ติ๊งต๋องงง
เสียงกดกริ๊งดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง แต่ว่าพัคจินอูก็เอาแต่นั่งถอนหายใจตรงหน้าคอมพ์พิวเตอร์และถึงค่อยลากสังขารออกจากเก้าอี้ทำงานอย่างเกียจคร้านเอาเลยจริงๆ และพอเธอเดินออกมาจากเก้าอี้ไปที่ประตูและกดปุ่มหน้าจอมอนิเตอร์ข้างๆ ประตูและดูว่าใครที่กำลังกดกริ๊ง และเธอก็แค่เห็นแต่ปกหนังสือเล่มสีชมพูและชื่อของหนังสือเล่มนั้นว่า Dream
และพัคจินอูรีบเปิดประตูห้องโพล่งออกไป และเห็นชเวกียุลยืนพลิกหนังสือเล่มนั้นและอ่านมันอยู่
" วันนี้ ฉันเจอเรื่องแปลก ๆ เยอะมากจริง ๆ " เขาพูดพลางและอ่านมันผ่านๆ และดูก็รู้ว่า พัคจินอูค่อนข้างประหม่าจริงๆ แต่เธอก็พยายามจะฝืน
" วันนี้ มีอะไรที่น่าแปลกนักหนา ! " เธอพูดไปแต่ว่าสายตากลับไม่อยากให้ ชเวกียุลอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อ
เขาปิดหนังสือเล่มนั้นลงทันที และทำเป็นไม่สนใจหนังสือเล่มนั้น แต่ว่าเขาเอาแต่หันกลับมาจ้องเธอ
" นี่ !!! "
" ปกติแล้ว เธอต้อนรับเพื่อนบ้านประสาอะไร "
" เชอะ ! " เขาสบถ
ชเวกียุลพยายามแกล้งที่จะเดินชนหัวไหล่ของเธอและแทรกตัวเข้าไปในห้องของเธอได้จนสำเร็จ
" นี่ !!! นาย !!!! " เธอตกใจจนต้องรีบเดินตาม
" ฉันยังไม่อนุญาตให้นายเข้ามาบ้านฉันนะ " เธอรีบเดินตามและพยายามเข้าไปยืนขวางให้ได้ แต่ว่าเขาก็เดินเข้าไปสอดส่องบริเวณอพาร์ตเมนท์ของเธอหน้าตาเฉย
" บ้านสวยใช้ได้ " และเขายังเดินไปรอบ ๆ และเดินไปจนกระทั่งเห็นชั้นหนังสือรกๆ ของเธอเข้า
" สำหรับนักเขียนอย่างเธอ ถือว่าแปลก " เขาสำรวจหนังสือบนชั้น และหยิบหนังสือปกสีชมพูเหมือนกันกับที่เขาถืออยู่ออกจากชั้น
" นี่ ! พอได้แล้วนะ " แต่เธอที่พยายามจะตามเข้าไปห้าม แต่เธอก็แทบที่จะไม่กล้าเข้าไปใกล้เขาให้มากเหมือนกัน
" นี่คุณทำอะไรรู้ตัวหรือเปล่า "
" ระวังจะโดนข้อหา บุกรุกโดยไม่รู้ตัว " เธอบ่นและพยายามที่จะห้ามปรามเขา แต่เขาก็ไม่คิดที่จะสน
" เราเป็นเพื่อนบ้านกัน " เขายิ้มๆ แต่ก็ยอมวางคืนหนังสือสีชมพูเล่มนั้นกลับคืนที่ชั้นวาง
" หรือว่า คุณลืมไปแล้ว "
" ผมเคยเอายามาให้คุณด้วยนะ อ่อ !! "
" แสดงว่า เธอนี่ขึ้ลืมจริงๆ เลยนะเนี้ย " เขายิ้ม ๆ อย่างมีอะไรแอบแฝง แต่ก็เลือกที่จะไม่สบตาของเธอและเดินกลับไปนั่งบนโซฟา
" นายต้องการอะไร " เพราะฉะนั้นเธอถึงอยากจะให้เขาเข้าประเด็นจริงๆ กับเจตนาที่เขาพยายามเข้ามาในบ้านของเธอ
