webnovel

0428 หลานกับชิงหยิน

ตอนที่ 428 หลานกับชิงหยิน 

ไม่ไกลออกไป แอนนากำลังเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ 

และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน ที่เธอค่อยๆ ชักฝีเท้ากลับมาอย่างช้าๆ 

หมาดำเอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้าเตรียมลงมือแล้วชัดๆ แล้วเพราะเหตุใดจึงเลือกที่จะหยุดในตอนท้าย?” 

แอนนาก้มหน้าลงและกล่าวว่า “ก็นั่นมันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชาติภพนี้ของเธอ ฉันทำใจเข้าไปหยุดไม่ได้จริงๆ”

ขณะกล่าว ดวงตาของแอนนาก็เริ่มแดงเรื่อเล็กน้อย 

อาชูร่าหญิงได้จากไปแล้ว 

ขณะที่บรรดาคนตายต่างทยอยเข้าสู่ม่านแสงมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยและจากกันไปในที่สุด 

เมื่อคนตายทั้งหมดได้หายไปจากโลกใหม่ ม่านแสงไพศาลที่ปกคลุมตลอดทั้งโลกก็ค่อยๆ ยกระดับขึ้นสู่ท้องฟ้า และสลายไปในที่สุด 

นรกว่างเปล่า เหล่าคนตายนับล้านล้านคนได้ไปเกิดใหม่อีกครั้ง 

“นี่มันบ้ามากๆ เลยเนอะ ว่าไหม?” ซางหยิงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา 

“ถ้ารู้ว่าคนตายจะมีพลังมากกันขนาดนี้ ฉันคงจะส่งแฟนฉันไปในปรภพแล้ว ไม่ปล่อยให้ต้องมาตกอยู่ในอันตรายในโลกแบบนี้หรอก” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างซื่อตรง 

“ไม่หรอก อันที่จริงแล้วการกระทำของนายน่ะนับว่าเป็นการช่วยเธอเอาไว้นะ” กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่เขา “ในตอนที่ฉันได้ไปยังปรภพน่ะ ช่องทางเข้าทั้งหมดถูกยึดครองโดยเผ่ามาร เธอไม่มีทางจะผ่านพวกมันไปได้อย่างแน่นอน คงไม่แคล้วถูกพวกมารจับกินแน่ๆ” 

“แล้วมันยังมีอะไรมากกว่านั้นอีกนะรู้ไหม พวกคนตายน่ะ สุดท้ายแล้วก็จะถูกส่งไปเกิดใหม่ในโลกที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่นฉันเคยพบข้อมูลว่าในโลกอาชูร่าน่ะ มีทั้งสิ้นสี่เผ่า แถมแต่ละเผ่ายังแบ่งเป็นสี่อาณาจักร แต่ละอาณาจักรกว้างใหญ่ชนิดที่ว่าแทบจะไร้ที่สิ้นสุด นอกจากนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครได้ไปสำรวจชายแดนของมันมาก่อนเลย” 

“แต่อย่างไรก็ตาม โลกสวรรค์น่ะกว้างใหญ่ยิ่งกว่าซะอีก แถมมันยังสามารถเชื่อมต่อเข้าไปยังโลกอื่นๆ ได้อีกด้วยนะ” 

“ไม่ต้องกล่าวถึงโลกจ้าวอสูรกับผีร้าย ที่กุมความลับในเรื่องอาณาจักรของตนเองเอาไว้ และทั้งสองโลกนี้ก็เต็มไปด้วยการฆ่าฟันไร้ที่สิ้นสุด หากมีชีวิตใหม่จะต้องไปเติบโตที่นั่น ก็คงจะเป็นเรื่องโหดร้ายมากเกินไป” 

สีหน้าการแสดงออกของกู่ฉิงซานดูจะอ้างว้างลงเล็กน้อย 

“เพราะฉะนั้น ถ้าแฟนของนายได้ไปเกิดใหม่ในโลกอันกว้างใหญ่หรือเต็มไปด้วยความลึกลับอย่างที่ฉันพูดมาแล้วล่ะก็ นายจะไม่มีทางได้พบกับเธออีกเลยอย่างแน่นอน…ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว นายยังต้องการที่จะให้เธอมายังปรภพแล้วไปเกิดใหม่อีกรึเปล่า?” 

