webnovel

ตอนที่ 38 แนวหน้า

เอโตส มาเจ็น นักผจญภัย [แรงค์ B] หัวหน้ากิลด์ [ปราการเหล็ก] เหตุการณ์หลังประกาศสภาวะฉุกเฉินไม่กี่วินาที

เพราะหัวหน้ากิลด์ระดับสูงไม่มีใครอยู่ที่นี่สักคน อำนาจสั่งการทั้งหมดจึงตกอยู่กับผม

หลังได้ยินประกาศ ผมก็สั่งให้ทุกคนเดินหน้าให้ไวที่สุด เพราะไม่รู้ว่าน้องสาวคาลิก้าอยู่ตรงส่วนไหนของสลัม จึงต้องรีบคลุมพื้นที่ปกป้องไว้ก่อน

เพราะกฎอัยการศึก นักผจญภัยทุกคนจึงต้องฟังคำสั่งผม

แต่มันก็มีพวกที่ไม่ฟัง ไม่ทำตาม อย่างเดินเอื่อยๆ หรือออกไปสำรวจเองเพื่อปล้นข้าวของ ก็ต้องปล่อยไป เพราะเราคือนักผจญภัยไม่ใช่ทหาร ไม่มีกฎเด็ดขาด

ตามจริงจะลงโทษแล้วฆ่าทิ้งก็ได้ แต่เครือข่ายนักผจญภัยมันผูกเข้าด้วยกัน เดี๋ยวทำภารกิจสักวันก็ต้องเจอพวกที่สนิทกับพวกที่ประหารไปมาล้างแค้น วุ่นวายตายชัก เลยปล่อยๆ ไป

ระหว่างทางหากเจอพวกคนสลัมกับทาสผมก็ไล่ให้ไปอยู่ข้างหน้า ใช้เคลียร์กับดักไปในตัว

ส่วนเด็กผู้หญิงผมดำให้พามาให้ผมดูก่อน ถ้าไม่ใช่น้องสาวคาลิก้าก็ส่งกลับไปแนวหน้า

ไม่นานก็เกิดการปะทะขึ้น ทหารพลธนูบนกำแพงฝั่งเรายิงห่าฝนธนูใส่ฝูงมอนสเตอร์ที่กำลังว่ายเข้ามาจากที่ไกลๆ

ผมจึงสั่งหยุดทัพแล้วตั้งแนวป้องกัน แต่หลังจากสังเกตไปสักพักผมก็เปลี่ยนคำสั่ง

"เดินหน้าไปรวมกันตรงกลางกับทหาร! พื้นที่ฝั่งกำแพงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทหารไป!"

จากที่เห็นไกลๆ พวกมันเริ่มตายจากแรงระเบิดของตัวเอง อาจมีพวกที่รอดบ้าง แต่เดี๋ยวพวกแตกแถวไม่ฟังคำสั่งมันก็ไปเก็บกวาดให้เอง

พวกนี้มันคิดจะมุมมิบซากอยู่แล้ว

วิ่งกันไปได้สักพวกเราก็เห็นฝั่งทหารกำลังต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ที่ไม่อยู่ในระยะการยิงของธนูบนกำแพง

"ได้ระยะแล้วระดมยิงเข้าไปเลย! ระวังทหารด้วย!"

ผมให้นักผจญภัยสายยิงระยะกลางกับไกลขึ้นเป็นแนวหน้าแทน

ถึงการสู้ระยะประชิดกับมันจะน่ากลัว แต่เพราะพวกมันเป็นปลาจึงเสียเปรียบทันทีเมื่อพ้นพื้นที่น้ำขัง

พื้นที่เราอยู่มีแต่ดินแห้งแล้งสมกับเป็นเขตสลัม พวกมันได้แต่ใช้ครีบผลักตัวเองไปข้างหน้าได้ไม่ไกลเท่าในน้ำ

