webnovel

0348 ทรมานวิญญาณ

ตอน 348 ทรมานวิญญาณ

 คณบดีได้ตัดสินผลลัพธ์ด้วยตนเอง

 ฉะนั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความจริง 

ฮือฮา!

 บังเกิดเสียงสนทนาดังขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า 

เสียงเหล่านั้นดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ 

ผลกลับปรากฏว่าแท้จริงแล้วผู้ฝึกสอนใช้วิธีการนี้หลอกลวงอาวุโสบังคับกฎและคณบดี! ทำราวกับว่าพวกเขาหูตาบอด! 

นั่นเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวกันแน่? 

เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วหรือ? 

ในหัวใจของยี่ชา บังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน 

เธอหวีดร้องเสียงดัง “ไม่! ท่านคณบดี โปรดทำการตรวจสอบไพ่ของข้าอย่างรอบคอบอีกครั้งเถิด ข้ามิได้ทำการดัดแปลงใดๆ กับมัน และตัวไพ่ก็สมควรที่จะไม่มีปัญหาใดๆ!” 

ในอากาศที่ว่างเปล่า มือที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้กำลังถือไพ่เทียนซวน นิ่งงันไปเล็กน้อย 

เห็นได้ชัดว่าเขาได้พิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เธอ...ยี่ชาที่เป็นเจ้าของไพ่กลับต้องการให้เขาตรวจสอบมันอีกครั้ง? 

ในตอนนั้นเอง ซูเซี่ยเอ๋อก็ดึงชายแขนเสื้อของจอมมารชุดคลุมเลือดอย่างแผ่วเบา 

เธอพูดด้วยความหวาดหวั่นว่า “ท่านอาวุโสบังคับกฎ ในเมื่อเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ ก็คงต้อง...” 

จอมมารชุดคลุมเลือดหันศีรษะของตนมา และก้มลงมองเด็กสาวข้างกายเขา 

นี่ช่างเป็นฉากที่คุ้นเคย 

มันเหมือนกันเลย ไม่แตกต่างไปจากนักเรียนหญิงของเขาในครั้งอดีต 

ในเวลานั้น มันก็เหมือนกัน ทุกครั้งที่นักเรียนหญิงของเขาถูกกลั่นแกล้ง การแสดงออกของเธอก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะท่าทาง หรือคำพูด 

เหมือนกันทุกประการ 

น่าเสียดายนัก ที่ช่วงเวลานั้นเขาพึ่งจะได้กลายมาเป็นผู้ฝึกสอน และมิได้ครอบครองพลังอำนาจมากเท่าใดนัก 

ทำให้ในตอนนั้น ก็มีบางเรื่องเหมือนกันที่เขาไม่สามารถไถ่ถามถึงความยุติธรรมสำหรับนักเรียนของตนได้ 

ในฐานะที่เป็นนักเรียนของเขา ช่วงเวลาในอดีตมันช่างเป็นอะไรที่น่าสมเพชอย่างแท้จริง 

น่าสมเพช... 

‘ปัง!’ 

“อ๊า!” 

จอมมารชุดคลุมเลือดคำรามคลั่ง ทั้งคนทั้งร่างผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าในพริบตา เลือดสังหารพวยพุ่งอย่างดุเดือด ก่อตัวเป็นทะเลเลือดอันกว้างใหญ่ขึ้นบนท้องฟ้า 

ทะเลเลือดโอบล้อมปกคลุมไปตลอดทั้งสถาบัน ส่งผลให้แต่ละคนที่กำลังเฝ้ามองดูอยู่อดไม่ได้ที่จะเริ่มหลบหนี 

กระทั่งตัวสถาบันเอง ก็ยังสั่นไหวเมื่อเผชิญกับพลังอำนาจนี้ 

จอมมารชุดคลุมเลือดจับจ้องยี่ชา ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์ “ยี่ชา! เจ้ากล้าลวงข้าต่อหน้าทุกคน แถมเจ้ายังคิดจะจูงจมูกข้าให้ลงมือกับศิษย์คนใหม่...ข้าจะฆ่าเจ้า!” 

