webnovel

ONMYOJI องเมียวจิ

แนะนำตัวละคร อวี้ อันฉี (อัลฟ่า) (184 ซม. / 74 กก.) นักเรียนแลกเปลี่ยนจากจีนที่ต้องมาอาศัยอยู่กับตระกูลอาคาวะ ถูกคุณปู่ (อาคาวะคนปู่บังคับให้เรียกเพื่อความสนิทสนม) ฝากฝังให้ต้องไปอยู่ภายใต้การดูแลของ ชิโนบุ และ แบล็ก อาคาวะ ชิโนบุ (182 ซม. / 67 กก.) ทายาทตระกูลอาคาวะที่มีชื่อเสียงเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ ในเกียวโต เพราะชีวิตผูกพันอยู่กับเรื่องภูตผีมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่ค่อยจะกลัวอะไรเหมือนคนอื่นเขาสักเท่าไร อาคาวะ แบล็ก (179 ซม. / 72 กก.) เด็กหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีที่ตัวติดกับชิโนบุตลอดเวลา เป็นคนที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ยังยิ้มได้ ยกเว้นเวลาที่โกรธมากจริง ๆ เจ้าตัวมักจะคอยอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้อัลฟ่าฟังอยู่เสมอ

LyLyAiAi · LGBT+
Not enough ratings
34 Chs

12(1) - อินุงามิ

อินุงามิ

"อินุงามิ?"

"ใช่"

คำยืนยันที่ได้รับจากแบล็กทำให้หัวคิ้วของอัลฟ่าขมวดแน่นทันที ความตกใจฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้นจนแบล็กต้องรีบพูดขัดความคิดของเจ้าตัวเอาไว้ก่อน

"แต่ฉันกลับมาด้วยคนละเงื่อนไขนะ นายคงไม่คิดว่าคนในบ้านอาคาวะจะทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นกับฉันหรอกใช่ไหม"

"ก็เพราะไม่คิดน่ะสิ ตอนได้ยินฉันถึงตกใจ"

พูดไปอัลฟ่าก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะเหลือบตามองไปทางคนที่ตอนนี้นอนหลับสนิทไปเพราะความเหนื่อย ดวงหน้าขาวซีดเริ่มกลับมามีสีเลือดฝาดเหมือนเดิมแล้ว แม้จะยังไม่รู้สึกตัวแต่อาการก็ไม่น่าเป็นห่วงเหมือนตอนที่เพิ่งกลับมา

"ถึงฉันจะเป็นอินุงามิเหมือนกัน แต่ฉันก็ตายตามอายุขัยของตัวเองไม่ได้ถูกใครฆ่า"

ประโยคที่ดังมาจากแบล็กทำให้อัลฟ่าละสายตาจากชิโนบุไปมองหน้าเจ้าตัวอีกครั้ง ในขณะที่หัวคิ้วก็มุ่นเข้านิด ๆ ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ

การที่ใครบางคนมาพูดเรื่องความตายทั้งที่ยังนั่งอยู่ตรงหน้าแบบนี้ มันก็ทำให้รู้สึกขนลุกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

"ถ้าไม่ได้ถูกฆ่างั้นนายจะเป็นอินุงามิได้ยังไง"

"ที่จริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เพราะเดิมทีก็เป็นหมาอยู่แล้ว ฉันเลยจัดตัวเองอยู่ในประเภทนี้"

สีหน้าไม่เข้าใจของอัลฟ่าทำให้แบล็กได้แต่เดาะลิ้นอย่างใช้ความคิดว่าจะอธิบายยังไงดี เจ้าตัวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะจับมือของชิโนบุมาวางบนตักตัวเองแล้วบีบเบา ๆ พอสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมา ไม่ใช่อุณหภูมิเย็นเหยียบเหมือนก่อนหน้านี้ก็ให้หลุดยิ้มออกมาบาง ๆ

ความจริงแล้วตอนที่เห็นว่าชิโนบุเป็นลมไป แบล็กเองก็ตกใจไม่แพ้อัลฟ่าเลย แต่เพราะเขาเห็นว่าอัลฟ่าเป็นกังวลมากอยู่แล้วก็เลยไม่อยากแสดงอาการอะไรออกมามากนัก ได้แต่รีบพาตัวกลับมาให้พวกอาจารย์ตรวจดู ก่อนจะขออยู่เฝ้ากันที่นี่ โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากทิ้งคนป่วยให้นอนคนเดียว ซึ่งก็ได้รับคำอนุญาตแต่มีข้อแม้ว่าห้ามทำอะไรเสียงดังเป็นการรบกวน

"นายจำวิธีสร้างอินุงามิได้ใช่ไหมอัลฟ่า"

"ได้"