พอโดนกระหน่ำโจมตีจากทั้งสองฝั่ง พวกมันก็ตายเกลี้ยงก่อนเข้าถึงตัวพวกเรา

แต่ความน่ากลัวของกลุ่มนี้คือฟองระเบิด พวกปลาสี่แขนมันทิ้งกุ้งฟองระเบิดเอาไว้ข้างหลังแล้วเอาตัวเองมาโดนยิง

พวกกุ้งฟองระเบิดก็ยิงฟองขึ้นไปบนฟ้าแล้วปล่อยให้ตกลงมาใส่หัว มันใสจนบางคนมองไม่เห็น ถ้าไม่ตาดีหรือมีสกิลตรวจจับ

ถึงจะสั่งให้ยิงสุ่มๆ ขึ้นไปบนฟ้าแล้ว แต่ก็ยังมีบางลูกหลุดเข้ามาได้อยู่ดี

พวกที่ชุดเกราะไม่หนาโล่ไม่แข็งโดนเข้าแค่ลูกเดียว ร่างก็ขาดกระจุย

พวกที่ยังไม่ตายก็ให้พวกแทงค์ที่ทนไหวเข้าไปแบกออกมาให้ฮีลเลอร์รักษา

พวกที่พิการจนสู้ต่อไม่ได้ก็ส่งไปทำงานแนวหลัง

ถึงสถานการณ์จะดูตึงๆ แต่ก็ยังไม่ต้องถึงมือผมออกโรง เพราะบางจุดไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย แต่ก็เพราะพวกมันมาจากกิลด์ใหญ่ คนเยอะ อาวุธพร้อม ชุดเกราะดี หน้าที่หลากหลาย สลับผลัดกันได้ทุกเมื่อ เด่นๆ เลยคือพวกเขี้ยวของ อีป่าเถื่อน

ตอนนั้นเองที่มีทหารม้าควบม้ามาหาผมอย่างรีบร้อน

"คุณเอโตสใช่ไหมครับ"

"ใช่ มีอะไรเหรอครับ"

ทหารคนนี้อ้างตัวว่ามาส่งข้อความของคาลิก้า แล้วเปิดเสื้อคลุมที่คาลิก้าใส่ออก ข้างในนั้นมีเส้นผมสีทอง

สีสวยแบบนี้ แถมยังเปล่งประกายแม้จะถูกตัดออกมา รวมกับชุดแบบนี้ นี่ต้องเป็นของคาลิก้าแน่นอน

ส่วนข้อความก็เข้าใจง่าย ขอแค่เจอน้องสาวแล้วคุ้มครองเธอไว้ คาลิก้าก็จะยอมแต่งงานกับผม

ถึงกับยอมตัดผมมาแสดงตัวเพื่อขอร้อง งั้นผมก็คงต้องลงไปหาเองเพื่อแสดงความจริงใจ

แต่เด็กสลัมผมดำมันเยอะมากเลยเนี่ยสิ แถมยังตอแหลกันหน้าด้านๆ ตัวเองนี่แหละคือเป็นน้องสาวของคาลิก้า

เลยเสียเวลาสุดๆ แล้วก็ยังหาไม่เจอจนถึงตอนนี้

ผมเอื้อมมือจะไปหยิบเส้นผมของเธอมาเก็บไว้เป็นเครื่องราง แต่ทหารรีบพับเก็บแล้วหลบมือผม

"ต้องขอโทษด้วยครับ ผมต้องใช้ต่อ ท่านคาลิก้าให้ไปแจ้งกับอีก 2 กิลด์ที่เหลือ"

อ๋อ อีป่าเถื่อน กับ ไอ้โซ่วิปริต

" [โซ่อัคคี] หนีกลับเมืองไปแล้ว ส่วน [เขี้ยวประกายแสง] อยู่ทางนั้น"

"ขอบคุณครับ"

มันโค้งคำนับแล้วไปคนละทางกับที่กิลด์ [เขี้ยวประกายแสง] อยู่ อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาได้หน่อย