" ปกติ นายค่อนข้างเคร่งเรื่องมารยาทไม่ใช่หรืออย่างไง " เธอไม่ได้ถามเพราะอยากรู้ และเขาก็แค่ผงกหัวและเปิดคลอหนังสือปกสีชมพูเล่มนั้น
" เมื่อยาม...ที่ฉันฝัน ! " และเขาก็ยังจะโชว์หนังสือให้เธอดูและทำสีหน้าเหมือนกำลังจะค้นหาอะไรบางอย่างจากแววตาของเธอไปพร้อม ๆ กัน
" ก็เรื่องทีว่าน่าแปลก "
" ก็คือ หนังสือเรื่องสั้นของเธอเล่มนี้ "
" ดันไปอยู่บนชั้นหนังสือ ที่ห้องทำงานของท่านประธานาธิบดี "
" หืมม " เขาถอนหายใจและครุ่นคิดก่อนเล็กน้อย
" จริง ๆ มันก็ไม่แปลกหรอกที่หนังสือของเธอจะเข้าไปอยู่บนชั้นหนังสือของใครสักคน แต่ว่า "
" แต่ที่น่าแปลก ก็คือ" และคราวนี้ เขาที่เงยหน้าขึ้นไปมองสบตาของเธออย่างจริงจัง
" ท่านประธานาธิบดี ถึงขนาดที่ว่า ตั้งชื่อโครงการนั่นว่า เชย์รีส !! "
" ตามชื่อเรื่องสั้น ในหนังสือของเธอด้วย "
" shadow 11 " และเขาก็ยังตั้งใจเรียกนามปากกาของพัคจินอู จนทำให้เธอต้องหลบสายตาและหาหนทางหนีทีไล่
" ก็แค่เรื่องบังเอิญ " เธอที่พยายามเดินเลี่ยงเข้าไปในครัว
" คุณจะรับเครื่องดื่มอะไรไหม " และก็ยังพยายามที่จะเลี่ยงไปพูดถึงเรื่องอื่น ๆ แทน
" ในหนังสือก็บอกอยู่แล้วว่า มันเป็นแค่ความฝัน "
" บางที ท่านประธานาธิบดีก็แค่ชื่นชอบมัน และอิน "
" จนตั้งชื่อโครงการนี้ตาม "
" ก็เท่านั้น " เธอพยายามที่จะบอกให้เขาเข้าใจ และดูเหมือนเขาจะยังพลิกหน้าหนังสือไปๆ มาๆ แต่เธอก็รู้ว่าเขาฟังอยู่แน่ ๆ
" ถ้าอย่างนั้น " เขาก็เลยเลือกที่จะปิดหนังสือและวางมันลงบนโต๊ะรับแขก และลุกขึ้นจากโซฟา
" ภาพ ๆ นี้ " และก็ชี้ไปที่ข้างหลัง ตรงฝาผนังห้องหลังโซฟา
" ก็คงจะบังเอิญไปคล้ายกับ ภาพวาดในห้องของท่านประธานาธิบดีเหมือนกัน " เขาหันไปมองภาพสีน้ำมันขนาดราว ๆ เก้าสิบเซ็นคูณหนึ่งร้อยกว่าๆ
" ผืนฟ้า..จรดน้ำ " และก็ยังจะอธิบายภาพสีน้ำมันของพวกเธอ
" มองไกล ๆ จะดูเหมือนโลกกำลังหมุน แต่...พอมองเข้าไปที่ตรงกลาง "
" กลับเห็นดวงตาปริศนาซ่อนอยู่ "
" หึๆ ๆๆ " มิหนำซ้ำเขาก็ยังจะแอบนึกตามจิตรกรคนที่ภาพวาดสีน้ำมันนี้ขึ้นมา
" น่าแปลกจริงๆ " เขาที่พอพูดจบก็หันกลับมาและหยิบหนังสือเรื่องสั้นของเธอ และเธอที่สังเกตดูเขาทุกอากัปกิริยา
" นาย ! ต้องการอะไร " เพราะฉะนั้นเธอที่ก็เลยอดไม่ได้ที่จะขอตั้งคำถาม แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็เอาแต่ส่ายหน้าไปๆ มา ๆ
" ก็..." แต่เขาก็พยายามคิดวนๆ ซ้ำ ๆ
