ตอนที่ 377 สายธารแห่งการหลงเลือนอย่างไรล่ะ!
ณ พื้นที่เปิดโล่งบนหุบเขา
กู่ฉิงซานและคนอื่นๆ กำลังเฝ้าดูเรือรบประจัญบานขนาดเล็กบินหายลึกเข้าไปในท้องฟ้า
นั่นคือยานของเหลียวฮังที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเฉินเตี้ยนเฮ่า
ตราบใดที่เขาได้รับการอนุมัติจากกู่ฉิงซาน เขาก็จะสามารถดัดแปลงยานอวกาศขนาดเล็กได้ในทันที
ซางหยิงฮ่าวกล่าว “ในเมื่อโลกมันเป็นแบบนี้ บางครั้งการเผชิญหน้ากับความจริงมันก็เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งนะ”
เขาตบลงบนไหล่กู่ฉิงซานและกล่าวว่า “นายลองตัดสินใจดูก่อนก็แล้วกัน”
กู่ฉิงซานพยักหน้า และหันไปมองทางเย่เฟย์หยู
เย่เฟย์หยูรีบเอ่ยออกมาว่า “ถ้ายังมีความหวังที่จะชนะนรกพวกนี้อยู่ ฉันก็ยินดีที่จะร่วมสู้ไปกับนาย แต่ถ้านายต้องการที่จะหนีจริงๆ ได้โปรดพาฉัน แม่ฉัน แล้วก็ป้ายหลุมศพแฟนฉันไปด้วย ฉันขอแค่นี้แหละ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ฉันขอคิดมันอย่างรอบคอบอีกครั้งก็แล้วกัน ถ้ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องไปเท่านั้น…”
ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูสบตากันวูบหนึ่งและปิดปากเงียบ
กู่ฉิงซานปลีกตัว แยกเดินออกไปทางยอดหุบเขาคนเดียวลำพัง
มองตามแผ่นหลังของเขาไป เย่เฟย์หยูเอ่ยถามออกมาว่า “เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ซางหยิงฮ่าวหยิบสมองควอนตัมออกมา และเริ่มติดต่อกับสมาชิกในครอบครัว ปากเอ่ยกล่าว “เขาไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร ฉันก็จะพาน้องสาวฉันไปก่อนเป็นอันดับแรก”
“อ้าว นี่นายมีน้องสาวด้วยเหรอ?” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างประหลาดใจ
“เออสิ พ่อแม่ก็มีนะ แฟนด้วย” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
“งั้นฉันคงต้องรีบติดต่อแม่ของฉันเสียแล้ว” เย่เฟย์หยูกล่าว ขณะเดียวกันก็หยิบสมองควอนตัมออกมา
…
กู่ฉิงซานเดินขึ้นไปบนยอดเขา
สายลมที่พัดโชยช่างเย็นฉ่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงค่ำคืน
และมันก็คงจะเป็นค่ำคืนที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อย หากไม่มีเงาดำของโลงศพที่แน่นขนัดไปทั่วผืนฟ้า ปกคลุมอยู่เหนือเมืองหลวงให้เห็นจากในระยะไกลออกไป
กู่ฉิงซานเอนตัวนั่งลงเอาหลังพิงกับต้นไม้
เขาถอนหายใจยาว
ไม่คาดคิดเลยว่าจะสถานการณ์ของโลกในตอนนี้ จะข้ามขั้นเข้มข้นรุนแรงยิ่งกว่าในชีวิตก่อนหน้าของเขาไปเสียแล้ว
แม้ว่าจะได้แจกจ่ายวิชาลับในการฝึกยุทธ รวมไปถึงน้ำยาเสริมศักยภาพหวูเต๋า น้ำยาปลุกเทียนซวน หรือน้ำยากระตุ้นธาตุทั้งห้า ทั้งสามน้ำยาไปแล้วก็ตาม แต่นั่นมันก็พึ่งทำได้แค่ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
มนุษยชาติยังไม่มีเวลามากพอที่จะพัฒนาไปอีกระดับ
ถึงแม้ว่าตนจะเป็นนักดาบนิรันดร์ แต่ด้วยตัวเขาเพียงลำพัง มันก็ไม่มีพลังมากพอที่จะเอาชนะทั้งสาม...ไม่สิ ตอนนี้ได้กลายเป็นสี่นรกแล้วได้หรอก
ถึงต่อให้เขาเลือกที่จะผสานรวมโลกใบนี้เข้ากับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไป
นี่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆ เหรอ?
มันได้มาถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้วจริงๆ น่ะหรือ?
