ตอนที่ 137 ท่วมท้น
กู่ฉิงซานเม้มริมฝีปากของเขา สักพักจึงเอ่ยถาม “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับระบบ?”
“ระบบมีความสามารถแค่เพียงรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมิติและเวลาเท่านั้น มันไม่สามารถตรวจสอบความจริงได้ ผู้เล่นจำเป็นต้องค้นหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง”
“ฉันก็ต้องการจะค้นหาคำตอบนั้นด้วยตัวเองอยู่หรอก แต่คุณดันบอกให้ฉันกลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ!”
“หากผู้เล่นไม่ได้เข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กระแสเวลาของผู้เล่นจะได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงชนิดไม่อาจคาดเดาได้”
กู่ฉิงซานส่ายหัวอย่างหมดหนทาง และเตรียมที่จะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปแล้ว
เนื่องจากระบบได้เด้งแจ้งเตือนเขาอีกครั้ง
“ร้องขอให้ผู้เล่นทำการเข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธในทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงของมิติและเวลาในโลกใบนี้ เริ่มทำการนับถอยหลังสูงสุดสามสิบวินาที…เริ่มต้นการนับถอยหลัง!”
“สามสิบ ยี่สิบเก้า ยี่สิบแปด…”
กู่ฉิงซานหันหน้าไปอีกทาง พร้อมตบลงบนบ่าซางหยิงฮ่าว “เรื่องเขา ฉันฝากให้นายก็แล้วกัน ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องกลับไปจัดการปัญหาเร่งด่วนชั่วคราว แล้วจะรีบกลับมาตามหานายอีกครั้ง”
กู่ฉิงซานหันไปพยักหน้าให้เย่เฟย์หยู ก่อนจะหันหลังและรีบถอยฉากไปยังจุดที่ไกลออกไปทันที
เมื่อหลบข้ามพ้นมาในมุมหนึ่ง กู่ฉิงซานก็กล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง”
“ฉันอยู่นี่”
“ฝากปกป้องพวกเขาแทนฉันด้วย”
“ทราบแล้ว ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติโปรดวางใจ”
ปรากฏม่านแสงสว่างวาบ พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่หายไปจากโลกจริงอย่างไร้ร่องรอย
อีกด้านหนึ่ง ในสนาม
ซางหยิงฮ่าวส่ายหัว กล่าวอย่างขบขัน “ยังไม่ทันจะได้ไปฉลองกันเลย เจ้าบ้านั่นก็หนีไปซะแล้ว ดูท่าทางจะรีบร้อนมากซะด้วย”
ซางหยิงฮ่าวดูจะยังคงตกอยู่ในอาการตื่นเต้น เขาเอ่ยปากพูดต่ออย่างอารมณ์ดี “ปล่อยเขาไปเถอะ ว่าแต่น้องชายอยากให้ฉันพาไปยังสถานที่ดีๆ ใช่ไหม เตรียมตัวได้รับการบริการจากสาวๆ ในระดับจักรพรรดิได้เลย และรับประกันว่านายจะต้องจดจำค่ำคืนนี้ไปอีกนาน”
“ไม่จำเป็นต้องเลิศเลออะไร ตราบใดที่มันพอจะซุกหัวให้พักผ่อนได้ ที่ไหนก็คงจะเหมือนกัน” เย่เฟย์หยูก้มลงมองอาการบาดเจ็บของตัวเองและกล่าว
ซางหยิงฮ่าวก้าวเข้ามาเบื้องหน้าอย่างกระตือรือร้นและกล่าวอย่างอบอุ่น “ขอแนะนำตัวอีกครั้ง จำไว้ให้ดีล่ะ ฉันคือหัวหน้าแห่งสมาคมนักล่า สมาคมอันดับหนึ่งแห่งรัฐบาลกลาง ซางหยิงฮ่าว หวังว่าจากนี้ไปในอนาคตพวกเราจะร่วมมือกันได้ดีนะ”
เขายื่นมือออกไปเตรียมเชคแฮนอีกฝ่าย
เย่เฟย์หยูเห็นเขาดูอบอุ่นและจริงจัง ตนจึงถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นถึงนัยย์ตาสีแดงเข้ม
เขาจ้องมองซางหยิงฮ่าวอย่างจริงใจ ก่อนจะยื่นมือไปจับกับอีกฝ่าย