" กำลังคิดว่า...รอบๆ ตัวของเราสองคนมีแต่เรื่องบังเอิญเยอะแยะเต็มไปหมด "
" มันก็เท่านั้น " เขาตอบอย่างใส่ซื่อและจริงใจ และเธอก็ยอมรับได้กับสิ่งที่ชเวกียุลต้องการจะสื่อออกมาจริง ๆ
เธอพยักหน้า
" ไม่อยากดื่มอะไรหน่อยเหรอ " ช่างเป็นคำถามที่สิ้นคิดสำหรับเธอ แต่ทำไมเธอถึงอยากจะคุยกับเขาต่อละ เธอถึงกับเบือนหน้าหนีเพราะอาย
" ไม่ดีกว่า " เขาใช้หนังสือเป็นการโบกไม้โบกมือละ
" ขอบคุณสำหรับหนังสือนี้ และก็ขอบใจที่ให้ชมงานศิลปะที่หายาก " เขายังอดไม่ได้ที่จะมองดูรอบๆ
" ผมมีอะไรๆ ที่จะต้องทำ "
" รบกวนแค่นี้ดีกว่า " เขาใช้หนังสือโบกมือลาเธออีกที และรีบร้อนกำลังจะเดินตรงไปที่ประตูห้อง แต่เธอที่พยายามมองตามจนเห็นเขากำลังเปิดประตูห้องและกำลังจะออกไป
เพราะฉะนั้น เธอก็เลยรีบวิ้งแจ้นไปที่ภาพสีน้ำมันที่อยู่หลังโซฟาทันที เธอที่กำลังขึ้นไปเหยียบบนโซฟา และใช้เท้าข้างหนึ่งยันกับกำแพง และมือทั้งสองข้างที่พยายามจะแงะเอาภาพสีน้ำมันนั่นลง
" นี่...."
" เธอกำลังทำอะไร " ชเวกียุลที่ยังไม่ได้ปิดประตูห้องเธอให้สนิทและกำลังเดินกลับเข้ามาใหม่ และเห็นสภาพเธอห้อยโหนอยู่ที่ฝาผนังอย่างทุลักทุเล
" ห๊ะ !! " เธอรีบเหลียวกลับมาและยังจะทำตัวไม่ถูกที่โดนเขาจับได้ และที่แน่ ๆ ตอนนี้เขากำลังจ้องเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวลแทน
" คือ.... คือว่า ฉัน !! " และเธอก็พูดติดอ่างไปซะแล้ว โดยที่ไม่รู้ตัว
" อยากจะทำความสะอาดมันสักหน่อยนะ " เธอโกหกหน้าตาเฉยเลยด้วย และมิหนำซ้ำยังพยายามจะเอาภาพสีน้ำมันแขวนกลับไปตำแหน่งเดิน แต่ดูเหมือนที่แขวนบางตัวมันจะหลุดออกจนพลอยให้เธอแขวนกลับเข้าไปใหม่ได้ลำบาก
" แล้วไอ้ตะขอนี้ ! "
"มัน ! หักไปแล้วหรือยังไงนะ " เธอพยายามประคองภาพสีน้ำมันที่ทั้งใหญ่ ทั้งหนักในมือ
" ระวัง ! " คำตอบที่แผ่วเบาของชเวกียุลที่ตอนนี้ก็ดันมาจดจ่ออยู่ที่หลังคอเธอไปซะแล้ว จนเธอแทบที่จะปล่อยภาพสีน้ำมันเอานั้นหลุดมือ
เขารีบเข้าไปช่วยประคองกรอบภาพสีน้ำมันทั้งซ้ายและขวาได้ทัน และใช้มือทั้งสองข้างกางออกและบังตัวเธอได้ทั้งตัวพอดี ก่อนที่มันจะหลุดลงมาและทำให้พวกเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บ
เธอที่เหลียวหันกลับมามองด้วยความตกใจ และก็ดันหันมาและเจอแผงหน้าอกระยะประชิด ! วินาทีนั้นเธอต้องรีบหันหนี
" คุณ ๆ จับดีๆ ดีไหม " และมองหาวิธีคิดที่จะหลุดออกมา