ขณะที่ตอบกลับไปหัวคิ้วของอัลฟ่าก็ขมวดแน่นจนแทบเป็นปม เมื่อนึกไปถึงวิธีการสร้างอินุงามิที่ได้รู้มา สำหรับเขามันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก

การที่สุนัขตัวหนึ่งต้องตายด้วยน้ำมือของเจ้าของที่มันทั้งรักและไว้ใจ เพียงเพราะพวกเขาต้องการภูตไว้รับใช้สักตน มันไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้น

"อินุงามิเนี่ย เป็นวิญญาณของสุนัขที่ถูกเจ้าของฆ่าตายแล้วถูกเรียกกลับมา พวกมันจึงทรงพลังมากเพราะความเคียดแค้นก่อนจะตายถูกไหม"

"อืม"

"แต่กับฉันไม่ใช่แบบนั้น ของฉันเป็นการตายอย่างสงบเพราะถึงเวลา แล้วก็ได้กลับมาเพราะว่าผูกพันกับคนในบ้านหลังนี้"

จบประโยคนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแบล็ก เป็นเพียงรอยยิ้มบาง ๆ แต่กลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกมากมายที่อยู่ในนั้น มันมีทั้งความสุข ความรัก และความผูกพันอย่างที่เจ้าตัวบอก

เห็นแบบนี้อัลฟ่าจึงพอเข้าใจว่าแบล็กแตกต่างจากอินุงามิตนอื่น โดยปกติอินุงามิจะมีนิสัยดุร้ายเพราะถูกฆ่าตายโดยไม่เต็มใจแล้วเรียกวิญญาณกลับมา แต่กับแบล็ก เจ้าตัวตายตามอายุขัยและกลับมาเพราะความผูกพัน เพราะฉะนั้นกลิ่นอายและบรรยากาศรอบกายจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นชวนให้ปลอดภัย จนเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวตนจริง ๆ ของแบล็กจะเป็นอินุงามิ ที่ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในภูตที่ทรงพลังมาก ๆ ตนหนึ่ง

"อยากลองฟังเรื่องของฉันก่อนที่จะเป็นอินุงามิดูไหม"

ดวงตาที่มองสบมาอย่างอบอุ่นคู่นั้นทำให้อัลฟ่าได้แต่พยักหน้ารับกลับไปด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเรื่องราวที่กำลังจะได้ยินเป็นแบบไหน แต่อัลฟ่าก็สัมผัสได้ว่ามันต้องเป็นความทรงจำที่มีค่าสำหรับแบล็กมากแน่ ๆ

"ก่อนหน้านี้ฉันเป็นลูกหมาที่หลงมา ตอนนั้นได้แต่เดินไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ทิศรู้ทางหรอก รู้แค่ว่าหิวแล้วก็เหนื่อยมาก ขาฉันล้าไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ เดินไปแล้วก็เดินไป จนกระทั่งบังเอิญมาเจอเข้ากับชุน...คุณปู่ของโนบุจังน่ะ"

เห็นสีหน้างง ๆ ของอัลฟ่าตอนได้ยินชื่อ แบล็กเลยอธิบายให้ฟัง

"ชุนเก็บฉันมาเลี้ยง ตอนนั้นเขากำลังจะแต่งงานกับคุณย่าของโนบุจังแล้วด้วย พวกเขาเลี้ยงดูฉันอย่างดีเลย ทุกครั้งที่กลับมาบ้านชุนจะมาเล่นกับฉันตลอด บางครั้งเขาก็จะมานั่งคุยอะไรให้ฉันฟังไปเรื่อยเปื่อย หรือไม่ก็มานั่งอยู่ด้วยกันเฉย ๆ ก็มี ทุกวันเป็นไปอย่างนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง...ชุนกลับมาพร้อมกับบาดแผลเต็มตัว กลิ่นเลือดลอยมาแตะจมูกฉันก่อนที่จะได้กลิ่นของเขาซะอีก หนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ ที่เขาต้องนอนพักรักษาตัว ฉันไม่เห็นหน้าเขาเลย ทำได้แค่นั่งรออยู่ข้างนอกทั้งที่อยากเข้าไปหาใจจะขาด แต่ก็อย่างว่า ฉันมันเป็นแค่หมาจะเข้าไปยุ่งด้วยได้ยังไง"

น้ำเสียงเศร้า ๆ ของแบล็กทำให้อัลฟ่าเผลอขมวดคิ้วตามไปด้วย เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าจะเข้าใจถูกไหม แต่คิดว่าตอนนั้นแบล็กคงจะรู้สึกแย่มาก ๆ