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเป็นผีดิบนักฆ่าคนแรกของโลก ชื่อว่า เย่เฟย์หยู”
ดวงตาสองคู่ประสานกัน
ซางหยิงฮ่าวจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เม็ดเหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเขา
ทุกฉากที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด ไหลเข้ามาในจิตใจ
คราวนี้เขากระจ่างชัดทุกอย่างแล้วอย่างแท้จริง
เม็ดเหงื่อเย็นหยดย้อยไหลผ่านหน้าผากของซางหยิงฮ่าว ทั้งคนทั้งร่างเริ่มสั่นสะท้าน
เขาพยายามจะชักมือออก แต่กลับพบว่าตนเองไม่สามารถทำได้
เย่เฟย์หยูจับมือของเขาซะแน่น เพื่อแสดงถึงความจริงใจและเคารพให้แก่เขา
ซางหยิงฮ่าวสูดหายใจลึก ฝืนบีบเคล้นๆ รอยยิ้มน่าเกลียดที่ดูราวกับว่ากำลังจะร้องไห้ออกมาและกล่าว “โอ้น้องชาย ฉันมั่นใจว่านายจะต้องเป็นหุ้นส่วนที่ดีอย่างแน่นอน”
ณ โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ
หลังจากที่การทดสอบประจำปีได้สิ้นสุดลง ในแต่ละวันเหล่านิกายต่างๆ ก็ล้วนตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด
ภายในวังร้อยบุปผา
เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้าของนางเซียนไป่ฮั่ว
นางเซียนไป่ฮั่วคว้ายันต์ที่ลุกไหม้และกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไป
“ข่าวกรองนี้ช่างประหลาดนัก” เธอกล่าว
“ประหลาดอย่างไรงั้นเหรอ?” ซิวซิวถามซอกแซก
“หลายวันมานี้ ไม่มีวี่แววของมารผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยครอบครองธารเมฆามารในอดีตอีกเลย ร่องรอยทั้งหมดของมันจู่ๆ ก็หายไป”
“อาจเป็นเพราะมันได้ลอบเข้ามาสู่ดินแดนของมนุษยชาติแล้วหรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม
“มิใช่แน่นอน พวกเรากำลังเฝ้าจับตาดูมันอย่างใกล้ชิด ทันทีที่พวกมันปรากฏตัวขึ้น พวกเราย่อมที่จะสามารถตระหนักได้ในทันที” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
“หลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบและยืนยันอีกครั้งและอีกครั้ง ผลออกมาคล้ายกับว่าพวกมันได้หายตัวไปจากโลกของเราเสียมากกว่า” นางกล่าวเสริม
“นั่นนับว่าเป็นสิ่งที่ดี” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าพวกมันทั้งหมดจากไปแล้ว พวกเราก็จะสามารถคว้าชัยชนะมาไว้ในกำมือได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องต่อสู้อีกต่อไป”
“แต่มารนักปราชญ์ในโลกใบนี้ ยังไม่มีตนใดจากไปเลย” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
เธอลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ย “แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันเรื่องเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่นี่นับว่าเป็นโอกาสทองสำหรับมนุษยชาติ”
“เดิมทีพวกเราหมายจะเริ่มทำการบุกโจมตีหยั่งเชิงหลังจากการทดสอบประจำปีจบลง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ขั้นแตกหักได้โดยแท้จริงแล้ว”
กู่ฉิงซานเมื่อได้ฟัง ในหัวใจของเขาก็หม่นทะมึนลง
เผ่ามารในต่างโลกได้หายตัวไป แล้วพวกมันหายไปไหนกัน?
