ตอนที่ 151 เบาะแส
หลังมื้ออาหารเย็น กู่ฉิงซานกับเหลิงเทียนสิงก็ร่ำลาคนของสำนักเหยากวาง และเดินทางออกจากค่ายทหาร
พวกเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปทางทิศเหนือ
“หานกู่กวน ข้าจำได้ว่ามันพึ่งล่มสลายลงเมื่อสองวันก่อน” เหลิงเทียนสิงเล่า
“อืม เจ้าคิดว่าจะมีเผ่ามารหลงเหลืออยู่ที่นั่นหรือไม่”
“ข้าว่าตอนนี้เรามาพูดถึงสิ่งที่เรากำลังจะลงมือกันจริงๆ ดีกว่า” เหลิงเทียนสิงกล่าว
“เฮ้อ...ข้าไม่สามารถปกปิดมันจากเจ้าได้จริงๆ” กู่ฉิงซานหัวเราะ “เราจะไปสำรวจค่ายที่แตกพ่ายกันก่อน จากนั้นจึงค่อยไปยังหานกู่กวนในภายหลัง”
“ค่ายที่แตกพ่าย?”
เหลิงเทียนสิงอ้าปาก ราวกับว่าต้องการจะเอ่ยบอกสิ่งออกมา ทว่าสุดท้ายแล้วก็มิได้เปล่งเสียงใดๆ
“ถูกต้อง ไปสำรวจดู บางทีอาจจะค้นพบบางสิ่งก็เป็นได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดถูกทำลาย แม้กระทั่งศพก็คงจะไม่หลงเหลือเนื่องจากทั้งหมดถูกกัดกินไปหมดแล้วโดยพวกมาร” เหลิงเทียนสิงกล่าว
“อย่างไรก็ไปกันก่อนเถอะ”
ทั้งสองทะยานเหินข้ามภูเขา หนองบึง ผืนป่า ค่อยๆ เข้าใกล้ทะเลสาบในไม่ช้า ฝีเท้าของทั้งสองจึงค่อยๆ ชะลอลง
“ค่ายหุบเขาธารน้ำตก? นี่ใช่เป็นค่ายเดียวกันกับที่เจ้าได้รับมอบหมายภารกิจในครั้งก่อนหรือไม่” เหลิงเทียนสิงมองไปยังกู่ฉิงซาน
“ใช่แล้ว เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ ค่อยๆ เข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง” กู่ฉิงซานกล่าว
ทั้งสองกระชับอาวุธไว้ในกำมือ กู่ฉิงซานถือดาบพิภพ เหลิงเทียนสิงถือพัดหยก ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ค่ายหุบเขาธารน้ำตกอย่างเงียบๆ
ภายในค่ายทหาร ตกอยู่ในสภาพสับสนวุ่นวาย ปรากฏกลิ่นสาบลอยฟุ้งมากมาย เด่นชัดที่สุดคงจะเป็นกลิ่นเลือดที่ชโลมลงไปในพื้นดิน
หลังจากมวลมารทำการฆ่าสังหาร พวกมันก็ได้ออกไปจากที่นี่ทันที เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่อสู้ถัดไป
หากมิได้รับคำสั่งจากเผ่ามารระดับสูง ต่อให้ต้องตาย พวกมารก็มิมีแนวคิดที่จะตั้งรกรากยึดมั่นป้องกันค่ายที่บุกจนแตกพ่ายนี้ ในจิตใจของพวกมันมีเพียงการฆ่าและกัดกิน อยากสัมผัสถึงรสชาติเนื้อมนุษย์ และมุ่งบุกโจมตีไปยังสถานที่ที่พวกเขาอยู่เท่านั้น
โดยทั่วไปแล้วภารกิจที่พวกมารได้รับคำสั่งจากเผ่ามารระดับสูง คือการสั่งการให้พวกมันมุ่งโจมตีไปยังค่ายทหารของมนุษยชาติ