ทันใดนั้นสมองควอนตัมของเขาพลันส่องสว่างขึ้น
และเสียงของเหลียวฮังก็ดังออกมา “กู่ฉิงซาน ช่วยอนุมัติสิทธิ์อำนาจให้ฉันเร็วๆ เข้า ฉันต้องการจะให้เทพธิดากงเจิ้งช่วยจัดเตรียมวัสดุและเป็นผู้ช่วยฉันสร้างยานอวกาศ!”
“มันจะมีเวลาพอเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“แน่นอนสิวะ! ครั้งก่อนที่กลับมา เป็นเพราะว่ามีปัญหาเรื่องจำนวนประชากรในยาน และตอนนี้ฉันจะไม่ทำมันผิดพลาดอีก!”
เหลียวฮังสบตากับเขา ถลกแขนเสื้อขึ้นและแกว่งแขนไปมา “ฉันจะทำให้มันยิ่งใหญ่ที่สุดเลย เอาให้นรกพวกนี้ไม่อาจเอื้อมมือมาสัมผัสกับลูกๆ หลานๆ ของพวกเราได้อีกเลย!”
กู่ฉิงซานมองดูเหลียวฮัง ที่กำลังเผยท่าทีเต็มไปด้วยจิตวิญญาณออกมา
เขายิ้มและเอ่ยออกมาว่า “เข้าใจแล้ว เทพธิดากงเจิ้ง ทำการอนุมัติให้เขาด้วย”
“รับทราบ” เทพธิดาตอบรับ
เและแสงบนสมองควอนตัมก็ดับลง กู่ฉิงซานงึมงำออกมาว่า “คุณเหลียวนี่ช่างเป็นคนที่สุดยอดโดยแท้ ขนาดตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังไม่แสดงท่าทีว่ากำลังกดดันออกมาเลย”
เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใต้เท้าต้องการที่จะช่วยเหลือดาวดวงนี้ แต่เขาต้องการที่จะหลบหนี ความกดดันมันย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา โปรดอย่าใส่ใจเกี่ยวกับมันมากเกินไป”
กู่ฉิงซานยิ้ม “ฉันรู้แล้ว”
เขาหลับตาลงและเริ่มคิดอย่างหนักเพื่อที่จะหาวิธีการตอบโต้
นับตั้งแต่ในชีวิตก่อนหน้า กระทั่งตนเองได้กลับมาจุติใหม่อีกครั้งในชีวิตนี้ ในแต่ละสงคราม ในแต่ละการต่อสู้ ในแต่ละจุดเปลี่ยน ในแต่ละวิธีการ ในแต่ละเทคนิคฝึกยุทธ และแม้กระทั่งในแต่ละอุปกรณ์ฝึกฝน ในแต่ละเหตุการณ์ ค่อยๆ ข้ามผ่านเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ
เขาพยายามขบคิดอย่างหนัก ไตร่ตรองอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะได้พบร่องรอยแห่งการเอาชีวิตรอดจากกับดักแห่งความตายในตอนนี้
เวลาได้ไหลผ่านไปเรื่อยๆ
กู่ฉิงซานนิ่งงันไม่ไหวติง ทั้งคนทั้งร่างจมลงสู่ห้วงคะนึงคิด
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนรก ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบันนี้ เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็ไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือพวกเขามาก่อนเลย
ดังนั้นการคิดพึ่งพาพวกเขา นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์
ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปโดยไม่รู้ตัว
รุ่งอรุณกำลังใกล้เข้ามา และช่วงเวลานี้ก็นับได้ว่าเป็นชั่วโมงที่มืดมิดที่สุดของวัน
ทั่วบริเวณยอดเขา ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยความมืด ไม่มีแม้กระทั่งแสงเดือนหรือแสงดาว
กู่ฉิงซานที่เงียบมานานแล้วก็ยังมิอาจค้นหาวิธีพบ
เขาเริ่มเอ่ยกับตัวเองออกมา
“ปรภพ…มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ เหรอที่จะเข้าไปสำรวจที่นั่น มันไม่มีวิธีที่จะสามารถสื่อสารกับปรภพได้จริงๆ น่ะหรือ?”
แต่แล้วทันใดนั้นเอง เขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เช่าหยินเคยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ จนได้รับหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนมาจากโครงกระดูกชุดคลุมดำมา
นี่คือสิ่งที่จากปรภพ และเป็นสมบัติล้ำค่าที่โครงกระดูกชุดคลุมดำใช้เวลานับพันปีกว่าจะได้มันมา
“เช่าหยิน” กู่ฉิงซานเรียก
ฮู้ม!
ดาบเช่าหยินผุดออกมาจากความว่างเปล่า
“น้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน มันใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เช่าหยินส่งเสียงฮึมฮัม
“เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าสามารถหลอมกลั่นมันและละลายมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองได้อย่างนั้นหรือ?”