“ไม่! ไม่มีวันซะล่ะ!” 

เย่เฟย์หยูสวนกลับทันควัน 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของกู่ฉิงซาน เขาก็สูดหายใจลึก และถอนหายใจโล่งอก 

ในตอนนั้นเอง สายตาของกู่ฉิงซานก็วูบไหว 

เขาจ้องมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าวิลล่า 

ขณะที่คนอื่นๆ ที่แข็งแกร่งลดหลั่นกันไปตามลำดับก็เริ่มทยอยกันค้นพบถึงความผิดปกติในอากาศที่ว่างเปล่านี้ 

ทุกคนกลายเป็นตื่นตัว 

ทันใดนั้นเอง อากาศที่ว่างเปล่าก็ถูกเปิดออก 

ตามด้วยผู้หญิงในชุดคลุมฟ้าที่ในมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกาได้ผุดออกมา และหยั่งเท้าลงเบื้องหน้าทุกคน 

ฉานนู่ 

“เป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม 

“ช่วยกลับมาได้แล้ว” ฉานนู่ตอบ 

หลังจากที่เธอปรากฏตัว ชายในชุดดำก็ผุดออกตามมา ในท่วงท่าที่กำลังโอบอุ้มไพ่ใบหนึ่งอยู่ในมือ 

หลาน 

เขาถือไพ่อย่างระมัดระวัง เฉกเช่นเดียวกับกำลังถือสมบัติล้ำค่า 

และบนไพ่ คือรูปของหญิงสาวที่สวมกรอบแว่นหนาสีดำ เธอกำลังจ้องมองออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ที่ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือนางได้” 

สีหน้าของหลานแลดูตื่นเต้นมาก 

“สถานที่ที่มีการผนึกจิตวิญญาณของชิงหยินมีกับดัก ‘ตัดขาดเวลา’ อยู่จริงๆ ด้วย!” 

“หากมิใช่เพราะดาบของเจ้าได้ช่วยปัดป้องการจู่โจมร้ายแรงให้แก่ข้า บางทีการช่วยเหลือในครั้งนี้ก็อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ” 

“แต่ที่เหลือเอาไว้ค่อยคุยกัน เพราะตอนนี้ข้าจำต้องรีบลงมือทันที” 

พอหลานกล่าวจบ เขาก็วาดไพ่ออกไป 

มันคือไพ่ระบุตำแหน่งมิติและเวลาเพียงใบเดียวจากสำรับไพ่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือชิงหยิน 

หลานโยนไพ่ใบนั้นออกไป 

ไพ่ดังกล่าวกะพริบไหว และแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงสีขาวบางๆ ปลายด้านหนึ่งของมันตกอยู่ในมือของหลาน ขณะที่อีกข้างหายไปในความว่างเปล่า 

หลานกุมปลายด้านหนึ่งของเส้นแสงสีขาวนี้ และดึงมันอย่างแรง! 

ไม่นานนัก ก็บังเกิดการฉุดดึงสวนกลับมาจากอีกปลายหนึ่งของเส้นแสง 

พอเห็นถึงฉากนี้ หลานก็ผ่อนคลายลงทันที 

เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า และหัวเราะออกมา 

“ไม่คาดคิดเลยว่าทุกอย่างจะจบลงแบบนี้ ดูเหมือนว่าประเทศของข้าจักไม่จำเป็นต้องเข้าสู่สภาวะสงครามแล้ว” 

“กู่ฉิงซาน ข้าคงต้องกล่าวว่า ‘ขอบคุณจริงๆ สำหรับความช่วยเหลือของเจ้า’” เขาเอ่ยปากอย่างเป็นเรื่องเป็นราว 

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการที่ข้าได้รับรางวัลอันเหมาะสมมา ดังนั้น นี่จึงถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมแล้ว” 

กู่ฉิงซานยกมือขึ้น ชูไม้เท้าแห่งการจองจำให้อีกฝ่ายดู ส่งสัญญาณกลายๆ ว่าเป็นเพราะท่านไง ข้าจึงได้สามารถใช้ไม้เท้าเล่มนี้ได้โดยสมบูรณ์ 

“ไม่หรอก เพราะในช่วงเวลาสุดท้ายที่อาจจะเกิดวันสิ้นโลกเมื่อครู่ ทั้งๆ ที่เจ้าจำเป็นต้องใช้ดาบเล่มนี้แท้ๆ แต่เจ้าก็ยังเลือกที่จะส่งมันไปกับข้า ดังนั้นข้าต้องขอขอบคุณเจ้าจากใจจริง” หลานกล่าว 

“ขอบคุณใครกันหรือ?” 