ผมมองไปยังสนามรบด้านหน้าอีกครั้ง พวกกิลด์ระดับกลางพอเอาอยู่แต่ก็มีสูญเสียบ้าง แต่ฝั่งที่กิลด์เล็กหรือพวกไร้สังกัดกิลด์นี่เสียหายหนักจนแทบดูไม่ได้

ต้องเร่งมือแล้ว ก่อนข่าวส่งไปถึงหูคนของอีป่าเถื่อน

ผมเดินเข้าสู่พื้นที่ของพวกอ่อนแอ เดินผ่านพวกมันเข้าไปยังแนวหน้า ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน ยกเว้นลูกกิลด์ผม

"ปราการเหล็ก!"

สกิลปราการเหล็กทำให้ทุกคนในรัศมีจะไม่มีวันได้รับความเสียหายใดๆ จนกว่าพลังของผมจะหมดหรือผมโดนโจมตีรุนแรงจนสกิลป้องกันไว้ไม่อยู่ มันถึงจะยกเลิกทันที

ตามจริงหลังใช้สกิลนี้ ผมควรไปยืนอยู่แนวหลังแล้วให้คนคอยคุ้มครอง เพราะหากผมไม่เป็นอะไรคนที่ได้รับผลของสกิลนี้ก็แทบจะเป็นอมตะ

"บงการปฐพี!"

เป็นสกิลที่จะสร้างออร่าสีน้ำตาลทองหุ้มรอบตัวผม และหลังจากนี้การโจมตีกับการป้องกันของผมทั้งหมดจะเหมือนการใช้เวทดิน

ผมตวัดดาบฟันขึ้น แผ่นดินตรงหน้าก็ยกตัวขึ้นสูงเหมือนคลื่นทะเลแล้วถล่มใส่พวกมอนสเตอร์ตรงหน้าฝังพวกมันทั้งเป็น

และพอผมยกโล่ขึ้นผืนดินก็รีบยกตัวเข้ามาล้อมรอบตัวผมเป็นกำแพงทรงกลมหนาหลายชั้น ระเบิดฟองอากาศไม่สามารถทำอะไรผมได้แม้แต่รอยขีดข่วน

หลังเสียงระเบิดสิ้นสุดผมก็กระแทกโล่ลงพื้น กำแพงดินพลันกระจายตัวเป็นเศษหินแหลม พุ่งเสียบพวกมันจนบาดเจ็บล้มตาย

พอเห็นคนสั่งการอย่างผมออกมาสู้เองที่แนวหน้า พวกที่เหลือก็ต่างฮึกเหิมแล้วเข้าโรมรันอย่างไม่กลัวตาย

เพราะยังไงพวกมันก็ไม่ตายแน่นอนถ้าสกิล ปราการเหล็กยังแสดงผลอยู่

แต่ข้อเสียของทั้งสองสกิลคือกินพลังงานเยอะมาก หลังยกเลิกสกิลผมจะเหนื่อยสุดๆ แทบจะล้มทั้งยืน

สู้ไปสักพักผมก็ต้องคลายสกิล เพราะเคยใช้นานเกินไปจนสลบไปเกือบอาทิตย์

พอผมคลายสกิล ผมก็ง่วงจนถึงขีดสุด ตอนนั้นจะเป็นหน้าที่ลูกทีมพาผมไปกรอกยาฟื้นพลัง

ใช้เวลาไม่นานก็กวาดล้างได้หมด

ทีมหลักอีป่าเถื่อนมันโคตรโหดเลย แทบไม่ต้องพึ่งสกิลผม ฝั่งมันก็เก็บกวาดเสร็จก่อนใครแล้วมาช่วยทางฝั่งคนอื่น

ที่ศึกนี้จบเร็วก็เป็นเพราะพวกมันด้วยส่วนนึง

แต่จากที่ไกลๆ ยังมีมอนสเตอร์อยู่ตัวนึง ตอนแรกผมเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเผ่ามนุษย์ปลา แต่พอเห็นว่ามอนสเตอร์ไม่โจมตีและว่ายผ่านมันหน้าตาเฉย ถึงแน่ใจว่าเป็นมอนสเตอร์