“ไม่นะ! ท่านคณบดี โปรดช่วยข้าด้วย!” ยี่ชาร่ำร้องด้วยความหวาดกลัว ปากเร่งเอ่ยขอความช่วยเหลืออย่างร้อนรน 

“ช้าก่อน!” เสียงชราตะโกนดังขึ้น 

ภัยพิบัติกำลังจะมาถึง และคณบดีไม่อาจยอมสูญเสียไพ่ในมือที่ตนมีอยู่ไปได้ 

เขาโผล่ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า 

แท้จริงแล้วเขาคือชายชราร่างสูงใหญ่ 

ทันทีที่คณบดีปรากฏตัว เขาก็โบกมือ และอีกหกอาวุโสก็ปรากฏตัวขึ้นตามมาพร้อมกัน 

“สิ่งต่างๆ ยังไม่ชัดแจ้ง อาวุโสบังคับกฎ โปรดสงบใจลงก่อน” คณบดีกล่าว 

จอมมารชุดคลุมเลือดกำลังจะเถียง แต่เขาก็ถูกมือเล็กๆ ดึงแขนเสื้อเอาไว้ก่อน 

“ซูเซี่ยเอ๋อ มีอะไรอย่างนั้นหรือ?” เขากล้ำกลืนความพิโรธลงในลำคอแล้วเอ่ยถาม 

“ได้โปรดอย่าสังหารใครเพื่อหนูเลย หนูก็แค่ต้องการที่จะทำสิ่งที่มันถูกต้องตามกฎของสถาบัน” เด็กสาวกระซิบ 

จอมมารชุดคลุมเลือดสวนกลับทันใด “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าระบายความโกรธแค้นนี้แทนเจ้า?” 

เด็กสาวพูด “หนูเชื่อในทุกกฎระเบียบและข้อบังคับของสถาบัน หนูเชื่อว่าด้วยสิ่งนี้ ท่านคณบดีจะสามารถจัดการได้อย่างเป็นธรรม” 

พอเขาได้เห็นเธอพยายามพูดโน้มน้าวตนให้ใจเย็นแบบนี้ ก่อนอื่นเลยก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในจิตใจ 

ผู้ฝึกสอนคนอื่นๆ ก็พยักหน้ากันอย่างเงียบๆ 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “หนูร้องขอให้ทำการ ‘ทรมานจิตวิญญาณ’ของหนู” 

เพียงได้ยิน หัวใจของเหล่าผู้ฝึกสอนอาวุโสก็พลันสั่นไหว 

การทรมานวิญญาณ ก็ตามชื่อ มันคือการทรมานและไต่สวนระดับสูงสุดของสถาบัน เป็นการทรมานจิตวิญญาณเหล่าคนบาปผู้กระทำความผิดโดยตรง 

ไม่มีคำโป้ปดใดจะเล็ดลอดไปจากการทรมานจิตวิญญาณได้ 

นี่คือหนึ่งในวิชาที่รุนแรงที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้จิตวิญญาณของผู้ถูกทดสอบเกิดความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง 

ในระหว่างกระบวนการทรมาน ผู้เข้ารับการไต่สวนจะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในระดับที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณ 

เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซูเซี่ยเอ๋อถึงขั้นยินดีที่จะแบกรับความทรมานที่ว่านั่นไว้! 

ในเมื่อเธอเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น คณบดีจึงไม่คิดจะถ่ายเทพลังลงไปในไพ่บนเมื่อเพื่อทำการตรวจสอบมันอีก 

เพราะใครจะรู้ ว่าไพ่ใบนี้ยังมีกลโกงใดแอบซ่อนอยู่อีกมากมายแค่ไหน? 

เขาโยนไพ่กลับไปให้ยี่ชา 

เมื่อซูเซี่ยเอ๋อเห็นฉากนี้ สีหน้าท่าทีของเธอมิได้แสดงออกหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ มีเพียงมือที่กำแน่น คลายลงเท่านั้น 

ยี่ชารีบเอ่ยทันทีว่า “ท่านคณบดี! ได้โปรดทำการตรวจสอบไพ่ของข้าเถอะ มันมิได้มีปัญหาใดๆ จริงๆ นะ” 

คณบดีมองเธออย่างมืดมน ปากเอ่ยกล่าว “ข้าได้ทำการตรวจสอบด้วยฝูงหมาป่าแล้ว ต่อจากนั้นก็กำลังตรวจสอบด้วยการทรมานจิตวิญญาณ ถึงขั้นนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่พอใจอีกหรือ?” 

มันจะต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะยืนยันว่าไพ่ของผู้อื่นนั้นไร้ซึ่งความผิดปกติใดๆ 

หากต้องการจะทราบความจริง สู้ใช้การทรมานจิตวิญญาณที่สามารถตัดสินได้อย่างรวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือสูง มันจะไม่ดีกว่าหรือ? 

หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ยี่ชาก็มิเอ่ยสิ่งใดอีก 

ตนเองคิดลงมือกับนักเรียนต่อหน้าสาธารณะ แถมยังทำให้คณบดีไม่พอใจ 

นอกจากนี้ มันไม่มีหรอก ผู้ที่จะสามารถโกหกในระหว่างกระบวนการทรมานจิตวิญญาณได้ 

ด้วยเหตุนี้ ในใจของเธอจึงไม่กล้าที่จะทำให้คณบดีรู้สึกโกรธอีก 

จอมมารชุดคลุมเลือดก้าวมาข้างหน้า ขวางซูเซี่ยเอ๋อไว้เบื้องหลังเขา 

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นลึก “การทดสอบวิญญาณ มันจะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณเธอ ดังนั้นการทรมานจะต้องไม่มากเกินไปกว่าสามครั้ง” 

“ข้าเห็นด้วย” คณบดีกล่าว 

พวกเขาทั้งสองมองหน้ากันวูบหนึ่ง และจอมมารชุดคลุมเลือดก็ค่อยๆ ปลีกตัวออกไปด้านข้างอย่างช้าๆ 

เขาหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อและพูดเบาๆ ว่า “เซี่ยเอ๋อ นักเรียนของข้า เพียงเจ้ายืนยันรับการทรมานนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาทำให้เจ้าเปื้อนมลทินอีกนับจากนี้ไป” 

ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มและตอบกลับไปว่า “หนูเชื่อคำพูดของท่าน” 

จอมมารพยักหน้า 

ในช่วงเวลานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษาและศิษย์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น 

คณบดีสูดหายใจเข้าลึกๆ และท่าทีการแสดงออกของเขาก็กลายเป็นอึมครึมเคร่งขรึม 

การทรมานจิตวิญญาณไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นเวลานานมากแล้ว 

อย่างไรก็ตาม สำหรับในกรณีนี้ สมควรที่จะทำให้ทุกอย่างกระจ่างโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นความขัดแย้งอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนอาจถึงขั้นมิอาจคืนดีกันเลยก็ได้ 

ทุกคนกำลังเฝ้ารอผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถืออยู่ 

ด้วยเหตุนี้ การทรมานจิตวิญญาณจึงต้องกระทำต่อหน้าทุกคน 

คณบดีเอื้อมมือออกไปในความว่างเปล่า 

เขี้ยวสีดำยาวปรากฏขึ้นในมือของเขา 

คราวนี้ เขี้ยวยาวถูกแกะสลักด้วยรูปแท่นประหารและมีโครงกระดูกยืนประกบมันอยู่ทั้งสองด้าน 

โครงกระดูกหนึ่งถือดาบที่คล้ายกับฟันเลื่อย อีกหนึ่งถือแส้ยาวที่ลุกไหม้ ทั้งหมดมองไปทางคณบดี 

“มีเรื่องอะไร?” โครงกระดูกถาม 

“ทำการไต่สวนซูเซี่ยเอ๋อ” เขากล่าวเสียงต่ำ 

“ตามที่เจ้าต้องการ” โครงกระดูกกล่าว 

แล้วเขี้ยวสีดำก็หายไปอย่างฉับพลัน 

บังเกิดรังสีแสงตกลงมาจากชั้นเมฆ และร่วงลงใส่ซูเซี่ยเอ๋อ 

ทันใดนั้นซูเซี่ยเอ๋อก็สูญเสียการควบคุมร่างกายของตนไปทันที ทั้งคนทั้งร่างของเธอค่อยๆลอยขึ้นไปบนกลางอากาศ 

“กู๊กกุกๆ...” 

ในอากาศที่ว่างเปล่า บังเกิดเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าขนลุกขึ้น 

ร่างที่แต่เดิมดูคลุมเครือของสองโครงกระดูกปรากฏออกมา 

เบื้องหลังพวกมัน ปรากฏร่างเงาของแท่นประหารขึ้น 

ซูเซี่ยเอ๋อถูกแขวนบนแท่นประหารด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ผูกมัดติดตรึงร่างกายของเธอ 

“การทรมานครั้งแรกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” โครงกระดูกเปล่งเสียงเย็นสะท้าน 

“หากเจ้าโกหก จิตวิญญาณจะต้องทนแบกรับความเจ็บปวดอย่างมิอาจลบเลือน” อีกหนึ่งโครงกระดูกกล่าวด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน 

แล้วจากนั้นพวกเขาก็ยกอาวุธของตนขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทรมานซูเซี่ยเอ๋อ 

คณบดีเอ่ยถามซูเซี่ยเอ๋อเสียงดังต่อหน้าทุกคน “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าได้เคยร้องขอผู้ฝึกสอนยี่ชาว่าต้องการจะฝากตนเป็นศิษย์ของเธอหรือไม่” 

ซูเซี่ยเอ๋อตอบเพียงสั้นๆ “ไม่” 

สองโครงกระดูกมองหน้ากันและกันวูบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พวกมันกลับต้องวางอาวุธในมือของด้วยแววตาขุ่นเขียว 

หนึ่งในสองโครงกระดูกหันไปกล่าวอย่างเสียดายกับคณบดี “เธอพูดความจริง” 

ไม่จำเป็นต้องทรมานถึงสามครั้ง เพียงการทรมานครั้งแรกก็พอแล้วที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเด็กสาว! 