จู่ๆ ก็มีเสียงของผู้ชายดังออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า 

ทันใดนั้นเอง เส้นแสงสีขาวที่เพิ่งเกิดการฉุดดึงขึ้นจากอีกฝั่งก็จมหายไปในความว่างเปล่า พร้อมกับบังเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวในชั้นอากาศ 

ต่อมา ในอากาศที่ว่างเปล่าก็บังเกิดรอยแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง 

พร้อมด้วยกระบวนทัพขององครักษ์ในชุดคลุมยาวที่กำลังถือหนังสือสำรับไพ่เอาไว้ในมือ ผุดออกมาจากรอยแยกที่ว่านั่น 

พวกเขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ และไม่นานนัก กระบวนทัพก็เติมเต็ม ยืนเรียงกันเป็นทิวแถวไปตลอดทั้งพื้นที่เปิดโล่งหน้าวิลล่า 

จากนั้นเหล่าองครักษ์มากมายที่ปรากฏกายขึ้น ก็เริ่มแยกย้ายไปลงไปตามเนินเขา 

ต่อมา ในความว่างเปล่าก็บังเกิดความผันผวนอันรุนแรงขึ้น 

ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังพยายามที่จะเข้ามาสู่โลกใบนี้ 

หลานยิ้มออกมาในทันใด 

เขาวาดมือออก และโยนไพ่ที่เก็บจิตวิญญาณของชิงหยินไปยังรอยแยกที่ว่านั่นอย่างอ่อนโยน 

ไพ่ลอยไปตามสายลม และถูกคว้าจับด้วยมือหนึ่งที่ยื่นออกมาจากในความว่างเปล่า 

และชิงหยินก็เหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทันใด 

เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำผุดออกมาจากความว่างเปล่า 

และคนผู้นี้ดูเหมือนหลานมากจริงๆ 

ทว่าอีกฝ่ายดูจะมีอายุและเป็นผู้ใหญ่มากกว่า 

เขามีหนวดเครา และพฤติกรรมที่แสดงออกก็ดูมีภูมิฐาน 

“ในที่สุดข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้เสียที ชิงหยิน” ชายคนนั้นกล่าว 

ชิงหยินโค้งกายทักทายเขาจากในไพ่ ปากเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณท่านมาก ราชาแห่งข้า” 

ในอีกด้านหนึ่ง หลานก็หันไปผงกหัวให้กู่ฉิงซานเล็กน้อย และกระโจนเข้าหาชายผู้นั้น 

ขณะที่อยู่กลางเวหา ร่างของหลานก็เริ่มพร่ามัว และแปรเปลี่ยนไปเป็นเพียงภาพลวงตา 

เมื่อร่างที่ดูภูมิฐาน เปี่ยมไปด้วยบารมีเห็นหลานกำลังลอยมา ปากก็เอ่ยกล่าวด้วยอารมณ์ “ในที่สุดจิตวิญญาณของข้าก็กลับมารวมตัวกันได้อีกครั้งเสียที ข้าไม่จำเป็นต้องทนเจ็บปวดทุกข์ทรมานตลอดทุกวี่วันอีกแล้ว” 

ร่างของหลานค่อยๆ ละลาย จมหายเข้าไปในร่างของชายเปี่ยมบารมีผู้นั้น 

ฉากอันมหัศจรรย์เต็มไปด้วยมนตร์ขลังต์เช่นนี้ ส่งผลให้ซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยู และคนอื่นๆ ต่างเฝ้ามองตาไม่กะพริบ 

ชายเปี่ยมบารมีหลับตาลงครู่หนึ่ง 

สักพัก คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาก็ค่อยๆ แยกออกจากกัน สีหน้าท่าทีค่อยๆ ผ่อนคลายลง 

ชายเปี่ยมบารมีดูจะมีชีวิตชีวามากขึ้น ราวกับคนป่วยเรื้อรังที่ได้พละกำลังกลับคืนมาอีกครั้ง 

