องการที่จะเรียนรู้มันโดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องจ่ายสามร้อยแต้มพลังวิญญาณ … คุณต้องการที่จะเรียนรู้มันหรือไม่?”

“เรียนรู้”

กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มพยายามทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการจัดตั้งค่ายกลอีกที

กล่าวได้ว่าการใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้มันช่างรวดเร็วอย่างแท้จริง แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ดีซะทีเดียวนั่นก็คือ-

สิ่งที่ต้องจ่ายออกมันสูงค่ามากเกินไป

เพียงแค่การเรียนรู้ค่ายกลพื้นฐานและขั้นต้น กู่ฉิงซานก็จ่ายออกไปแล้วกว่าห้าร้อยแต้มพลังวิญญาณ

หากคิดจะเดินทางสายนี้ บอกเลยว่ามันไม่ง่ายซะทีเดียว

ต้องรู้นะว่าในโลกแห่งการฝึกยุทธน่ะ ค่ายกลคือหนึ่งในสองจากหกศิลป์ที่ศึกษาเรียนรู้ได้ยากเย็นที่สุด

มิฉะนั้นแล้ว ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ปรมาจารย์ค่ายกลอย่างกงซุนซีคงไม่ได้รับเกียรติ ให้ขึ้นเป็นนายพลชั้นติงหยวนหรอก

แม้กระทั่งในโลกใบนี้ ปรมาจารย์ค่ายกลก็ยังเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

กู่ฉิงซานจ้องมองดูแต้มพลังวิญญาณของตนเอง

“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 1103/400”

และคงจำเป็นที่จะต้องใช้งานมันต่อไป

กู่ฉิงซานถอนหายใจและเริ่มหันไปหยิบใบหยกชิ้นต่อไปอีกครั้ง

ทว่าเนื้อหาที่บันทึกไว้ในใบหยกเบื้องหน้านี้มันลึกซึ้งมากเกินไป มันไม่สอดคล้องและเหมาะสมที่จะเรียนรู้กับทักษะการจัดตั้งค่ายกลในปัจจุบันของเขา

เขาจึงวางใบหยกในมือลง และเริ่มที่จะทดลองหยิบใบหยกชิ้นอื่นดูแบบมั่วๆ ขึ้นมาอีกรอบ

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ กู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง และตบหัวตัวเองด้วยความโกรธทันที

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อยังคงเฝ้ารอให้ตนช่วยพวกเธอปลดพันธนาการโซ่ตรวนอยู่นี่นา

ถ้าหากสามารถแก้โซ่ตรวนที่พันธนาการเอาไว้ได้ พวกเธอก็จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติทันที!

และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องจัดการกับหวังหงษ์เต๋า หากมีพวกเธอคอยช่วยเหลือ มันคงจะเป็นกำลังรบที่ดีไม่เลวเลย

อย่างน้อยก็ยังดีกว่าให้ตัวเขาต้องต่อสู้เพียงลำพัง

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่คิดทำการเรียนรู้ค่ายกลอีกต่อไป

“วิชาต้องห้าม ตอนนี้ข้าต้องมองหาใบหยกที่บันทึกวิชาต้องห้ามที่ใช้พันธนาการวิญญาณ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

ณ ขณะนั้นเอง ฉานนู่ก็มองมาทางเขา

“นายน้อย มีใครบางคนกำลังเฝ้ามองท่านอยู่” ฉานนู่กล่าว

“มีคน? กำลังเฝ้ามองข้า?”

กู่ฉิงซานแข็งค้างไป

สถานที่แห่งนี้คือห้องลับ แล้วคนอื่น ๆ จะมาได้อย่างไรกัน?