“ฟู่...” 

หลายคนทนไม่ไหว ต้องบรรเทาลมหายใจออกมา 

ดูเหมือนว่าความจริงจะได้รับการเปิดเผยแล้ว 

ยี่ชาตกอยู่ในความร้อนรน 

แต่แล้วเธอก็จดจำได้ถึงฉากหนึ่ง 

ในยามที่ทั้งสองพูดคุยกัน เธอได้ตั้งเขตแดนพิเศษ ‘ปรามวิญญาณร้าย’ เอาไว้ ผลของมันก็คือ เมื่อใดก็ตามที่อีกฝ่ายใช้พลังใดๆ เขตแดนก็จะสามารถแจ้งเตือนตนให้รับรู้ถึงมันได้ทันที 

แต่ในเขตแดน ยี่ชากลับไม่พบถึงการแจ้งเตือน หรือจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายกระทำสิ่งใดเลย 

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอกล้าทำตัวเอะอะครั้งใหญ่ที่นี่ จนกระทั่งเรื่องมันดำเนินมาบานปลายถึงขนาดนี้ 

ไม่มีทางถอยแล้ว 

ในหัวใจของยี่ชาเรียกความกล้ากลับคืน 

จู่ๆ เธอก็แทรกเข้ามาและเอ่ยถามอย่างฉับพลัน “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้ากล้าพูดหรือเปล่าว่าเจ้าไม่ได้วางแผนอะไรกับข้า?” 

“หุบปาก!” สีหน้าของคณบดีเดือดพล่าน 

เขาขุ่นเคืองใจยิ่งที่กำลังถูกทำราวกับโดนสบประมาท 

นี่เขากำลังจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม แต่หนึ่งในผู้ฝึกสอนกลับกล้าที่จะเข้ามาแทรกแซงการทดสอบ? 

จอมมารชุดคลุมเลือดก็จ้องเขม็งไปที่ยี่ชาเช่นกัน เจตนาฆ่าในจิตใจของเขาหนาแน่นขึ้น 

แต่ในเวลานั้น มันก็สายเกินไปแล้ว การทรมานรอบที่สองได้เริ่มต้นขึ้น 

เมื่อสองโครงกระดูกได้ยินเสียงของใครบางคนไต่สวน พวกมันก็ยกอาวุธขึ้นอีกครั้ง และตรงมาทางซูเซี่ยเอ๋อ 

“จงตอบคำถามมา!” 

โครงกระดูกกวัดแกว่งดาบใบเลื่อยฉวัดเฉวียน ตะคอกคำหนึ่ง 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบ 

ยี่ชาสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น เธอชี้ไปทางซูเซี่ยเอ๋อ เอ่ยเสียงดังลั่น “ดู! พวกท่านจงเร่งดูเถอะ! เห็นหรือไม่ว่าเธอไม่กล้าที่จะตอบคำถามข้า!”  

เหล่าผู้คนจึงละความสนใจจากยี่ชาไปครู่หนึ่ง และต่างพากันหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อ 

แต่กลับพบว่าใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อดูจะเจ็บปวด และแสดงออกถึงความไม่เต็มใจเล็กน้อย 

การทรมานจิตวิญญาณ เป็นการทรมาน และการแสดงออกถึงความลังเลของเธอจึงสามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ 

อย่างไรก็ตาม เธอเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ “บางที หากท่านผู้ฝึกสอนเคยถูกใส่ร้ายมาก่อน ก็ไม่แปลกที่ท่านอาจจะคิดว่าแม้กระทั่งนักเรียนฝึกหัดก็ยังสามารถใส่ร้ายท่านได้” 

ซูเซี่ยเอ๋ออ้าปากสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดต่อ “ถ้ามีใครบางคนเคยทำแบบนั้นกับท่านผู้ฝึกสอนแล้วล่ะก็ หนูก็คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วย แต่คงต้องบอกตามตรงว่า หนูไม่ฉลาดพอที่จะวางแผนใส่ร้ายท่านได้หรอก” 

สองโครงกระดูกวางอาวุธของพวกมันลงด้วยความเสียดาย “ความจริง! นี่คือความจริง!” 