ถ้าฟังจากร่างที่ถูกตอกตรึงบนเสาร์ยักษ์สีทองแดงกล่าว พวกมันคงมุ่งเน้นไปคว้าจับลูกพลับที่อ่อนกว่า
ซึ่งนั่นหมายถึงโลกจริง
ในช่วงระยะเวลาปัจจุบันนี้ เผ่ามารจะไม่สามารถเข้าสู่โลกจริงได้ด้วยตัวเอง แต่พวกมันจะทำการสร้างอสูรทะเลและไวรัสผีดิบนักฆ่าส่งลงไปแทน ถ้าอย่างงั้นจากนี้ไป พวกมันจะคิดจะทำอะไรต่อกันแน่?
ในโลกจริงขณะนี้ราวกับถนนที่เต็มไปด้วยหลุมผุพัง มันไม่สามารถรองรับภัยพิบัติระลอกสามได้อีกต่อไปแล้ว
ให้ตายสิ ตอนนี้จริงๆ แล้วฉันควรจะต้องอยู่ในโลกจริงและคอยเฝ้าดูถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น!
กู่ฉิงซานหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางทำอะไรได้
ในชีวิตนี้ สถานการณ์ของทั้งสองโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป ผู้คนหันมาร่วมมือกันอย่างล้นหลาม
ในโลกจริงน่ะไม่ต้องกล่าวถึง กล่าวแค่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธก็พอ
ในชีวิตก่อนหน้า พวกผู้เล่นอย่างน้อยก็ยังสามารถเริ่มต้นจากการฆ่ามอนสเตอร์ขนาดเล็ก ค่อยๆ เพิ่มพูนความแข็งแกร่งของพวกเขาไปที่ก้าว ทีละก้าว ค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ
แต่ในชีวิตนี้ ณ ขณะนี้มนุษยชาติได้ค้นพบกลอุบายอันชาญฉลาดของเผ่ามารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาค้นพบโลกเทวะ และครอบครองความได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์และไม่จำเป็นต้องจัดการกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไป และเริ่มทำการใหญ่ได้ในทันที
ที่ฉันเข้ามาในครั้งนี้ ในไม่ช้า ฉันจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างมนุษยชาติและเผ่ามาร!
แม้นี่เป็นเกมอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงนี้ หากพลาดพลั้งกู่ฉิงซานก็จะตกตายลงจริงๆ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระแสสงครามอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ชะตากรรมของแต่ละคนคงเหมือนกับกำลังล่องลอยอยู่ในหนองน้ำ เผลอไผลเพียงครู่อาจถึงขั้นร่วงหล่นจมหายไปเลยก็เป็นได้
ท้ายที่สุดแล้ว...ฉันควรจะทำอย่างไรดี?