ดาบเช่าหยินผงกด้ามดาบ และส่งเสียงหึ่งๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
“หลอมกลั่นอย่างรวดเร็ว และจากนั้นเจ้าก็จะได้รับการยอมรับจากสายธารแห่งการหลงเลือน และสามารถอยู่ในสายธารได้โดยใช้ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม…” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “สายธารแห่งการหลงเลือน สายธาร...”
เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่นและส่ายหัวอย่างช้าๆ
มันดูเหมือนว่าน้ำจากสายธารแห่งการหลงเลือนนี่จะนับว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม สมบัติดังกล่าวนี้สามารถทำงานได้กับสายธารแห่งการหลงเลือนของปรภพเท่านั้น มันไม่สามารถใช้แก้ปัญหาสี่นรกที่กำลังอุบัติขึ้นบนโลกใบนี้ได้
ไม่ว่าอย่างไร โลกก็จะต้องถูกทำลาย
เดี๋ยวๆ….
เดี๋ยวก่อนนะ!
สายธารแห่งการหลงเลือน
ดูเหมือนว่าในตอนที่เขากลับมาสู้โลกจริง ตนจะได้ทำการตรวจสอบมรดกของนิกายร้อยบุปผาไปรอบหนึ่งแล้วนี่นา
ในเวลานั้น ตนได้ทำการตรวจสอบสกิลเทวะในใบหยกทั้งหมด และดูเหมือนว่า…
กู่ฉิงซานรีบหยิบถุงหอมหลากสีออกมาอย่างรวดเร็ว
เขาตรวจสอบมันสักพัก และหยิบเอาอะไรบางอย่างออกมา
มันคือใบหยก
ใบหยกนี้ บันทึกสกิลเทวะประเภทหกวิถี สายธารแห่งการหลงเลือน
กู่ฉิงซานแช่จิตสัมผัสเทวะลงไปยังมัน และอ่านเนื้อหาภายในอย่างรอบคอบ
“การที่จะฝึกฝนสกิลเทวะนี้ จำเป็นต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้”
“เป็นผู้ฝึกยุทธหญิง”
“มีพรสวรรค์ทางพลังวิญญาณในการใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้า”
“ครอบครองเทคนิคเทียนซวน เพรียกวิญญาณ”
“ครอบครองเทคนิคลับ ผนึกร่างสู่หยิน”
“ครอบครองเทคนิคลับ วิญญาณหวนคืน”
“ครอบครองเชื่อมต่อหกวิถี เรือข้ามปรภพ”
พอได้กวาดสายตาอ่านมันจนจบ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะอีกครั้ง
เพียงแค่กฎข้อแรกมันก็ไม่สอดคล้องกับตนเองแล้ว
คราวก่อนที่ดูมัน เขาจดจำได้ว่าเงื่อนไขในด้านการฝึกยุทธของเขาไม่เพียงพอ ตนจึงยอมแพ้ไป
แต่ถ้าเขาจำไม่ผิดแล้วละก็!
การเรียนรู้สายธารแห่งการหลงเลือน จำเป็นต้องมีสองเทคนิคลับ ซึ่งสองเทคนิคนี้ได้เคยสร้างความประทับใจอันลึกล้ำไว้ให้กับตนเอง!
กู่ฉิงซานข้ามส่วนอื่นๆ ของสกิลเทวะนี้ไป กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังสองเทคนิคลับที่จำเป็นต้องมีที่ว่า
“เทคนิคลับ ผนึกร่างสู่หยิน คือการปิดผนึกร่างกาย เพื่อให้ตนสามารถเข้าสู่สภาวะแห่งความตาย มิแตกต่างอันใดไปจากเหล่าผู้คนที่สิ้นชีพลงในโลก”
“เทคนิคลับ วิญญาณหวนคืน แม้ตนจะตกตาย หรือกระทั่งจิตแห่งตนล่องลอยสู่ปรภพ ก็ยังสามารถที่จะเรียกมันกลับคืนมาได้”
หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม ใบหยกในมือถูกกำแน่น
ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่าเขาจะค้นพบกับร่องรอยของแสงสว่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลก!