"ตอนนั้นฉันได้แต่สงสัยว่าทำไมชุนถึงเป็นแบบนั้น ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ใครเป็นคนทำร้ายชุน แล้วฉันจะทำยังไงเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ฉันพยายามฟังสิ่งที่ทุกคนพูดกัน ฉันได้ยินเกี่ยวกับเรื่องขององเมียวจิ ได้ยินเรื่องของภูตผี ได้ยินหลาย ๆ เรื่องที่ทำให้รู้ว่า ต่อให้จะรู้หรือเข้าใจเรื่องราวไป ฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี มันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่หมาอย่างฉันจะทำอะไรได้ สุดท้ายเลยได้แต่ปล่อยมันไปอย่างนั้น ต้องมองดูชุนที่บางครั้งก็จะได้รับบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับมา โดยที่ทุกครั้ง เวลาเขาออกไป ฉันจะทำได้แค่ขอว่าอย่าให้ฉันต้องได้กลิ่นเลือดก่อนกลิ่นของเขา ฉันได้แต่ขอ..."

"....."

"ให้สักวันฉันมีประโยชน์พอ ให้ฉันสามารถปกป้องเขาได้ในสักวัน"

"....."

"ฉันใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาโดยทำได้แค่ร้องขอในใจแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกสามปี ก็มีชิเงรุออกมา"

ได้ยินแบบนั้นอัลฟ่าก็พยักหน้าเบา ๆ เพราะจำได้ว่าชิเงรุเป็นชื่อคุณพ่อของชิโนบุ

"ยิ่งเวลาผ่านไปชิเงรุก็ยิ่งโตขึ้นทุกวัน ๆ จนมาถึงเวลาที่ชุนต้องเริ่มถ่ายทอดบทเรียนต่าง ๆ ให้กับเขา เจ้าหนูนั่นเป็นเด็กเก่งนะ ฉลาดมาก ชุนสอนอะไรไปก็ทำได้หมด ถึงแม้ฉันจะไม่รู้เรื่องอะไรมาก แต่ก็พอจะรู้ว่าอีกหน่อยเขาต้องเดินตามรอยของชุนได้แน่..."

"....."

"แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่มีโอกาสอยู่เห็นวันนั้นด้วยตาตัวเอง"

ประโยคนั้นทำให้อัลฟ่าเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่ง เขาเห็นแบล็กส่งยิ้มมาให้บาง ๆ ก่อนเจ้าตัวจะก้มลงมองมือของชิโนบุที่อยู่บนตัก แบล็กบีบมือข้างนั้นเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดต่อ

"ฉันตายตอนที่ชิเงรุอายุยังไม่ถึงสิบขวบเลยด้วยซ้ำ"

"นายโอเคที่จะเล่าต่อไหม"

ความเป็นห่วงที่ได้รับจากทั้งแววตาและน้ำเสียง ทำให้แบล็กหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าเรียกให้เจ้าตัวขยับเข้ามาใกล้กันยิ่งขึ้น ฝ่ามือของภูตหนุ่มยื่นออกไปตบไหล่อัลฟ่าเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูแล้วเริ่มเล่าต่อ

"ตอนที่พวกเขาเอาร่างของฉันไปฝัง วิญญาณของฉันยังไม่ได้ไปไหนเลย ฉันก็เลยเห็นชุนตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้ ในขณะที่ชิเงรุ เจ้าหนูนั่นน้ำหูน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตกเลย ฉันไม่เคยคิดและไม่เคยรู้มาก่อนว่าชีวิตฉันจะมีค่าพอทำให้พวกเขาร้องไห้ได้ในตอนที่ฉันจากไป แต่พอฉันได้รู้และได้เห็นภาพพวกเขาที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างหลุมศพฉัน วินาทีนั้นฉันรู้เลยว่า ฉันรักทุกคนที่นี่มากแค่ไหน มันเลยทำให้ฉันอยากที่จะกลับมา ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นฉันทำยังไง ฉันรู้เพียงแค่ว่าในใจฉันไม่อยากไป ฉันอยากกลับมาอยู่กับพวกเขา ฉันอยากกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ฉันรักทุกคนที่นี่ ฉันไม่อยากจากพวกเขาไป"

"....."

"หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นมากมายหลายอย่างที่ฉันเองก็ไม่รู้และอธิบายไม่ได้ แต่ว่าสุดท้ายฉันก็ได้กลับมา กลับมาในฐานะของวิญญาณผู้พิทักษ์ กลับมาในฐานะภูต กลับมาในฐานะ...อินุงามิ"

สิ้นประโยคนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าแบล็กก็ยิ่งกว้างขึ้น ในขณะที่อัลฟ่าเผลอถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว ดวงตามองสบกับแบล็กตรง ๆ ก่อนจะหันไปมองชิโนบุแล้วก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้

"ก็หมายความว่านายอยู่มาตั้งแต่ชิโนบุยังไม่เกิดด้วยซ้ำ"

"ใช่ ตอนนั้นโนบุจังยังไม่เกิดเลย"

คำยืนยันที่มาพร้อมรอยยิ้มทำให้อัลฟ่าได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ ความรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะผ่านเรื่องราวที่สำคัญมาก ๆ แถมยังน่าเหลือเชื่อจนชวนให้รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

"รู้ไหม ถึงแม้จะได้ฟังเรื่องนี้จากนายโดยตรง แต่ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าที่จริงแล้วนายเป็นภูต"

"สำหรับผู้คนในเมืองนี้ นอกจากบ้านอาคาวะก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันไม่ใช่คน...ฉันเนียน"

"ก็ควรอยู่หรอกที่จะไม่มีใครรู้ ดูสิ มีตรงไหนของนายที่ไม่เหมือนคนกันล่ะ"

แบล็กหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ซึ่งอัลฟ่าเองก็ได้แต่ขำตามไป ก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อโดนถาม

"จำตอนที่ฉันสอนนายเรื่องของอินุงามิได้ไหมล่ะ"

"ได้"

"ตอนนั้นฉันก็ย้ำกับนายไปแล้วไงว่าภูตตนนี้น่ะ เก่งนะ"

สองคำสุดท้ายที่ย้ำด้วยรอยยิ้มทำให้อัลฟ่านึกย้อนไปถึงในบทเรียนที่แบล็กเคยสอน แบล็กมักจะย้ำอยู่เสมอว่า ถ้าเจอใครแล้วมีความรู้สึกแปลก ๆ ด้วยหรือสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆ จากใคร ให้เริ่มระวังตัวไว้ก่อนเลย เพราะคน ๆ นั้นอาจจะเป็นภูตที่แปลงกายมา ซึ่งโดยปกติภูตทั่วไปจะไม่สามารถทำแบบนี้ได้ ยกเว้นแต่กับพวกที่อยู่ในระดับสูง ๆ ซึ่งอินุงามิก็ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในนั้น

"ที่สำคัญฉันยังสามารถผลิตทายาทกับมนุษย์ได้ด้วย"

"อันนั้นไม่ต้องย้ำก็ได้"

"ฉันก็แค่อยากอวด เพราะมันเป็นความพิเศษของภูตในส่วนน้อยที่จะทำได้ไง"

เห็นสีหน้าปุเลี่ยน ๆ ของอัลฟ่าแล้ว แบล็กก็ได้แต่อมยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะเหลือบมองไปทางนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตอนนี้เริ่มจะดึกมากแล้ว

"ฉันว่านายควรนอนพักได้แล้วล่ะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว"

พูดจบก็พยักเพยิดหน้าไปทางนาฬิกา ซึ่งอัลฟ่าเองก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนเจ้าตัวจะคลานกลับไปยังฟูกนอนของตัวเองที่อยู่อีกฝั่งของชิโนบุ

แบล็กมองตามจนกระทั่งเห็นอัลฟ่าตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว ความเอ็นดูฉายชัดอยู่ในดวงตาราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังมองดูเด็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองชิโนบุที่นอนอยู่ใกล้ ๆ กัน รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าก่อนที่จะล้มตัวลงนอนแล้วหลับตาลง

...............

.......

...

'แบล็ก แบล็กอยู่ไหม'

เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังคุยธุระอยู่กับผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของบ้านอาคาวะได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะบ่นขึ้นมาด้วยสีหน้าเอือมระอาจนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันได้แต่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ

'เจ้าหนูนี่ ถ้าวันไหนไม่ได้ตะโกนเสียงดังสงสัยจะนอนไม่หลับ'

'ไปดูหน่อยเถอะว่าจะเอาอะไร'

อาคาวะ ชุน ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ในขณะที่คนโดนเรียกยังคงขมวดคิ้วไม่เลิก ดวงตามองตรงไปยังประตู ก่อนจะถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเดินออกไป

ใช้เวลาไม่นานนักก็เดินมาเจอเข้ากับเจ้าของเสียงดัง ๆ ที่ตะโกนลั่นไปทั่ว แบล็กตั้งใจว่าจะดุสักหน่อย แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นว่าที่ข้าง ๆ เจ้าตัวมีสาวน้อยหน้าตาน่ารักยืนอยู่ด้วย

'แบล็ก ฉันมีคนจะแนะนำให้นายรู้จัก จริง ๆ พามาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่นายไม่อยู่ก็เลยได้เจอแค่พ่อ'

แบล็กทำเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มกลับไปให้สาวน้อยที่ค้อมหัวให้ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

'นี่คือ สึกิโกะ เป็นแฟนฉันเอง'

...