กู่ฉิงซานเหลือบมองไปยังนาฬิกาทรายอย่างรวดเร็ว
นาฬิกาทรายยังคงไหลลงมาอย่างเชื่องช้า นับตั้งแต่ที่ได้เข้าไปยังมิติอันแปลกประหลาด กระแสเวลาของเขาก็ผันผวนวุ่นวายจนยากที่จะคาดคำนวณเวลาที่แม่นยำได้
ครั้งนี้ที่เขาเข้ามาในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ยังไม่รู้ว่าเลยว่าเมื่อไหร่จึงได้กลับไป
เขาลอบถอนหายใจออกมา
ตัวเขาในตอนนี้ยังไม่มีพลังงานมากพอที่จะจัดการกับโลกจริงอีกต่อไปแล้ว และจำต้องหันความสนใจมายังการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงนี้อย่างเต็มที่
ฉันคงได้แต่หวังว่าช่วงเวลาที่ตัวฉันอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มันจะไม่เกิดเหตุการณ์อะไรสำคัญๆ ในโลกจริงขึ้นมาซะก่อน
กู่ฉิงซานระงับความคิดว้าวุ่นของเขาชั่วคราว และมุ่งความสนใจมายังผู้คนในวังร้อยบุปผา
เห็นเพียงแค่นางเซียนไป่ฮั่วกำลังโบกสะบัดมือ พร้อมกับวัตถุสองอย่างที่ตกลงบนโต๊ะ
มันเป็นบัตรยืนยันตัวตนสองใบ ใบหนึ่งอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน อีกใบหนึ่งลอยไปหยุดเบื้องหน้าของฉินเซี่ยวโหลว
บัตรยืนยันตัวตนของกู่ฉิงซานยังคงมีสีบรอนซ์ แต่เมื่อเทียบกับในครั้งแรกแล้ว บัตรยืนยันตัวตนใบนี้ไม่หยาบกระด้างอีกต่อไป
ตรงกลางบัตร แกะสลักด้วยสีแดงเข้ม ระบุสองตัวอักษรจีนขนาดใหญ่ที่แลดูทรงพลัง
‘พันตรี’
กู่ฉิงซานจ้องมองลงมายังบัตรยืนยันตัวตนยศพันตรีที่วางอยู่เบื้องหน้า และเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “นี่หมายความว่าข้าได้เลื่อนขั้นมาเป็นนายทหารยศพันตรีแล้วใช่หรือไม่?”
นายทหารยศพันตรี หากนับจาก‘หกนายทหาร’ จัดว่าอยู่อันดับที่สาม ด้วยสถานะนี้นับว่าไม่เลวเลย
ในระบบกองกำลังพันธมิตรของมนุษยชาติ จะถูกแบ่งออกเป็น ‘หกนายทหาร’ ‘สี่นายพล’ และ ‘สองผู้บัญชาการ’ตามลำดับชั้น
สำหรับ ‘สิบตรี’ ‘สิบโท’ และ ‘สิบเอก’ จะมิถูกนับรวมเป็นยศนายทหาร เป็นเพียงตำแหน่งที่คอยควบคุมดูแลทหารกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น
ส่วนตำแหน่ง ‘หกนายทหาร’ ที่กู่ฉิงซานพึ่งได้เลื่อนยศมา จะแบ่งเรียงลำดับออกเป็นดังนี้ ‘ร้อยตรี’ ‘ร้อยโท’ ‘ร้อยเอก’ ‘พันตรี’ ‘พันโท’ และสุดท้าย ‘พันเอก’
ระบบลำดับชั้นนี้ได้รับการถกเถียงกันอย่างเข้มข้น และในที่สุดจึงสามารถตัดสินกันได้อย่างลงตัว และได้รับการยอมรับโดยนิกายทั้งหมดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ
สำหรับผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ การจะเลื่อนยศแต่ละยศ จำต้องสะสมความสำเร็จทางกองทัพให้ได้เป็นจำนวนหนึ่งเสียก่อน
แต่สำหรับผู้เล่น วิธีการเลื่อนยศของพวกเขา จะขึ้นอยู่กับจำนวนของมอนสเตอร์หรือเผ่ามารที่กำจัดได้
ช่วงชีวิตก่อนหน้า หากผู้เล่นทำการกำจัดเผ่ามารแปดร้อยตน พวกเขาจะได้รับยศทางการทหาร กลายมาเป็นนายทหารยศร้อยตรี แต่หากต้องการจะเลื่อนยศจากร้อยตรีมาเป็นร้อยโทแล้วล่ะก็ ผู้เล่นจำต้องกำจัดเผ่ามารอีกถึงสองพันตน
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า ในการเลื่อนยศแต่ละขั้น จำนวนเผ่ามารที่ต้องกำจัดก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
การที่ผู้เล่นจะสามารถก้าวขึ้นสู่ยศพันตรีได้นั้น พวกเขาจะต้องกำจัดเผ่ามารให้ได้ถึงสามหมื่นแปดร้อยตน!