แม้นี่จะเป็นแสงสว่างอันเล็กจ้อย และเขาจักต้องโยนตัวเองให้เข้าไปยังโลกที่ตนไม่รู้จัก พบกับความเสี่ยงอันใหญ่หลวง ทว่าเพื่อที่จะไขว่คว้าแสงสว่างนั้น และต่อสู้ดิ้นรนจุดให้มันลุกโชนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นเปลวเพลิงอันร้อนแดงดั่งดวงตะวันอันยิ่งใหญ่ ที่สาดแสงสว่างลงมาให้กับโลกทั้งใบ
แต่ก่อนหน้านั้น ตนจะต้องหา ‘สองกุญแจ’ ที่จะใช้เปิดมันทั้งหมดเสียก่อน
สองกุญแจที่ว่านั่นก็คือ
กู่ฉิงซานทิ้งจิตสัมผัสเทวะลงไปในถุงหอมหลากสี และพยายามมองหาพวกมันอย่างถี่ถ้วน
เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือเข้าไปสัมผัสมัน และหยิบสองใบหยกมาไว้ในมือ
จิตสัมผัสเทวะกวาดลงไปอีกครั้ง และยืนยันว่ามันถูกต้อง
ใช่ นี่แหละคือวิธีการที่เขาคิดออกมาได้ในที่สุด
“เทคนิคลับ ผนึกร่างสู่หยิน”
“เทคนิคลับ วิญญาณหวนคืน”
กู่ฉิงซานถือสองใบหยกนี้ ราวกับว่ากำลังถือสมบัติที่หาได้ยากที่สุดในโลก
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“คุณค้นพบ เทคนิคลับ ผนึกร่างสู่หยิน การจะเรียนรู้เทคนิคลับนี้ อย่างน้อยจำเป็นต้องมีพื้นฐานวรยุทธในระดับก้าวสู่เทพ และมีค่าใช้จ่ายเป็นสามร้อยแต้มพลังวิญญาณ”
“คุณค้นพบ เทคนิคลับ วิญญาณหวนคืน การจะเรียนรู้เทคนิคลับนี้ อย่างน้อยจำเป็นต้องมีพื้นฐานวรยุทธในระดับก้าวสู่เทพ และมีค่าใช้จ่ายเป็นสี่ร้อยแต้มพลังวิญญาณ”
“คุณต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิคลับเหล่านี้หรือไม่?”
โชคดี…โชคดีจริงๆ ที่เวลานี้ตนเองเป็นผู้ฝึกยุทธระดับก้าวสู่เทพขั้นกลาง และมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข!
กู่ฉิมซานลอบยินดีอย่างลับๆ
เขาไม่ลังเลเลยที่จะเอ่ยปากว่า “ฉันต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิคลับทั้งสอง”
“คุณแน่ใจหรือไม่?”
“แน่ใจ!”
ทันใดนั้น กระแสไอร้อนจากใบหยกก็ไหลเข้าสู่ฝ่ามือของกู่ฉิงซาน และเริ่มแตกแขนงขยายไปทั่วร่างกาย จนในที่สุดก็ไปบรรจบกันที่ทะเลแห่งห้วงสติ
กู่ฉิงซานหลับตาลงสักพัก และทำความเข้าใจกับสองเทคนิคลับนี้อย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้น
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม มีเส้นแสงหิ่งห้อยสองบรรทัดลอยอยู่
“คุณได้เรียนรู้ เทคนิคลับผนึกร่างสู่หยิน เทคนิคลับวิญญาณหวนคืน ใช้แต้มพลังวิญญาณไปโดยสิ้นเชิงแล้วเจ็ดร้อยแต้ม”
“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบันสี่พันหนึ่งร้อยต่อสามร้อย”
กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาของเขาออกไป จ้องมองดูตลอดทั้งสวรรค์และโลกเบื้องหน้าที่ยังคงมืดมิด
ทว่าท่ามกลางความมืดมิด แสงนวลตากำลังค่อยๆ แผ่ขยายออกมาจากในระยะสุดสายตาอย่างช้าๆ
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่กำลังจะถือกำเนิดขึ้น!
แสงสว่างแห่งความหวังค่อยๆ สาดลงมา ตกกระทบลงกับใบหน้าของเขาที่กำลังเปล่งประกายไปด้วยความมุ่งมั่น!
มองย้อนกลับไปเมื่อคืน ที่เขาได้เอ่ยถามถึงทางปรภพว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เครื่องพิพากษากลับไม่กล้าที่จะเอ่ยกล่าว
เพราะคนเป็นมิอาจทำอะไรได้เลยหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรภพ ดังนั้นตามจิตใต้สำนึกแล้ว เขาจึงไม่ได้เค้นถามต่อไป
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว!
กู่ฉิงซานยืนขึ้น ปากเอ่ยพึมพำ “ในเมื่อไม่มีใครกล้าที่จะพูดเกี่ยวกับมัน ถ้าอย่างงั้นฉันก็ขอไปสำรวจปรภพดูด้วยตาตัวเองเสียเลยก็แล้วกัน!”
…………………………………………….