'แบล็ก ฉันจะเป็นพ่อคน ฉันจะเป็นพ่อคนแล้ว'

'รู้แล้ว ใจเย็น ๆ หน่อยได้ไหม'

ประโยคที่ดังขึ้นเป็นรอบที่สิบของวันจากเจ้าหนูขี้โวยวายในสายตาแบล็ก ทำให้ภูตเพียงหนึ่งเดียวในห้องได้แต่พูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจเพราะความตื่นตูมของเจ้าตัว

'ฉันก็จะเป็นปู่แล้ว ฉันจะเตรียมอะไรไว้รับขวัญหลานดี ฉันจะซื้ออะไรดีล่ะ เลือกไม่ได้แบบนี้งั้นเหมาหมดเลยดีไหม'

'นายเองก็ต้องใจเย็น ๆ เหมือนกัน'

คนพ่อก็อย่าง คนลูกก็อย่าง แบล็กล่ะอยากจะหนีไปรับงานไกล ๆ จะได้ไม่ต้องมาเป็นตัวห้ามทัพของครอบครัวสติแตก ที่คนหนึ่งตื่นเต้นที่จะได้เป็นพ่อ ในขณะที่อีกคนก็ตื่นเต้นที่จะได้เป็นปู่

'ตื่นเต้นกันน่าดูเลยเนาะ'

เจ้าของเสียงหวาน ๆ ที่หันมาพูดด้วย ทำให้แบล็กได้แต่อมยิ้มกลับไปอย่างขำ ๆ ดูเหมือนว่าคนที่ควรจะตื่นเต้นที่สุดเพราะจะได้เป็นแม่ กลับดูสงบเยือกเย็นที่สุดซะอย่างนั้น

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่สึกิโกะจะเป็นคนที่เยือกเย็นที่สุด เพราะก่อนที่เธอจะละจากหน้าที่มาคบหาดูใจและสร้างครอบครัวกับชิเงรุในบ้านหลังนี้ เธอก็ได้รับการฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจมาเป็นอย่างดี ในฐานะของ 'มิโกะ' ที่เป็นผู้สื่อสารกับเทพเจ้า ที่สำคัญคือ...เธอเองก็มีญาณพิเศษเกี่ยวกับพวกภูตผีด้วยเหมือนกัน

ข่าวการตั้งท้องของสึกิโกะถือเป็นที่จับตามองขององเมียวจิตระกูลอื่น ๆ เพราะทุกคนต่างก็อยากรู้ว่า เด็กคนนี้ที่กำลังจะเกิดมาจะมีความพิเศษอะไรซ่อนอยู่ ในเมื่อมีพ่อเป็นองเมียวจิจากตระกูลเก่าแก่ และมีแม่เป็นมิโกะที่มีญาณพิเศษกว่าคนทั่วไป

แต่ถึงอย่างนั้น...

เรื่องตระกูลหรือญาณพิเศษก็ไม่ได้สำคัญสำหรับแบล็ก

เพราะสิ่งสำคัญสำหรับภูตผู้พิทักษ์ของบ้านอาคาวะในตอนนี้ก็คือ เด็กที่กำลังจะเกิดมา

แบล็กไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่กำลังจะมีเด็กเกิดขึ้นมาจริง ๆ แม้ภายนอกจะทำเป็นใจเย็นห้ามคนโน้นที คนนี้ที เพื่อไม่ให้สติแตก แต่ความจริงแล้วในใจลึก ๆ เขาก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

แม้ว่าจะเคยเห็นความวุ่นวายแบบนี้มาบ้างแล้วตอนที่ชิเงรุเกิด แต่ตอนนั้นเขายังเป็นแค่สุนัขที่ไม่รู้เรื่องอะไรนัก ทำได้เพียงมองดูจากด้านนอก ไม่ได้เข้ามาเห็นอะไรภายในบ้าน

แต่ว่าในตอนนี้ไม่ใช่แล้ว...

ตอนนี้เขาอยู่ในร่างมนุษย์ เขาสามารถมองดูทุกอย่างได้จากตรงนี้ สามารถสัมผัสบรรยากาศของความสุข ยามมีเจ้าตัวน้อยเกิดมาได้จากตรงนี้

สามารถ...

สัมผัสร่างอันเปราะบางของเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดมาได้

แค่คิดก็ตื่นเต้นจนมือไม้สั่นไปหมด อยากเจอหน้าเร็ว ๆ จัง

เจ้าหนู...

...

'.....'