เขาเอ่ยรำพึงออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” 

ว่าจบ เขาก็หันไปมองทางกู่ฉิงซาน ขณะที่ในแววตาของเขาเผยถึงร่องรอยตระหนักรู้คุณ 

“แม้ว่าเราจะพบเจอกันมาก่อนแล้ว แต่ข้าขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ข้าคือราชาแห่งจักรวรรดิเทียนหลาน มีชื่อว่าหลานซิ่ว” 

“เช่นนั้น หลานก็คงจะเป็นจิตวิญญาณของท่านที่แยกตัวออกมาสินะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

“ถูกต้อง เขาคือข้า และข้าก็คือเขา” 

หลานซิ่วกล่าวต่อว่า “ขอบคุณเจ้ามาก ผู้ฝึกดาบแห่งโลกหกวิถีเอ๋ย หากมิได้เจ้า ราชินีแห่งข้าก็คงจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ” 

“ท่านไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไปหรอก ท่านก็ช่วยข้าเอาไว้เยอะเช่นกัน นี่ก็นับว่าเป็นการตอบแทนกลับคืนที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว 

“เช่นนั้น หากข้าต้องการจะนำเทพออกไปจากโลกของเจ้า เจ้าคงจะไม่ถือสาใช่หรือไม่?” หลานซิ่วกล่าว 

“ท่านกำลังหมายถึงผู้ใดกัน?” 

“ก็เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงไง” 

“อ้อ หากเป็นเขาล่ะก็ เชิญตามที่ท่านต้องการได้เลย” 

“ขอบคุณเจ้ามาก นายพลภูติคงไม่อาจสังหารเขาได้ เอาไว้ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าที่จะแก้แค้นให้แก่ราชินีแห่งข้าเองก็แล้วกัน” 

ขณะที่กล่าว หลานซิ่วก็นำคทาทองที่ประดับไปด้วยอัญมณีสีสันสดใสออกมา 

เขาโบกคทาออกไป ปากเอ่ยกระซิบ “มิติพันธนาการ จงบังเกิดภาพ” 

วินาทีนั้นเอง กลางอากาศเบื้องบน ก็พลันปรากฏร่างเงาสีแดงเข้มทั้ง สิบสามตนขึ้น 

พวกมันคือเงาของโครงกระดูกเปื้อนเลือดทั้ง สิบสามตน 

เวลานี้ พวกมันกำลังร่ายระบำไปในอากาศ เวียนวนรอบมิติขนาดใหญ่อย่างไม่รู้จบ ขณะเดียวกันก็ยังคงสาดแสงสีแดงเรืองรองออกมาอย่างต่อเนื่อง 

และในมิติที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดง จะเห็นว่ามีนายพลภูติกับชายชราชุดคลุมแดงกำลังปะทะซึ่งกันและกันอยู่ 

ส่วนกษัตริย์อาชูร่ากำลังยืนอยู่ในแนวหลัง ในมือข้างหนึ่งกำลังแปรผันเพื่อคงรูปค่ายกลมนตรากฎแห่งคำมั่นสาบานนี้เอาไว้ คอยรักษาการเคลื่อนไหวของทั้งสิบสามโครงกระดูก 

ขณะที่มืออีกข้างของเขากำลังกุมกระบี่ยาว และฉวยโอกาสใช้มันลอบเข้าไปจู่โจมบ้างเป็นครั้งคราว 

ชิงหยินมองไปยังการปรากฏกายของเทพสวรรค์ชุดคลุมแดง ในแววตาเผยถึงความเกลียดชังที่ฝังลึกออกมา 

“ฝ่าบาท โปรดแก้แค้นให้ข้าด้วย” 

“วางใจเถอะ” 

หลานซิ่วกล่าวและวาดมือออกไป 

ทันใดนั้น เจ็ดสิบสองผู้ใช้ไพ่ที่กำลังถือหนังสือสำรับไพ่อยู่ก็ทะยานตัวขึ้น บินเข้าไปตีวงล้อมมิติพันธนาการที่ลอยอยู่กลางอากาศ 