ทั้งสองเข้าไปในค่ายอย่างระมัดระวัง
เหลิงเทียนสิงย่นจมูก คิ้วขมวดมุ่น “หากมิใช่เพราะเจ้าเอ่ยปาก ข้าคงไม่มีทางย่างกรายเข้ามายังสถานที่เช่นนี้เป็นแน่”
กู่ฉิงซานก็พลันจำได้ว่า ในโลกเทวะ เหลิงเทียนสิงกล่าวว่าตนยอมต่อสู้จนตาย แทนที่จะใช้ต่อมกลิ่นสาบจากดวงตาของมารมาชโลมชุดเกราะ
เจ้าหมอนี่ ดูท่าจะติดนิสัยรักความสะอาดอย่างแท้จริง
เขาเอ่ยปากขอโทษ “เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบทำให้มันจบๆ ไป ส่วนเจ้าก็รับหน้าที่คอยเฝ้าระวังก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินว่าหน้าที่ของตนมีเพียงแค่ให้เฝ้าระวัง มิจำเป็นต้องจับต้องสิ่งโสมมใดๆ เหลิงเทียนสิงก็ค่อยบรรเทาความตึงเครียดลงไปหลายส่วน
มองไปยังกู่ฉิงซานที่แลดูจะมิรังเกียจซากศพมารเน่าๆ เศษเนื้อและกระดูก เสื้อคลุมที่ขาดวิ่นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสกปรก คอยเดินไปสำรวจมันทีละส่วนๆ ลักษณะท่าทีแลดูเกือบจะเข้าสู่สภาวะหมกมุ่นทุ่มเท
ในจิตใจของเหลิงเทียนสิงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวสรรเสริญอีกฝ่าย หากสลับสับเปลี่ยนเป็นตัวเขาเอง คงไม่คิดแม้จะชายตามองสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยาม กู่ฉิงซานก็กลับมาหาเหลิงเทียนสิงอีกครั้ง
“ล้างมือซะ”
เหลิงทียนสิงขมวดคิ้ว พัดหยกสั่นไหว ปรากฏหยดน้ำขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ
กู่ฉิงซานล้างมือ และทำความสะอาดชุดเกราะของเขา
ระหว่างสำรวจ สองมือของกู่ฉิงซานคว้าจับไปหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นดิสก์ค่ายกลที่เสียหายหรือบางอย่างที่อาจจะพอเป็นสมบัติได้ ฯลฯ
“สำรวจดิสก์ค่ายกลแล้วใช่ไหม? ได้ความว่าอย่างไรบ้างเล่า พบปัญหาหรือไม่”เหลิงเทียนสิงถาม
“ใช่ บางทีอาจจะพบเงื่อนงำแล้วก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว
เหลิงเทียนสิง “แต่ก่อนหน้าที่หลายค่ายทหารจะแตกพ่ายลง เหล่านายพลและปรมาจารย์ค่ายกลต่างก็พยายามทำการตรวจสอบดิสก์ค่ายกลแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่อาจค้นหาได้ว่าเหตุใดจู่ๆ มันจึงผิดปกติ”
กู่ฉิงซาน “ข้าต้องการจะลองอีกครั้ง”
“เอาเถอะ ข้าหวังว่าเจ้าจะพบเบาะแสได้สำเร็จ เมื่อถึงเวลานั้นข้ากับเจ้าคงได้ผลประโยชน์ร่วมกัน หากได้แต้มความสำเร็จมา ข้าจะแบ่งมันเพิ่มให้เจ้าอีกส่วนหนึ่งด้วย” เหลิงเทียนสิงกล่าว