เสียงลมหายใจสม่ำเสมอจากเจ้าหนูจอมป่วนที่เพิ่งจะหมดฤทธิ์จนหลับปุ๋ยไปทำให้แบล็กลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ปลายนิ้วค่อย ๆ เกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าของเจ้าตัวออกให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงไปแนบริมฝีปากเข้ากับผิวแก้มนุ่ม ๆ แล้วยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

แบล็กค่อย ๆ ดึงแขนของตัวเองที่โดนเจ้าหนูน้อยนอนทับออกมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะสะบัดหน้าขวับไปทางประตูเมื่อมันถูกเลื่อนเปิดออก

คนสองคนที่อยู่ตรงหน้าประตูหยุดชะงักไปในทันที ชิเงรุและสึกิโกะกระพริบตาปริบ ๆ มองแบล็กที่ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปาก ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวนเจ้าหนูน้อยของบ้าน

หลังจากที่เจ้าตัวน้อยเริ่มโตขึ้น ทั้งชิเงรุและสึกิโกะก็ต้องเริ่มออกไปรับงานกันเหมือนเดิม อย่างที่บอกว่าสึกิโกะเองก็เป็นอดีตมิโกะ แม้ตอนนี้จะเลิกเป็นไปแล้ว แต่ศาสตร์ต่าง ๆ ที่เคยเรียนรู้มาก็ยังคงใช้ได้อยู่ และถือเป็นประโยชน์สำหรับตระกูลองเมียวของอาคาวะ เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องออกไปทำงานกับชิเงรุด้วย

ในขณะที่ชุน ซึ่งตอนนี้สละตำแหน่งเจ้าบ้านให้กับชิเงรุไปแล้วแต่ก็ยังคงคอยช่วยสนับสนุนอยู่ตลอด แบล็กเองก็เหมือนกัน เจ้าตัวมักจะคอยเลือกงานที่อันตรายมาก ๆ จนมีปากเสียงกับชิเงรุหลายครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับมาดีกันได้ทุกครั้ง สรุปก็คือ ทุกคนกลับมาอยู่ในวังวนของการทำงานเหมือนเดิม

แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ พวกเขาจะไม่รับงานพร้อมกัน

ในทุก ๆ วันจะต้องมีใครสักคนที่ไม่รับงานแล้วใช้เวลาอยู่กับเจ้าหนูน้อยของบ้าน ซึ่งช่วงแรก ๆ ก็จะเป็นการแบ่งวันกันไปตามปกติ แต่พักหลัง ๆ มานี้ หน้าที่นี้มักจะตกไปอยู่ที่แบล็กซะส่วนใหญ่ เพราะว่ายิ่งโตขึ้นเจ้าหนูก็ยิ่งติดแบล็กมาก จนบางครั้งร้องไห้โฮเพราะหาไม่เจอก็มี

เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ ในทุก ๆ วันแบล็กจะต้องเป็นคนมาส่งเจ้าตัวเข้านอนเสมอ

'หลับปุ๋ยเลย'

สึกิโกะพูดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มหวาน ขณะมองดูลูกชายที่นอนหลับด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู เธอใช้ปลายนิ้วลูบไปตามแขนเล็ก ๆ ของเจ้าตัวน้อยเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับแบล็ก

'เหนื่อยไง วันนี้ซนทั้งวัน'

คำพูดของแบล็กทำให้สึกิโกะและชิเงรุอมยิ้มออกมา ก่อนทั้งคู่จะก้มลงไปหอมแก้มเจ้าตัวน้อยกันคนละที แล้วพากันออกจากห้องไป

หลังจากภายในห้องกลับมาสงบเงียบตามเดิม แบล็กก็หันกลับมาหาเจ้าหนูน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอีกครั้ง รอยยิ้มเอ็นดูปรากฎขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาเหมือนเดิม ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวเจ้าตัวเบา ๆ

'ฝันดีนะโนบุจัง'

น้ำเสียงอ่อนโยนและสัมผัสอบอุ่นคือสิ่งที่แบล็กมีให้กับหนูน้อยของบ้านอาคาวะมาตั้งแต่วันแรกที่เจ้าตัวลืมตาขึ้นดูโลก จนกระทั่งถึงวันนี้ทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป

เขายังจำได้ดีถึงวันที่ได้เจอกันครั้งแรก ดวงตากลม ๆ คู่นั้นมองมาอย่างไร้เดียงสา พร้อมกับมือน้อย ๆ ข้างนั้นที่คว้าเอานิ้วชี้ของเขาไปจับไว้

มือน้อย ๆ ข้างนั้น...

'.....'

แบล็กก้มลงมองมือของเจ้าตัวน้อยที่วางอยู่บนฟูกนอน ก่อนจะจับประคองขึ้นมาอย่างเบามือ นิ้วชี้ค่อย ๆ เกี่ยวเข้าไปจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือข้างนั้น พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

'ยังอุ่นเหมือนเดิมเลย'

อุ่นเหมือนกับวันแรกที่โนบุจังจับนิ้วฉันไว้

อุ่นเข้าไปถึงข้างในหัวใจของฉันเลยล่ะ

...