ยี่ชากลายเป็นโง่งม 

เธอไม่สามารถทำใจตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าตัวเองในปัจจุบันได้ 

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมันวางกับดักเธอ แต่ทำไมผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่ามันไม่ได้ทำซะอย่างนั้น? 

แต่แล้วจู่ๆ ก็บังเกิดประกายบางอย่างขึ้นในจิตใจของยี่ชา

 ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจถึงเทคนิคของอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน!

 โดยไม่คำนึงถึงความโกรธของคณบดี และการจับจ้องของจอมมารชุดคลุมเลือด เธอเร่งเอ่ยคำถามสุดท้ายอย่างหมดหนทาง

 “ผู้สมคบคิด! เจ้าต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดแน่นอน!” 

เธอตะโกนลั่น “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ฉลาด ดังนั้นเจ้าจะต้องมีใครสักคนหนึ่งช่วยเจ้า และแผนการทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คนสมรู้ร่วมคิดของเจ้ากระทำใช่หรือไม่?” 

โครงกระดูกทั้งสองหันมามองซูเซี่ยเอ๋ออีกครั้ง 

หนึ่งในสองตะคอกคำหนึ่ง “จงตอบคำถาม!” 

คณบดีกับจอมมารชุดคลุมเลือดโกรธจนแทบบ้า 

พวกเขาเป็นถึงคนที่ริเริ่มใช้การทรมานจิตวิญญาณ แต่ดันกลับปล่อยให้สถานการณ์ถูกแทรกแซงจนกลายแบบนี้ได้ 

หากแม้กระทั่งการทรมานจิตวิญญาณยังไม่เป็นธรรม แล้วสถาบันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! 

“ยี่ชา นี่เจ้า...” คณบดีเปล่งเสียงออกมาอย่างมืดมน 

“ดู! ท่านดูสิ! เห็นไหมว่าเธอไม่กล้าตอบ!” ยี่ชาตะโกนกลางชี้ไปทางซูเซี่ยเอ๋อ 

สองโครงกระดูกทั้งสองยกอาวุธขึ้น 

หนึ่งในสองโครงกระดูกจ้องดูซูเซี่ยเอ๋อและพูดด้วยความตื่นเต้น “ถ้าเจ้าไม่ตอบ เราจะใช้แส้วิญญาณมอบความเจ็บปวดที่เกินกว่ามนุษย์คนใดจะสามารถทนได้ให้แก่เจ้า” 

อีกหนึ่งกล่าว “เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็ต้องพูดความจริงออกมาอยู่ดี” 

ซูเซี่ยเอ๋อยังคงเงียบ 

เธอไม่ได้มองโครงกระดูกทั้งสอง แต่กลับมองไปที่ยี่ชา 

เหล่าผู้คนได้ยินเพียงเสียงกระซิบอันแผ่วเบาของเธอ “ผู้สมรู้ร่วมคิด? น่าเสียดายที่ท่านผู้ฝึกสอนคิดแบบนั้น ไม่มีหรอก...ไม่มี ‘คน’ สมรู้ร่วมคิดกับหนูทั้งนั้น” 

สองโครงกระดูกชะงักงัน 

ทันใดนั้นพวกมันก็วางอาวุธลงและประกาศต่อหน้าคณบดีและกลุ่มคน “เธอกำลังพูดความจริง” 

“ไม่! เจ้ากล้าที่จะพูดหรือไม่ว่า...” ยี่ชาตะโกนและกำลังจะเอ่ยถามอีกครั้ง 

และการแสดงออกทางสีหน้าของสองโครงกระดูกก็เผยถึงความสนใจ 

ทว่าในขณะนั้นเอง เสียงหม่นทะมึนของคณบดีก็ตะโกนขึ้นเสียก่อน “ครบสามครั้งแล้ว! การทดสอบทรมานจิตวิญญาณเป็นอันสิ้นสุดลง!” 

เห็นเพียงมือของคณบดีที่วูบออก และทั้งแท่นประหารและสองโครงกระดูกก็หายวับไปทันที 

จอมมารชุดคลุมเลือดพุ่งตัวออกไป คว้าร่างของซูเซี่ยเอ๋อ และซ่อนตัวเธอไว้เบื้องหลังเขา 

ทั้งสองต่างหันไปมองยี่ชาพร้อมกัน 

สองตัวตนที่ทรงพลานุภาพ ออกเดินทางไปทั่วหมื่นสวรรค์โลกา บัดนี้ในแววตาของพวกเขากำลังเผยถึงความโกรธ!

………………..………………..