นี่คือการกระตุ้นให้กำลังใจ เพื่อเป็นการประกันว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีล่วงหน้า
หากเป็นทหารยศนายพลทั่วๆ ไปก็คงจะไม่มองการณ์ไกลถึงขนาดนี้ ทว่าเหลิงเทียนสิงนั้นแตกต่างออกไป เขามักจะคิดถึงความรู้สึกของผู้ที่มียศน้อยกว่าเสมอ มิหยิ่งยโสและคิดว่าตนไร้ที่ติเหมือนกับทหารยศสูงคนอื่นๆ
เหลิงเทียนสิงมิได้หยิ่งยโสใดๆ เลย ตรงกันข้าม เขากลับพูดจาสนิทสนมและถือว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนแท้จริงๆ ด้วยซ้ำ
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “วางใจได้ หากได้รับแต้มความสำเร็จทางทหาร ข้าก็จะไม่ลืมนึกถึงเจ้าเช่นกัน”
เขาทำความสะอาดดิสก์ค่ายกลหลายอันอย่างระมัดระวัง และเก็บรวบรวมพวกมัน
“เอาล่ะ มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารต่อไปกันเถอะ”
“ตกลง”
ทั้งสองทะยานออกไปในทิศทางเดียวกัน
หลังจากวิ่งมาตลอดครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงจุดหมายต่อไป
ทั้งสองทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลากลางคืน สำรวจค่ายทหารจำนวนมาก และเก็บรวบรวมดิสก์ค่ายกลที่ถูกทิ้งไว้
หลังจากที่สำรวจมาทั้งวัน ทั้งพลังงานร่างกายและพลังวิญญาณก็ร่อยหรอ
พวกเขาจึงมองหาสถานที่ซ่อนตัว จากนั้นจึงหยุดพักกินอาหารแห้ง
กู่ฉิงซานหยิบหนึ่งในดิสก์ค่ายกลที่ถูกทิ้งไว้ออกมาวางตรงหน้า
และริเริ่มทำการตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
ในที่สุดเหลิงเทียนสิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “ดิสก์ค่ายกลเหล่านี้เคยได้รับการตรวจสอบแล้วโดยปรมาจารย์ค่ายกล แต่ก็ยังไม่อาจค้นพบปัญหาใดๆ”
“สายตาข้ากับพวกเขาน่ะมันแตกต่างกัน” กู่ฉิงซานกล่าวขณะที่ยังจับจ้องดิสก์ค่ายกลไม่วางตา
“โอ๋? แตกต่างกันอย่างไร?” เหลิงเทียนสิงเริ่มเกิดความสนใจ
“พวกเขาน่ะมุ่งความสนใจอยู่กับแต่ดิสก์ค่ายกล ทว่าข้าไม่ใช่” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาหยิบดิสก์ที่แตกหักขึ้นมา สำรวจเพียงครู่ก็ส่ายหัวและวางมันลง
ไม่นานก็หยิบมันขึ้นมาอีกแผ่น ตรวจสอบมันอีกครั้ง และวางลงดังเดิม
“เอาเถิด” เหลิงเทียนสิงถอนหายใจ “หวังว่าเจ้าจะสามารถเก็บเกี่ยวเบาะแสเพิ่มเติมได้นะ”
“หืม...?”