ตัวมันผอมแห้งดูอ่อนแอมาก หน้าตาก็อัปลักษณ์สุดๆ ที่แปลกคือมันไม่เข้ามาโจมตีมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง กลับกันเลย มันค่อยๆ ถอยหนีจากพวกไม่ฟังคำสั่งที่กำลังล่ามันอยู่

ผมไม่ได้สนใจเพราะนึกว่าเป็นพวกหลุดฝูง โดนรุมแบบนั้นเดี๋ยวมันก็ตาย

พอสั่งการกับช่วยแนวหน้าอีกสักพัก ผมก็หันไปดูอีกที กลับเป็นพวกไม่ฟังคำสั่งที่โดนฆ่าเรียบแทน แล้วมันก็กำลังกินศพของเจ้าพวกนั้น

แถมยังยึดอุปกรณ์กับอาวุธของนักผจญภัยไปใช้

ตอนที่มันหันมาสบตากับผม มันก็เลียริมฝีปากแล้วกวักมือเหมือนท้าให้ผมเข้าไป

เป็นอสูรที่กวนส้นตีนดีจริงๆ

มีพวกที่เครื่องติดอยากตามไปฆ่า ผมจึงอนุญาตทันที ปล่อยไปก็มีแต่จะเป็นภัยภายหลัง

แต่พอรู้ว่ามีคนหลายกลุ่มและจำนวนมากเข้าไปจัดการมัน มันกลับรีบถอยหนีเข้าดันเจี้ยนทันที

แบบนี้อันตรายเกินไป ผมจึงต้องสั่งให้ถอยกลับมา มอนสเตอร์ชั้นต่อไปก็ไม่รู้จะแห่ออกมาเมื่อไหร่ พวกนักผจญภัยปลายแถวนี่มันไร้ความคิดจริงๆ

พากันไปตายแบบนี้จะกลายเป็นไปเร่งให้มันวิวัฒนาการจนเก่งยิ่งกว่าเดิม

ค่อยรอจัดการพร้อมกันทั้งทัพทหารกับนักผจญภัย เจอแบบนี้เข้ายังไงมันก็ไม่รอด

ตอนนี้รีบกลับไปหาตัวน้องสาวคาลิก้าก่อนดีกว่า

จบศึกแล้วได้เมียสวย เป็นรางวัลที่ดีจริงๆ

หลังเก็บกวาดเสร็จ ผมก็สั่งถอยทันทีเพื่อไปรวมตัวกับนักผจญภัยทั้งหมดที่กำลังเดินทางมา

ก่อนยกเลิกสกิล ผมก็กำชับให้พวกลูกกิลด์รีบหาน้องสาวคาลิก้าให้เจอก่อนคนของอีป่าเถื่อน

และพอยกเลิกสกิล ภาพก็ตัดทันที

*****

แนวหน้าสลัม ฝั่งนักผจญภัย

หลังจากรวมตัวกัน อำนาจสั่งการก็เปลี่ยนมือ

หัวหน้ากิลด์ใหญ่หลายกิลด์แบ่งหน้าที่กันคุมโซนพื้นที่ของตัวเอง แต่เพราะพื้นที่มันกว้างมาก จึงต้องกระจายอำนาจให้พวกกิลด์ระดับกลางสั่งการพวกกิลด์ระดับเล็กกับไร้สังกัดกิลด์อีกที

ในการหาข้อมูล พวกเขาจะให้เผ่าที่มีปีกหรือคนที่มีความสามารถเหาะหรือลอยตัวได้ บินนำไปสำรวจล่วงหน้า

แถวหน้าสุดคือทาสกับคนสลัม ฝั่งนักผจญภัยคือดีหน่อยที่มีโล่หรืออาวุธทั่วๆ ไปให้ยืมไปป้องกันตัว

จากนั้นก็เป็นแทงค์กับนักเวทที่มีสกิลสร้างบาเรีย โดยติดคนที่มีสกิลค้นหาสิ่งมีชีวิตหรือกับดักไปด้วย