" เดี๋ยวฉันจะไปจับฝั่งโน่นให้ " เธอพยายามจะเอาตัวเองออกมาจากหน้าอกอันกว้างใหญ่นั่น แต่พอครั้นจะแทรกตัวหนีทางซ้าย เธอก็เอาแต่คิดว่ายุ่งยากเกินไป พอจะลอดที่แขนของขวาของเขา เธอก็เอาแต่จะคิดว่า ฉันไม่อยากจะถูกผู้ชายคนนี้แตะเนื้อต้องตัว
" นี่ !!! " จนเขาต้องเอ่ยปากเร่งซะเอง
"ผมชักจะเมื้อยแล้วนะ " เขาเร่ง
" รู้แล้วๆ น่า " จนในที่สุดเธอต้องยอมทำตาม และค่อยๆ ย่อตัว และคลานออกมาเหมือนปู โดยที่พยายามไม่ให้ตัวเองไปสัมผัสที่อวัยวะอื่นๆ ของเขา
" เห้อ...!!! " และพอนึกขึ้นได้
" คุณจับไว้แน่นๆ นะ อย่าให้ตกลงมาเชียวละ " เธอก็ยังจะตามหันไปออกคำสั่งกับเขาอีก
" ทีแรก มันก็อยู่ดีๆ ของมันอยู่แล้ว "จนเขาเริ่มที่จะทนไม่ไหว
" ไม่ใช่หรือยัง " เขาก็เลยประชดกลับ และพยายามประคองกรอบภาพสีน้ำมันเอาไว้ ในขณะที่เธอพยายามมองลอดเข้าไปตรงที่พนัง
" เกือบแล้วๆ อีกนิด " และเธอก็กำกับให้เขาแขวนภาพสีน้ำมันให้
" ซ้ายนิด ! ขวาอีกหน่อยหนึ่งสิ "
" เกือบแล้ว เกือบเข้าแล้ว !! "
" ได้หรือยัง !! " แขนของเขาที่เริ่มสั่นๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว
" อีกนิดเดียวเอง " เธอตอบและเห็นว่า ตะขอของภาพวาดใกล้ถึงสลักของมันเต็มที่
" เรียบร้อยแล้ว " และก็ยังรีบหันมาบอกกับเขาด้วยความโล่งอกสุดๆ
เขาที่ถึงกับพยายามค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากภาพสีน้ำมันนั่น และหันกลับมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาอย่างเหน็ดเหนื่อย และพอเธอสังเกตเห็นเขาก็ยังจะแอบขำออกมาไม่ได้
" ขำอะไร " เขาถามและมองค้อน
" เปล่าสักหน่อย " เธอปฏิเสธแต่ก็ยังแอบขำ และก็เผลอทิ้งตัวนั่งบนโซฟาใกล้ๆ กับเขา
" ก็เห็นชัดๆ ว่าเธอหัวเราะเยอะฉันอยู่ " เขาเถียงอีก และเพิ่งสังเกตว่าเธอเข้ามานั่งอยู่ใกล้ๆ
" คนเขาอุตส่าห์หวังดีแท้ ๆ " เขาคุยกับเธอเหมือนความรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นอีก แต่ทีนี้ตอนที่กำลังเห็นเธอนั่งหัวเราะใกล้ๆ ชิดกับตัวเองแบบนี้
เขาที่ก็อดเผลอที่จะมองจ้องเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยนไปโดยปริยาย และทันทีที่เธอก็เผลอมองหันกลับมามองเขา
สายตาของคนสองคนก็สบกันได้อย่างชนิดที่ว่า แนบสนิท ! จนกระทั่งห้วงเวลาของความเงียบที่แผ่วเบาและดูเหมือนจะยาวนี้ ทำให้พวกเขาเกิดอารมณ์อ่อนไหวไปกับดวงตาที่เปล่งประกายของอีกฝั่งอย่างไม่ทันตั้งตัว...