พวกเขาจั่วไพ่ออกจากหนังสือและหันหน้าไพ่ไปทางมิติพันธนาการ 

เห็นแค่เพียงบนหน้าไพ่แต่ละใบ มีรูปแบบเหมือนกันทุกประการ 

มันคือยักษ์โลหะที่ยืนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้าง 

ขณะเดียวกันก็มีฝ่ามือใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้า คว้าจับยักษ์ตนนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา 

ยักษ์พยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลย 

ผู้ใช้ไพ่วาดมือออกไป 

พร้อมกับไพ่ทั้งเจ็ดสิบสองใบที่ผละออกจากมือ และทั้งหมดก็หายวับไปโดยสมบูรณ์ 

ทันใดนั้นเอง ตลอดทุกการเคลื่อนไหวของเทพสวรรค์ภายในมิติก็พลันหยุดนิ่ง 

ฝ่ามือขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า คว้าจับร่างของเทพสวรรค์เอาไว้ 

เทพสวรรค์พยายามดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี 

เขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใช้ออกทุกวิถีทางจนมิติพันธนาการทั้งหมดสั่นสะเทือนภายใต้พลังอำนาจของเขา 

ทว่าฝ่ามือนั้นกลับยังคงกุมเขาเอาไว้อย่างมั่นคง 

นี่คือไพ่ใบที่เก้า จากสำรับมหาสงครามข้ามมิติของจักรวรรดิเทียนหลาน 

มันสามารถข้ามขอบเขตของมิติและเวลา และสามารถจับกุมการดำรงอยู่แบบเฉพาะเจาะจงได้ 

ยิ่งเป้าหมายทรงพลังมากเพียงใด ก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้ไพ่ใบนี้มากขึ้นเท่านั้น 

อีกด้านหนึ่ง สิบสองผู้ใช้ไพ่ก็จั่วไพ่ออกมาพร้อมกัน และโยนมันไปในอากาศ 

ไพ่ทั้งสิบสองใบหายไป 

และชั้นอากาศก็แยกออกจากกันในฉับพลัน 

มันคล้ายกับการเจาะรูบนผนัง ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นได้ว่าโลกที่อยู่เบื้องหลังผนังที่ว่านั่นคืออะไร 

พระราชวังอันงดงาม 

บนแท่นบัลลังก์สูง  ถูกฝังไว้ด้วยไพ่ทองคำนับไม่ถ้วน 

ผู้ใช้ไพ่หลายสิบคนในชุดคลุมสีต่างๆ กำลังยืนอยู่ใต้บัลลังก์และจ้องมองมายังทิศทางนี้ 

“เริ่มได้” หลานซิ่วกล่าวอย่างแผ่วเบา 

วินาทีนั้น ผู้ใช้ไพ่ทางฝั่งโลกก็รับคำบัญชา ทั้งหมดจั่วไพ่ออกมาอีกครั้งและประกอบมันเข้าด้วยกันเป็นโซ่ตรวน 

โซ่ตรวนเลื้อยเข้าไปห่อหุ้มรอบๆ มิติคำมั่นสาบาน 

ก่อนที่แสงสีแดงจะกะพริบไหว และมิติพันธนาการก็ค่อยๆ ถูกดึงเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งอย่างช้าๆ โดยโซ่ตรวนที่เลื้อยวนอยู่ในอากาศอันบางเบา 

บนภูเขา ในพื้นที่โล่งกว้าง เหล่าผู้ใช้ไพ่ที่ยืนเรียงเป็นทิวแถวในตอนแรก ค่อยๆ พากันทยอยกลับไปยังโลกอีกฟากฝั่งหนึ่ง 

จนที่เหลืออยู่ตอนนี้ มีเพียงหลานซิ่ว และแน่นอน ว่าจิตวิญญาณของชิงหยินในไพ่บนมือเขาก็เช่นกัน 

“ท่านจะทำอะไรกับเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

“ข้ายังไม่ได้คิด” หลานซิ่วกล่าว “แต่เขาได้กักขังชิงหยินมากว่า หนึ่งหมื่นปี และข้าต้องการที่จะคิดหาวิธีที่จะบรรเทาความเจ็บปวดในหัวใจของนางลง” 

เขาหันมองมาทางกู่ฉิงซาน “แต่ก่อนที่ข้าจะพิจารณาถึงความต้องการที่ว่านั่น ข้าคงต้องตอบแทนเจ้าสำหรับความช่วยเหลือในนาทีสุดท้ายเสียก่อน”

.........................................