'ทำไมโนบุจังยังไม่กลับ'

'ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันจ้ะ'

ทั้งแบล็กและสึกิโกะได้แต่นั่งขมวดคิ้วอย่างเริ่มเป็นกังวล เพราะเจ้าหนูของบ้านยังไม่กลับจากโรงเรียน ทั้งที่ความจริงตอนนี้เลยเวลากลับมาสักพักแล้ว

ตอนนี้ชิโนบุเริ่มโตพอจะส่งเข้าเรียนในชั้นอนุบาลได้แล้ว ทำให้ทุกคนเริ่มมีเวลาว่างมากขึ้นในตอนกลางวัน แต่แทนที่เป็นแบบนี้แล้วจะดี กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่งพะวงเวลาที่เจ้าตัวกลับไม่ตรงเวลากันซะอีก

'เสียงรถกลับมาแล้ว'

คำพูดของแบล็กทำให้สึกิโกะชะเง้อมองออกไปทางประตู รอยยิ้มเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างโล่งใจที่ลูกชายของเธอกลับมาสักที แต่พอหันกลับมามองหน้าแบล็กก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังขมวดคิ้วแน่น แถมยังมีท่าทีเคร่งเครียดอีกต่างหาก

'มีอะไรหรือเปล่าแบล็ก'

'โนบุจังได้แผลกลับมา'

ได้ยินแค่นั้นสึกิโกะที่ตั้งใจว่าจะรออยู่ในบ้านก็เปลี่ยนใจลุกเดินออกไปทันที ในขณะที่แบล็กเองก็รีบตามไปด้วยเมื่อเขาได้กลิ่นเลือดโชยมา แม้จะเพียงแค่จาง ๆ ก็เถอะ

'ชีจัง เป็นอะไรหรือเปล่าลูก'

คำถามของผู้เป็นแม่ทำให้เด็กน้อยส่ายหน้าเบา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นว่าดวงตาคู่นั้นยังคงแดงช้ำจากการร้องไห้ ตามแขนขามีแผลถลอกจนเลือดไหลซิบเต็มไปหมด แม้จะได้รับการรักษาอย่างดีแล้วก็เถอะ

แบล็กที่ยืนมองอยู่ด้านหลังสึกิโกะยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น ก่อนจะหันไปถามอายาเมะที่เป็นคนไปรับเจ้าหนูกลับมาจากโรงเรียนแทนเมื่อเจ้าตัวน้อยไม่ยอมพูดอะไร

'เกิดอะไรขึ้น'

'นายน้อยโดนเพื่อนแกล้งค่ะ โดนผลักล้มจนแขนขาถลอกหมดเลย'

พอได้ยินคำตอบแบบนั้นแบล็กก็ได้แต่ขบกรามแน่น นึกโกรธเจ้าเด็กตัวต้นเหตุเป็นฟืนเป็นไฟแม้จะยังไม่เคยเห็นหน้ากันก็ตาม

บ้านนี้ทุกคนเลี้ยงดูโนบุจังกันอย่างกับไข่ในหิน แล้วเจ้าเด็กนั่นมันกล้าดียังไง

จะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

...

'ฉันจะไปเรียนกับโนบุจังด้วย'

'ใจเย็นนะแบล็ก ฉันรู้ว่านายโกรธแต่ตอนนี้ชีจังไม่เป็นอะไรแล้ว'

เห็นท่าทีหัวเสียของอีกฝ่ายแล้ว ชิเงรุก็ทำได้แค่พูดปลอบให้เจ้าตัวใจเย็นลง ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเองก็โกรธอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เพราะไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายเพราะร้อนทั้งคู่ ก็เลยต้องพยายามสงบสติตัวเองไว้

อีกอย่าง นี่ก็ถือเป็นเรื่องของเด็ก ๆ การที่ผู้ใหญ่อย่างพวกเขาเข้าไปยุ่งด้วยมันก็ดูจะไม่ค่อยดีเท่าไร

'แล้วถ้าพรุ่งนี้เป็นอีกจะทำยังไง'

'เดี๋ยวเรา--'

'ฉันจะไปเรียนกับโนบุจัง'

แบล็กไม่สนใจสิ่งที่ชิเงรุกำลังจะพูด ทันทีที่ประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองอย่างชัดเจนก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที แต่ก่อนที่จะพ้นประตูไป ก็ต้องหยุดฝีเท้าไว้เมื่อได้ยินเสียงถามตามหลังมา

'แล้วนายจะไปเรียนกับชีจังยังไง'

คำถามนั้นทำให้แบล็กหันกลับไปมอง ก่อนที่ไอสีดำจาง ๆ จะค่อย ๆ ปกคลุมไปทั่วทั้งตัว ชั่วอึดใจที่ไม่มีใครมองเห็นร่างที่ถูกห่อหุ้มไว้ ละอองแสงสีดำก็ค่อย ๆ จางลง ปรากฏเป็นร่างของเด็กน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับชิโนบุยืนอยู่ตรงนั้นแทนที่ร่างสูงสมส่วนของภูตหนุ่มที่เลือนหายไป

'นี่นาย...'