เมื่อราวๆ ปลายศตวรรษที่แปดได้เกิดสงครามทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้น คราวนั้นพระราชาได้ออกคำสั่งบรรดาทหารไปร่วมสงคราม และแน่นอนรวมถึงท่านแม่ทัพที่จำเป็นต้องนำเหล่าทหารที่ฝึกยังไม่ทันจะถึงปีไปรบที่ชายแดน
บุตรชายของตระกูลโจ และทาสฮงต่างอาสาไปรบ และครอบครัวฝั่งตระกูลอีก็ยังให้การสนับสนุนทางด้านการแพทย์ ส่งหมอจากสำนักหมอจองไปช่วยหลายต่อหลายคน และบุตรสาวคนรองของหมอจองที่แอบลักลอบปะปนไปกับทหารในกองทัพเพื่อไปออกศึกครั้งนี้กับบุตรชายตระกูลโจให้ได้
บุตรชายของตระกูลคิมที่ขี้ขลาด ถึงแม้ไม่อยากจะไปสงคราม แต่คนเป็นบิดาก็พยายามบังคับให้ลูกของตนไปสร้างผลงานในศึกครั้งนี้
แต่ทว่า บุตรชายองสกุลอีที่ถูกท่านแม่ทัพประคบประหงมเป็นหนักหนากลับถูกปฏิเสธจากท่านแม่ทัพ ซึ่งเหตุผลก็เป็นเพียงอันตรายจนเกินไป แม้บุตรชายตระกูลอีจะขอร้องท่านแม่ทัพสักเพียงใด เพราะเหตุผลเดียวที่เขามาอยู่ในค่ายทหาร สาเหตุเดียวแค่เพียงฝึกวิชาการต่อสู้เพื่อป้องกันราชบัลลังก์เมื่อเข้าขึ้นครองราชย์เพียงเท่านั้น
กลางดึกคุณชายตระกูลอีได้แอบลักลอบออกจากวัง เพื่อไปพบบุตรสาวของหมอจองที่บ้าน เรื่องที่น้องสาวของเธอหายไปเพื่อที่จะช่วยกันออกตามหา และไม่แน่ว่า น้องสาวของเธอคงอาจหนีตามบุตรตระกูลโจไปออกศึก
คุณชายตระกูลอี และหมอหญิงจองที่เป็นห่วงน้องสาว พวกเขาจึงได้ควบม้าเพื่อออกไปตามหา แต่ก็ก็น่าเสียดายที่พระราชาทรงทราบความเคลื่อนไหวของคุณชายอีเข้าจนได้ และพระราชาก็ได้ทรงสั่งห้ามบุตรชายไม่ให้ออกจากตำหนักจนกว่าสงครามจะคลี่คลาย
วันเวลาผ่านไปสงครามในเขตชายแดงทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นก็เกิดโรคระบาด เพราะน้ำปนเปื้อนฉี่หนูทำให้เกิดโรคระบาดในกองทัพ บรรดาหมอที่ทำงานอยู่ในกองทัพก็พลอยที่จะติดโรคระบาดไปตามๆ กันคนแล้วคนเล่า เพราะด้วยเหตุนี้แม่ทัพจึงขอความช่วยเหลือไปยังสำนักหมอตระกูลจองอีกครั้ง และด้วยยามขับขันหมอจองจึงต้องจำยอมให้บุตรสาวไปยังชายแดนเพื่อช่วยชีวิตพวกทหารของพระราชาเอาไว้ และถึงแม้ว่าคนเป็นพ่อจะไม่เห็นด้วยตั้งแต่ครั้นก่อนออกศึก บุตรของตนก็พยายามขอร้องจะไปอยู่ชายแดนก็ตาม