เห็นแค่เพียงฉานนู่ที่กำลังถือใบหยก และโยนมันมายังเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

ในขณะเดียวกัน ร่างเงาร่างหนึ่งก็ผุดออกมาจากใบหยกที่ว่า

มันเป็นร่างเงาของผู้ฝึกยุทธที่มีหนวดเครายาว ขณะเดียวกันก็ให้บรรยากาศเก่าแก่

กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

นั่นมันคือจิตวิญญาณนี่นา

จิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลัง

หากผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งตกตายลงอย่างไม่ยินยอม จิตวิญญาณของพวกเขาจะยังคงอยู่ในโลกใบนี้ และคอยมองหาสิ่งของที่เกี่ยวข้องทางใจเป็นที่สถิต และไม่เต็มใจที่จะไปเกิดใหม่

และหากจิตวิญญาณทรงพลังที่ว่านั้น ยังคงดำรงอยู่ในโลกด้วยหัวใจที่ยึดติดอยู่กับสิ่งหนึ่ง มันย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ทั้งกับจิตวิญญาณของตนเองและโลกใบนี้

เหมือนดั่งเช่นอุปกรณ์ต่างๆ ในนิกายร้อยบุปผา ที่กองทิ้งๆ รวมกันไว้ในภูเขา

และฉินเซี่ยวโหลวเองก็รำคาญสิ่งเหล่านั้นมากที่สุด

เพราะสำหรับพวกจิตวิญญาณแล้ว ตราบใดที่สามารถใช้เทคนิคมนตราพิเศษได้ มันก็จะสามารถพึ่งพาวัตถุนั้นๆ เป็นสื่อกลาง เพื่อยึดเป็นที่สถิต

และเมื่อมีใครบางคนสัมผัสถึงสิ่งที่ว่านั่น วิญญาณที่สถิตอยู่ก็จะฉวยโอกาสเข้ามาสิงสู่ร่างกายของอีกฝ่าย จากนั้นก็ทำการยื้อยุทธกับจิตวิญญาณของผู้ที่สัมผัส เพื่อยึดครองร่างกายของเขา

มีตัวอย่างมากมาย ดั่งเช่นว่า บางคนที่เป็นเพียงคนธรรมดา แต่พอได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัตถุเหล่านั้นเข้า จู่ๆ ก็พรวดทะยานขึ้นกลายเป็นตัวตนอันแข็งแกร่ง จนทั้งโลกต่างก็ต้องตกตะลึง

ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง … เขาได้ถูกยึดครองร่างกายไปตั้งนานแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น?”

กู่ฉิงซานส่งเสียงถามฉานนู่อย่างแผ่วเบา

“ข้าบังเอิญไปพบค่ายกลโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่งเข้า และข้าเองก็ดันอยากรู้อยากเห็นเล็กๆ น้อยๆ จึงเข้าไปดูมัน แล้วได้พบกับใบหยกชิ้นนี้” ฉานนู่กล่าว

ฉานนู่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘แหกกฎ’ อยู่ในร่างกาย ซึ่งมันสามารถแหกทุกกฎเกณฑ์ของตลอดทั้งหมื่นโลกาได้ ดังนั้นการโจมตีจากค่ายกลจึงไม่ทำงานกับเธอ

“ยังมิได้ให้เขาสัมผัสกับฉินรั่วหรือว่านเอ๋อใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ไม่นะ ข้าระมัดระวังพอตัวอยู่แล้ว” ฉานนู่ถือใบหยกและกล่าว

เช่นนั้นก็ดี พอได้ฟังหัวใจของกู่ฉิงซานก็คลายลงเล็กน้อย

แม้ตัวฉินรั่วและว่านเอ๋อจะมีพื้นฐานวรยุทธสูงส่ง แต่พวกเธอก็ถูกผนึกพลังอยู่ หากถูกสิงเข้าคงจะลำบากไม่น้อย

ขณะที่ฉานนู่แตกต่างออกไป

เนื่องด้วยตัวเธอนั้นเป็นจิตแห่งดาบ จึงไม่มีใครที่จะสามารถยึดครองเธอได้

ก็ผีมนุษย์ตนใดกันเล่าที่จะยินยอมให้ตนกลายเป็นดาบแล้วให้ผู้อื่นคอยใช้สอย?

…………………………………..........