นี่ช่างเป็นจำนวนที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง และมีเพียงผู้คนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถกระทำมันได้
ไม่ต้องกล่าวถึงผู้เล่นคนอื่นๆ หรอก ถ้าว่ากันตามกฎที่แท้จริงของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธใบนี้ กู่ฉิงซานที่เป็นทหารในกองพันทหารม้า หากต้องการเลื่อนยศขึ้นสู่นายทหาร เขาจะต้องพยายามสร้างผลงานเล็กๆ อย่างน้อยสิบครั้ง หรือผลงานใหญ่เพียงหนึ่ง เพื่อก้าวขึ้นสู่นายทหารยศร้อยตรี
“ร้อยตรี” เป็นระดับต่ำสุดในบรรดาหกนายทหาร กว่าที่จะปีนป่ายขึ้นมาถึงช่างยากลำบากยิ่ง ทว่าบัตรยืนยันตัวตนของกู่ฉิงซานที่วางอยู่เบื้องหน้านี้ แท้จริงแล้วกลับเป็นถึงยศพันตรี!
เขาก้าวกระโดดจากปกติมาถึงสามขั้น!
“นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับ มิต้องคิดอะไรให้ยุ่งยากไปหรอก” ห่านขาวกล่าว
นางเซียนไป่ฮั่วยิ้มและกล่าว “เจ้าช่วยชีวิตสองยศนายพลเอาไว้ได้ แถมยังสามารถทำให้นักปราชญ์ลงมือออกหน้าเป็นการส่วนตัว ช่วยเปิดเผยสายลับคนทรยศในมนุษยชาติ ค้นพบโลกเทวะ ด้วยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ยศพันตรีมันยังคงไม่เพียงพอด้วยซ้ำ”
ห่านขาวกล่าวเสริม “ถ้าหากมิใช่เพราะเกรงว่ายศของเจ้าจะก้าวกระโดดได้อย่างรวดเร็วเกินไป จนมันไม่เอื้อต่อพัฒนาการแล้วล่ะก็ ท่านอาจารย์คงบุกไปทุบโต๊ะกองทัพพันธมิตร แล้วนำบัตรยืนยันตัวตนยศนายพลกลับมามอบให้เจ้าแล้ว”
“ท่านอาจารย์สามารถเอ่ยขอได้โดยตรงเลยกระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานยากที่จะเชื่อ
ในกองทัพพันธมิตรผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติความสำเร็จทางกองทัพนับว่าเป็นสำคัญที่สุดที่ใช้ในเลื่อนยศแต่ละขั้น การคิดทุจริตฉ้อโกงการเลื่อนยศนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก และเป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดกระทำทั้งสิ้น
แม้ว่าตัวกู่ฉิงซานเองจะทำคุณประโยชน์มากมาย แต่การที่เลื่อนยศจากทหารธรรมดาๆ ขึ้นเป็นนายพลเลยโดยตรงนั้น อย่างไรมันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี
ห่านขาวกล่าว “ตอนนี้กองทัพพันธมิตรแห่งมนุษยชาติยังไม่ได้แต่งตั้งยศสองผู้บัญชาการ”
“อ้าว หากยังไม่มีสองผู้บัญชาการเช่นนั้นใครกันเล่าจะเป็นผู้สั่งการสงคราม?” ซิวซิวอุทานออกมา
“นี่เนื่องมาจากการทรยศของจ้าวกระบี่ ส่งผลให้ผู้คนรู้สึกหวาดระแวง” ห่านขาวหรี่ตาลงและกล่าว “ดังนั้นตอนนี้ผู้ที่มีอำนาจสั่งการสูงสุดในกองทัพพันธมิตรแห่งมนุษยชาติโดยสิ้นเชิงจึงมีเพียงสามคน นั่นก็คือเหล่าไตรภาคี”
“หากเป็นไตรภาคีย่อมแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีทางคิดคดทรยศ เช่นนั้น นี่คงจะเป็นมาตรการที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ห่านขาวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ศิษย์น้องสาม ในเมื่อท่านอาจารย์มีอำนาจสั่งการสูงสุด เจ้าคิดว่าท่านอาจารย์จะสามารถเลื่อนยศให้เจ้าขึ้นเป็นนายพลโดยตรงเลยได้หรือไม่เล่า?”