เพราะเกิดโรคระบาดช่วงเวลาเดียวกับสงคราม เหล่าทหารทั้งสองฝ่ายต่างก็พากันพักรบ และหันมาทำการรักษาเหล่าทหารของฝ่ายตนที่ได้รับบาดเจ็บ เหล่าทหารหลายร้อยหลายพันคนที่นอนเจ็บป่วยปางตายอยูบนกองฟาง บ้างก็นอนร้องเจ็บโอดครวญตามพื้นดิน ตามใต้ต้นไม้ เพราะกระโจมแพทย์ไม่เพียงพอ และอาการส่วนใหญ่ของโรคฉี่หนู ก็คือ อาการไข้หนาวสั่น บางคนถึงขนาดถ่ายเหลวจนตายเลยก็มีเพราะสูญเสียน้ำในร่างกายมากจนเกินไป กองซากศพของบรรดาเหล่าทหารที่นอนป่วยตายและรอเผาเหมือนกองฝืนยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าเวทนา
และแน่นอนว่า ภายในกระโจมหน่วยแพทย์บุตรสาวคนรองของหมอจองก็ยังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการรักษาก่อนที่พี่สาวของตนจะมาถึง ครั้นทั้งสองพี่น้องได้พบหน้ากันก็ต่างโผกอดกันด้วยความคิดถึงที่จากกันนานร่วมๆ หกเดือนเศษ และเมื่อหมอหญิงจองได้รู้ว่าเรี่ยวแรงสำคัญของหน่วยแพทย์นี้คือ ทาสฮงผู้ช่วยหาสมุนไพรมาช่วยรักษาเพื่อนทหารต่างก็ทำให้ผู้คนซาบซึ้ง
วันแล้ววันเล่าผู้ป่วยบางรายก็ยิ่งมีอาการหนักมากขึ้น น้ำสะอาดแทบจะกลายเป็นสิ่งล้ำค้าของกองทัพจึงทำให้เกิดศึกหย่อม ๆ ภายใน เกิดการแย่งชิงแม้กระทั่งน้ำดื่มเพียงหยิบมือก็ไม่ปาน เพราะเหตุนี้ท่านแม่ทัพถึงได้ตัดสินใจบางสิ่งบางอย่าง และคืนนั้น...ทหารบางคนที่ป่วยหนักจนเกินที่จะเยียวยาก็ถูกสังหารโดยคนนิรนาม
วันรุ่งขึ้นทหารที่เป็นทาสหายไป ทำให้บรรดาเพื่อนทหารต่างคาดการณ์กันไปต่างๆ นานาว่า เพราะเขาเป็นมือสังหารเข่นฆ่าพวกพ้องที่กำลังป่วยจนต้องหนีไป แต่น้องสาวของหมอหญิงจองกลับปฏิเสธและอ้างว่า ตนนั้นได้ให้ทาสฮงไปหาสมุนไพรบนภูเขาเพื่อมารักษาพวกทหารต่างหาก แต่ทว่าท่านแม่ทัพใหญ่กลับนิ่งเฉย จนทำให้คนเป็นพี่ต้องทะเลาะกับน้องสาวของตน
ยามดึกภายในกองทัพก็ยังไม่มีวี่แววของทาสฮงว่าเขาจะกลับมา ความร้อนใจของหมอหญิงจองและน้องสาวยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอดทนรอต่อไปไม่ไหว หมอหญิงจองที่ยังถือวิสาสะเข้าไปในกระโจมส่วนตัวของท่านแม่ทัพเพื่อสืบหาความจริง แต่ถึงอย่างไรคำตอบก็ยังเป็นเช่นเดิม
บุตรชายตระกูลโจ กับ น้องสาวของเธอที่แอบฟังท่านแม่ทัพแลพี่สาวคุยกันที่ด้านนอกกระโจม พวกเขาสองคนที่ก็ต่างร้อนใจในเรื่องนี้ และพอแอบเห็นว่า พี่สาวของเธอกำลังจะหนีออกจากฐานทัพเพื่อไปตามหาทาสฮงบนเขากลางดึก มีหรือพวกเขาสองคนจะยอมปล่อยให้พี่สาวออกไปตามหาเพื่อนของเขาเพียงลำพัง