น้ำเสียงของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้น เขาถือดิสก์แผ่นนี้อยู่นาน ทว่าก็ยังไม่วางมันลง
เขาถือดิสก์อย่างระมัดระวัง ราวกับกำลังถือสมบัติล้ำค่า
“เกิดอะไรขึ้น?” เหลิงเทียนสิงถาม
“ไม่มีอะไรหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาจ้องมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เห็นเพียงเส้นแสงหิ่งห้อยร้อยเรียงเป็นตัวอักษรขนาดเล็กบรรทัดหนึ่งเด้งออกมาจาก ‘วิชายุทธเทพสงคราม’
“สกิล ‘กรงเล็บทิ่มแทง’ นี่มิใช่เทคนิคของมนุษยชาติ ดังนั้นจึงมิอาจทำการเรียนรู้ได้”
เขามองไปยังเส้นแสงหิ่งห้อยอยู่นาน โดยมิได้เอ่ยคำใด
หลังจากผ่านพ้นไปหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม ทั้งสองก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง
“ตอนนี้พวกเราจะขี่อสูรวิญญาณแทนการเดินเท้า” กู่ฉิงซานกล่าว
“หา?” เหลิงเทียนสิงชะงักงัน “นั่นก็ได้อยู่หรอก ทว่าพวกเรามิสมควรจะใช้มันเดินทางในที่สูงนะ”
“พวกเราจะบินในระดับต่ำ ยามนี้พวกเราเหนื่อยล้าสะสมมามากแล้ว สมควรเก็บออมพลังงานร่างกายเอาไว้ เผื่อในกรณีที่เกิดการต่อสู้ขึ้น จะได้มีกำลังมากพอที่จะจัดการ” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าวด้วยสีหน้าคลุมเครือ
เหลิงเทียนสิงผงกหัว โดยไม่สังเกตถึงสีหน้าของกู่ฉิงซาน เพราะเขากำลังขบคิดอยู่ว่าที่อีกฝ่ายกล่าวก็มีเหตุผลเช่นกัน
ทั้งสองตบลงในถุง ปลดปล่อยอสูรวิญญาณออกมา
ของกู่ฉิงซานเป็นกระเรียน ส่วนเหลิงเทียนสิงเป็นมารผีเสื้อยักษ์
มารผีเสื้อยักษ์ตัวนี้ปลดปล่อยไอผลึกสีฟ้าส่งออกมาจากทั่วร่างกาย มองเพียงครู่เดียวก็พอจะบอกได้ว่ามันเป็นมอนสเตอร์ที่สามารถปลดผนึกพลังวิญญาณมารธาตุน้ำได้แล้ว ทว่าหลังจากนั้นก็ถูกมนุษย์จับตัวมาและทำเป็นสัตว์ขี่
“มารอสูรขอบเขตก่อตั้งขั้นปลาย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้องแล้ว ดูเจ้าซี พึ่งจะอยู่เพียงขอบเขตก่อตั้งขั้นต้นเท่านั้นเอง สู้มารอสูรของข้ายังมิได้เลย เกรงว่าเจ้าคงจำต้องฝึกฝนอย่างหนักเสียแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า” เหลิงเทียนสิงเอ่ยหยอก
ทั้งสองขึ้นไปบนอสูรวิญญาณ และเริ่มมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารต่อไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา
เบื้องนอกค่ายทหารล่วนซาน
กู่ฉิงซานกับเหลิงเทียนสิงยืนอยู่บนเนินเขา เก็บอสูรวิญญาณกลับคืน
ทั้งสองก้มลงมองไปยังเบื้องล่าง
“อาจจะมีคนอยู่” สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง
“มีคน? นั่นมันเป็นไปไม่ได้” เหลิงเทียนสิงยื่นหัวออกมา ก้มลงมองไปยังค่ายทหารล่วนซาน
ทว่ามันกลับไกลเกิน แม้กระทั่งวิสัยทัศน์ของเขาก็ยังมองไม่เห็นมันได้อย่างชัดเจน
“ข้าพอจะมีอสูรวิญญาณสอดแนมอยู่หนึ่งตัว เช่นนั้นก็ใช้...” ระหว่างกล่าว เหลิงเทียนสิงก็เตรียมตบลงบนถุงสัมภาระ
ทว่ามือของเขาถูกคว้าห้ามโดยกู่ฉิงซานเสียก่อน
“ไม่ดีหรอก ตอนนี้มันค่อนข้างจะอันตราย ไม่สมควรจะใช้อสูรวิญญาณ พวกเราลงไปดูกันด้วยตนเองจะดีกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว
ทั้งสองลงจากเนิน ค่อยๆ เข้าไปใกล้ค่ายทหารอย่างช้าๆ
ทว่าในตอนนั้นเอง เมื่อพบเห็นถึงบางสิ่งเบื้องหน้า ฝีเท้าของพวกเขาก็ต้องหยุดลง!
........................................