แผนหลักๆ ของพวกเขาคือให้แทงค์ที่มีสกิลยั่วยุมอนสเตอร์ใช้สกิลล่อพวกมันมา แล้วให้นักธนูกับนักเวทระดับต้นถึงกลางระดมยิงลดจำนวนลง

เมื่อพวกมันหลุดมาถึงบาเรียก็ให้อาชีพระยะกลางอย่างหอก แส้ หรือสายขว้างปาอาวุธ ทำการโจมตี

เมื่อบาเรียใกล้พัง แทงค์ทั่วไปกับสายต่อสู้ระยะประชิดจะเข้าไปสลับต่ำแหน่งเพื่อให้พวกเขาถอยออกมา

คนที่บาดเจ็บก็จะถูกส่งไปแนวหลังให้ฮีลเลอร์รักษา อนึ่งฮีลเลอร์จะกระจายตัวอยู่ทุกแนวเพื่อให้รักษาได้ทันท่วงที

พวกเขาเก็บนักเวทระดับสูงที่มีสกิลโจมตีวงกว้างเอาไว้จัดการพวกตัวใหญ่อีกที โดยตามข้อมูลที่ขอจากสำนักงานจึงได้รู้ว่ามีมอนสเตอร์ตัวเท่าบ้านหรือใหญ่ยิ่งกว่านั้นอยู่อีกหลายชนิด

พวกนักผจญภัยเลือกที่จะเดินหน้าช้าๆ สำรวจทุกอย่างที่ผ่านเพื่อความปลอดภัย ไม่เหมือนทหารที่รีบเดินไปข้างหน้า

ระหว่างทางหากเจอทาสหรือคนสลัมแอบอยู่ก็จะต้อนให้ไปอยู่แนวหน้าเหมือนกับที่ทหารทำ

*****

โรจา หัวหน้าทีมนักชำแหละ สังกัดทีมรอง หน่วย 5 กิลด์ [เขี้ยวประกายแสง]

ผมใช้ลอบเร้นซ่อนตัวอยู่ใกล้กำแพงฝั่งนักผจญภัย พอเอโตสสั่งให้นักผจญภัยทุกคนไปรวมตัวกันตรงกลาง

ผมจึงมีเวลาไปเอาเลือดของมอนสเตอร์มาทาตามตัว หาหินมากระแทกใส่ร่างกายให้ฟกช้ำ แล้วหักไม้เป็นสองท่อน ใช้ด้านที่มีเสี้ยนขูดไปตามเนื้อตัว ปิดท้ายด้วยการหักแขนซ้ายตัวเอง

แล้วนอนรอให้พวกนักผจญภัยที่ไม่ฟังคำสั่งเอโตสเดินมาถึงจุดที่ผมอยู่ ผมถึงค่อยคลานออกไป

"เจอคนบาดเจ็บ!"

"พวกไหน?"

"นายชื่ออะไร เป็นใคร ทาสหรือคนสลัม"

ทีมนักผจญภัยกลุ่มนึงเดินมาหาผมแต่ยังไม่ให้การช่วยเหลือ

"โร... จา... ครับ"

แต่หลังจากบอกชื่อไป

"ฉันรู้จัก เขาเป็นนักผจญภัยของกิลด์ [เขี้ยวประกายแสง] "

"นายลุกเดินไหวมั้ย"

"ไม่ต้องห่วงนะ นายรอดแล้ว"

"ไม่... ไหว... ครับ"

"เดี๋ยวเราพาไปส่ง แต่อาจจะต้อง..."

มันพูดพร้อมกับทำมือขยุกขยิกเหมือนเล่นตอนเล่นเหรียญเงิน

ผมจึงพยักหน้าตกลง

"เดี๋ยวจ่ายให้ครับ"

ผมจึงกลับแนวหลังไปรักษาโดยมีพวกเขาแบกกลับไปอย่างระมัดระวัง