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในยามดึกบนภูเขาสูงชั้นบริเวณแนวกั้นเขตชายแดนของแผ่นดินใหญ่ ทาสฮงที่ยังคงพยายามพาตัวเองลงมาจากภูเขาหลังจากที่ตนเองตรากตำหาสมุนไพรทั้งวันทั้งคืน แม้ว่าฝนที่ตกลงมา และแม้ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ถูกพัดด้วยกระแสน้ำบนภูเขาที่กำลังหลากลงสู่ด้านหลัง ทาสฮงก็ยังพยายามประคับประคองสติและฝ่าฝันอุปสรรคเหล่านั้น แต่เขาก็สามารถลงมาสู่ตีนเขาได้สำเร็จแต่ก็ด้วยสภาพที่สะบักสะบอมและเหนื่อยล้าเต็มที่จนถึงขึ้นสลบล้มฟุบไปในที่สุด
ฝนหยุดตกตอนรุ้งสาง ทาสฮงที่ค่อยๆ ผลิกตัวเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่แจ่มจรัส เพราะเสียงแว่วๆ ที่คุ้นเคยกำลังปลุกให้เขาตื่น หมอหญิงจองสวมกอดทหารทาสชั้นผู้น้อยที่ต่อยต่ำนั้นทันทีเมื่อพบหน้าดั่งมีเชือกด้ายสายป่านฉุดกระชากให้เธอเข้าหาเขาอย่างไม่รู้ตัว และเหตุการณ์นั้นทำให้บุตรของตระกูลโจและน้องสาวได้เห็นความสัมพันธ์อันประหลาดแต่น่าประทับใจของพวกเขาทั้งคู่เป็นหนแรก พวกเขาเห็นหมอหญิงจองทุบตีต่อว่าทาสฮงไปมา แต่สุดท้ายหมอหญิงจองก็รามือไปได้ง่าย ๆ และหันมาช่วยทำแผลที่ถลอกปอกเปิกตามเนื้อตัวของทาสผู้นั้นอยู่อย่างเห็นอกเห็นใจ
บุตรชายตระกูลโจ บุตรสาวคนรองของตระกูลจอง และพี่สาวที่กำลังช่วยกันและพาทาสฮงกลับเข้ามาที่ค่ายทหารในยามบ่ายคล้อย และท่านแม่ทัพที่ยังได้รีบออกคำสั่งคนให้ช่วยพวกเขาทันทีโดยไร้ซึ่งคำถามใดๆ
และด้วยสภาพอาการที่ฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงดึกของคืนก่อนก็พอที่จะทำให้พวกทหารได้รองน้ำฝนไว้ดื่มกินไว้จำนวนที่มากพอ หมอหญิงจองถึงได้บอกกับท่านแม่ทัพว่า หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วก็ให้พวกบรรดาทหารได้กินน้ำต้มที่สะอาดเอาไว้ดื่มกินกับสมุนไพร ไม่ช้าโรคระบาดที่น่ากลัวก็จะคลี่คลาย
พี่สาวของทหารหญิงตระกูลจอง เธอได้ย้ำหนักย้ำหน้ากับพวกบรรดาทหารคนอื่นๆ ให้พวกเขาขอบคุณในน้ำใจของทาสฮงที่แอบออกไปหาสมุนไพรเพื่อทุก ๆ คน
เมื่อคุณงามความดีได้ปรากฏ บรรดาพวกพ้องเพื่อนทหารก็ต่างพากันแซ่ซ้องและไม่เรียกเขาว่าทหารทาสอีกต่อไป แต่จะเรียกชื่อจริง ๆ ของเขาว่า " ฮงซอกดู "