ชิเงรุไม่รู้จะพูดอะไรดีจริง ๆ กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขาไม่ได้ตกใจกับความสามารถในการแปลงกายของแบล็ก เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้าตัวมีพลังอำนาจมากขนาดไหน เพียงแต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะลงทุนถึงขนาดนี้ต่างหาก

'เดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนร่างไปตามอายุของโนบุจังเอง ไม่ต้องห่วง'

สิ้นประโยคนั้นเสียงหัวเราะก็ดังมาจากสึกิโกะที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น ในดวงตากลมสวยคู่นั้นฉายประกายขำขัน ก่อนที่มันจะเริ่มลามไปยังชิเงรุ ที่ก็หลุดขำออกมาไม่ต่างกันกับความเป็นห่วงของแบล็กที่นับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้น

ยิ่งนับวันก็ยิ่งเหมือนเป็นคุณพ่อของชีจังเข้าไปทุกที

คิดได้แบบนั้นชิเงรุก็ยิ่งหลุดขำเสียงดังกว่าเดิม ก่อนที่เสียงขำนั้นจะยิ่งดังลั่นออกไปถึงนอกห้อง เมื่อได้ยินสิ่งที่สึกิโกะพูดขึ้น ซึ่งแบล็กเองก็เผลอขมวดคิ้วเข้าเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เถียงอะไรกลับไป

'ชีจังมีคุณพ่อไปเรียนด้วยแบบนี้ คงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะจ้ะ'

...

'แบล็ก'

'หืม?'

เจ้าของชื่อหันไปมองเจ้าหนูตัวน้อยที่กำลังกระพริบตาปริบ ๆ มองมาทางเขาด้วยสีหน้าสงสัย หัวคิ้วเหนือดวงตากลมโตคู่นั้นขมวดมุ่น ก่อนที่ฝ่ามือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างจะจับหน้าเขาไว้แล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

'ทำไมแบล็กตัวเล็ก'

'ก็จะได้ไปเรียนกับโนบุจังไง'

'แล้วทำไมต้องตัวเล็ก'

คำถามที่ย้ำมาอีกทำให้แบล็กหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ในหัวกำลังพยายามนึกหาคำง่าย ๆ มาอธิบายให้เจ้าตัวเข้าใจว่า ต่อจากนี้เขาจะมาเรียนด้วยในฐานะของ อาคาวะ แบล็ก

ลูกพี่ลูกน้องของ อาคาวะ ชิโนบุ

แต่ขืนพูดไปหมดนั่นก็คงจะยิ่งงงไปกันใหญ่...งั้นเอาง่าย ๆ ก็แล้วกัน

'ถ้าฉันตัวใหญ่ ฉันก็จะมาเรียนกับโนบุจังไม่ได้'

'แต่ตัวใหญ่แล้วนั่งตักได้ ถ้าแบล็กตัวเล็กก็นั่งตักไม่ได้แล้วน่ะสิ'

สีหน้าเคร่งเครียดของเจ้าตัวน้อยทำให้แบล็กหลุดยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู เห็นเจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นเหมือนการไม่ได้นั่งตักมันเป็นปัญหาที่ใหญ่มากแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ

'เดี๋ยวกลับบ้านไปก็ตัวใหญ่แล้ว โนบุจังก็มานั่งตักได้เหมือนเดิม'

'จริงเหรอ'

'จริงสิ'

ได้ยินคำยืนยันแบบนั้นเจ้าตัวน้อยก็เริ่มกลับมาฉีกยิ้มร่า ก่อนจะหันมาหาแบล็กแล้วพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างจนตาปิด

'ดีจัง'

รอยยิ้มหวาน ๆ ที่ได้รับทำให้แบล็กอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ฝ่ามือที่แม้จะเล็กลงมากแต่ก็ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม เอื้อมไปลูบหัวให้เจ้าตัวหัวเราะคิกคักออกมาอย่างชอบใจ

'ถ้าตัวใหญ่เหมือนเดิมได้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว'

'งั้นฉันก็ไปเรียนกับโนบุจังได้แล้วใช่ไหม'

'ได้สิ มาเรียนด้วยกันทุกวันเลยนะแบล็ก'

'อืม ฉันจะมาเรียนกับโนบุจังทุกวันเลย'

ฉันจะคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ โนบุจังเอง

tbc...