“ย่อมสามารถ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยเหงื่อที่หยดย้อย
นางเซียนไป่ฮั่วกระแอมเบาๆ ก่อนจะกล่าวอย่างเฉียบขาด “ฉิงซาน เราอาจารย์คิดว่าเจ้ายังเยาว์เกินไป แม้จะเป็นศิษย์ข้า แต่เรื่องยศนายพลอะไรนั่น ไว้รอให้เจ้าฝึกฝนและทำคุณประโยชน์ให้มากยิ่งกว่านี้ค่อยทำการเลื่อนยศเลยก็ยังไม่สาย”
“ขอรับ” กู่ฉิงซานกล่าว
“สิ่งแรกที่ยศนายทหารจำต้องทำก็คือ คอยสอดส่องกองกำลังต่างๆ เอาไว้ นี่เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่อาจถึงขั้นสามารถยุติสงครามลงเลยก็ได้”
“ขอรับ”
“ในทางกลับกัน ด้วยความสามารถของเจ้า หากต้องการเร่งเพิ่มพูนความสำเร็จทางกองทัพ เพื่อที่จะนำไปใช้เลื่อนยศ เจ้าก็เพียงแค่ไปเอ่ยปากขอร่วมภารกิจกับหนิงเยว่ฉาน เรื่องมันก็ง่ายดายเพียงเท่านี้เองมิใช่หรือ?” นางเซียนไป่ฮั่วเลียริมฝีปาก เงยหน้าเชิดคางอย่างเป็นธรรมชาติ
“…” กู่ฉิงซานไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ในกรณีนี้ เอาจริงๆ แล้วการสั่งสมความสำเร็จทางกองทัพมันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย กู่ฉิงซานพึมพำในหัวใจอย่างเงียบๆ
หากเป็นเรื่องระบบเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งกองทัพพันธมิตรแห่งมนุษยชาติแล้วล่ะก็ ด้วยประสบการณ์ในชีวิตก่อนหน้า เขารู้สึกว่าตนยังรู้เรื่องราวพวกนี้ดียิ่งกว่านางเซียนเสียอีก
เนื่องเพราะในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาเป็นผู้เล่นที่เฝ้าพยายามทำเรื่องต่างๆ มากมายทั้งดีและไม่ดีเพื่อหมายมั่นจะเลื่อนยศ สิ่งนี้มิใช่เพียงเขา แต่ทุกๆ คนต่างก็คุ้นเคยกับมันดี
สำหรับนักปราชญ์ดั่งเช่นนางเซียนไป่ ที่อยู่บนจุดสูงสุดของผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติ เธอจึงมุ่งเน้นแต่กับพวกเรื่องสำคัญๆ ไม่จำเป็นต้องก้มลงมาศึกษาระบบเลื่อนยศโดยการสะสมความสำเร็จทางกองทัพเป็นการส่วนตัวหรอก
“ศิษย์น้องสามยอดเยี่ยมนัก ยศของเจ้าต่ำกว่าข้าเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวอย่างพึงพอใจ ยกบัตรยืนยันตัวตนของตัวเองขึ้นมาส่ายไปส่ายมาเบื้องหน้าเขา
บนบัตรยืนยันตัวตนของเซี่ยวโหลว มันถูกสลักไว้ด้วยสองตัวอักษร ‘พันโท’
พันตรี พันโท และพันเอก สามยศนี้นับว่าเป็นยศนายทหารระดับสูง
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นคราแรกที่พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องจะได้ไปร่วมรบในแนวหน้าด้วยกันใช่หรือไม่”
ฉินเซี่ยวโหลวพอได้ยินคำนั้น ก็เก็บบัตรยืนยันตัวตนกลับคืนทันที เอ่ยปากกล่าวด้วยความอึดอัด “นั่น...มิใช่หรอก ข้าไปยังแนวหน้าก็จริง แต่มีได้ร่วมรบ เพียงคอยสนับสนุนอยู่ในแนวหลัง”
ห่านขาวส่งเสียงฮึฮะและกล่าว “นั่นเพราะเจ้าเก่งกาจในหกศิลป์หรอก จึงถูกวางตำแหน่งไว้ในทัพหลัง”
กู่ฉิงซานพยักหน้าเห็นด้วย
ด้วยเทคนิคทำนายชะตา วางค่ายกล หลอมอาวุธ กลั่นเม็ดยา สร้างยันต์ และปรุงอาหารวิญญาณ ผู้ฝึกยุทธไม่อาจขาดสิ่งเหล่านี้ไปได้ แต่ฉินเซี่ยวโหลวกลับเชี่ยวชาญพวกมันทั้งหมด! นับเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นยิ่ง
ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องไปรบในแนวหน้า และสามารถใช้พรสวรรค์ของเขาได้อย่างเต็มที่ในแนวหลัง ซึ่งนับว่าเป็นกำลังเสริมอันยิ่งใหญ่ให้แก่กองทัพพันธมิตรแห่งมนุษยชาติ สร้างคุณประโยชน์มหาศาลยิ่งกว่าพวกที่อยู่ในแนวหน้าเสียอีก
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เผ่ามารนั้นดุร้ายและแข็งแกร่ง มิใช่เรื่องง่ายดายเลยที่จะกำจัดพวกมัน เกือบทั้งหมดล้วนไม่หวาดกลัวความตาย หากไม่มีเหล่าผู้ใช้หกศิลป์คอยสนับสนุน มนุษยชาติคงพ่ายแพ้และถูกไล่สังหารจนต้องล่าถอยไปนานแล้ว”
หกศิลป์คือการตกผลึกของอารยธรรมในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ การที่มนุษยชาติจะสามารถต่อกรกับเผ่ามารได้ จำเป็นต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่
“ถูกต้อง เป็นดั่งเช่นที่เจ้ากล่าว”
ช่างหาได้ยากยิ่ง ที่ห่านขาวจะไม่ก่นด่าฉินเซี่ยวโหลวไปในทางเสื่อมเสีย
“เอาล่ะๆ พวกเจ้าสองคนจะเป็นตัวแทนของนิกายร้อยบุปผา หลังจากที่ไปยังแนวหน้าแล้ว จงทำผลงานให้ดี อย่าทำให้นิกายของข้าต้องได้รับความเสื่อมเสีย”
“ขอรับ” ทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียง
“เช่นนั้นก็ดี” นางเซียนไป่ฮั่วเผยยิ้มออกมา “ฉิงซานด้วยยศนายทหารพันตรีนี้ แต่เจ้ากลับยังไม่มีสัตว์ขี่มันคงจะดูไม่ดี ข้าจะให้เซี่ยวโหลวนำเจ้าไปเลือกอสูรวิญญาณเป็นสัตว์ขี่”
“เชื่อใจข้าได้เลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
กู่ฉิงซานกล่าวขอบคุณเซี่ยวโหลว เซี่ยวโหวตบลงบนหน้าอกตนอย่างฮึกเหิม และเตรียมจะเดินนำทาง
นางเซียนไป่ฮั่วที่กำลังเฝ้ามองฉากนี้ก็พยักหน้า เมื่อหมดสิ้นคำกล่าวแนะนำใดๆ เธอจึงบินจากไป
........................................