webnovel

ตอนที่ 2 พรรคฟ้าทะลายโจร?

"น่าเสียดายที่ร่างกายไร้ซึ่งลมปราณ ดูแล้วเหมือนจะเป็นเพียงแค่ปุถุชนธรรมดา"

อวิ๋นซางตรวจสอบกำลังภายในของหนิงหลง และได้ส่ายหัวออกมาด้วยความผิดหวัง

เวลานี้หนิงหลงถึงกับจนด้วยเกล้า ต้องอยู่อย่างเดียวดายในโลกที่ไม่รู้จัก ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีกลับไปโลกเดิม และยังมาได้ยินการประเมินจากยอดฝีมือตรงหน้าอีกว่า ตนเองนั้นไร้ซึ่งลมปราณกำลังภายในอีก

ความฝันที่จะได้ฝึกวรยุทธ์และกลายเป็นจอมยุทธ์กับเขาบ้าง ต้องพังทลายลงในทันที ปรากฏว่าตัวเขานั้นไร้ซึ่งลมปราณ ทำให้เขาไม่ต่างอะไรไปจากคนธรรมดาเลย วรยุทธ์ที่ฝึกได้ก็คงมีแต่กำลังภายนอก เน้นร่างกายเป็นหลักแทนแล้วละ

แต่สำหรับคุณชายเจ้าสำราญอย่างเขาเนี่ยนะ จะตั้งใจฝึกฝนวิชา? ยิ่งการฝึกร่างกายที่ทรหดด้วยแล้ว แน่นอนว่าไม่มีทาง!

"วิถีทางอันยาวไกล ผู้ใดจะร่วมเดินทาง, วิถีทางยากลำเค็ญ แล้วใครเล่าสามารถอยู่จนแก่เฒ่า..." ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วหนิงหลงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม

"คำกล่าวของสหายน้อยยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!" อวิ๋นซางตกตะลึงยิ่งนัก เขามองไปทางหนิงหลงด้วยสายตาที่ยากจะเชื่อ

นี่คือคำเอ่ยที่น่าตกตะลึง คำเอ่ยนี้ของหนิงหลง ทำให้เขารู้สึกค้างคามิรู้จบ คาดมิถึงว่าเขาจะมองเห็นความเป็นความตายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

"สหายน้อย แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไปละ สนใจมาเข้าร่วมราชวงศ์เจิ้งของข้าหรือไม่?" ฟู่เทียนซาลอบถามหยั่งเชิงขึ้นมา

"หากแต่มีใครที่คิดหาความสงบอันแท้จริง และ..." หนิงหลงมองข้ามสายตาตกตะลึงของทุกคนไป เดินตรงไปริมศาลา ยืนหันหลังให้กับทุกคนพร้อมนำมือไขว้หลัง สายตาคมกริบ ท่วงท่าดุจเซียน "ยิ้มเย้ยยุทธจักร!"

หากแต่มีใครที่คิดหาความสงบอันแท้จริง และ ยิ้มเย้ยยุทธจักร!

ชายหนุ่มผู้นี้มีอายุราวๆ สิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น เขาจะต้องเข้าใจและมีสติปัญญามากเพียงใดถึงจะสามารถเข้าใจหลักการที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ได้? นี่คือคำเอ่ยที่น่าตกตะลึง

หมูกินเสือ! เจ้าเด็กหนุ่มตรงหน้ามันต้องแสร้งทำตัวเป็นปุถุชนธรรมดาแน่นอน!

"ไม่ทราบว่าสหายน้อยมีอาจารย์หรือไม่?" ยามนี้อวิ๋นซางรู้สึกสนใจในตัวหนิงหลงไม่น้อย อยากที่จะรับมาไว้เป็นศิษย์

แม้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะดูธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่ความธรรมดานี่แหละกลับดูไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

หนิงหลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พร้อมเปิดเพลงประกอบฉาก เสียงดนตรีที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจากเจ้าโทรศัพท์เครื่องเล็กๆ ของหนิงหลง

ในยามนี้ท่วงท่าของหนิงหลงประกอบกับดนตรีพื้นหลัง ทำให้เขาดูราวกับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่

ยอดฝีมือทั้งสามที่กำลังดูหนิงหลงอยู่ต่างรู้สึกตกใจจนแทบจะหยุดหายใจ เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผาก หัวใจเต้นแรงราวกับกระเด็นออกมา จนเผลอปล่อยแรกกดดันออกมาโดยมิได้ตั้งใจ

"ท่องยุทธจักร กว่าสามสิบปีพิชิตศัตรู สังหารอริราช วีรบุรุษห้าวหาญ ทั่วทั้งโลกหล้าไร้ผู้ต่อกร สิ้นผู้ทัดเทียม ได้แต่เร้นกายในหุบเขาลึก มีอินทรีเป็นเพื่อน โออนิจจาในชีวิตคิดแสวงหาคู่มือสักคนยังไม่พบพาน นับว่าเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างสุดคณา..."

หนิงหลงเอ่ยอย่างช้าๆ เรียบๆ เข้าไปกับจังหวะดนตรี แต่เพราะความลงตัวนี้แหละ ทำให้ดูน่าเกรงขาม

"ลงชื่อ ต๊กโกวคิ้วป่าย (เดียวดายแสวงพ่าย) "

สิ้นเสียงของหนิงหลง กระบี่ของยอดฝีมือทั้งสามได้พุ่งพรวดออกมาจากปลอก ปักลงตรงหน้าของหนิงหลง กระบี่ทั้งสามเล่มได้สั่นขึ้นเอง และส่งเสียงออกมาเบาๆ ราวกับว่าพวกมันกำลังทำความเคารพอยู่

พริบตาเดียวนั้น บรรยากาศในทะเลสาบเสมือนดั่งแข็งตัวไปทั่วบริเวณ รูม่านตาของยอดฝีมือทั้งสามหดตัวลงทันใด ทั่วทั้งร่างของพวกเขาสั่นสะท้าน

"นี่มัน..." ริมฝีปากของอวิ๋นซางแห้งผาก ในใจของเขายามนี้มีทั้งความรู้สึกตื่นเต้นและกลัวปะปนรวมกันไป

'องอาจ หล่อเหลา ท่วงท่าดุจเซียน บุคคลเช่นนี้ต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน!'

ทันใดนั้นอวิ๋นซางพลันบังเกิดความคิดที่สุดสยองขึ้นมา

'ที่ข้ามิรู้สึกถึงลมปราณของอีกฝ่าย ก็เพราะเขาจงใจปิดซ่อนมันไว้? เช่นนั้นระดับการบ่มเพาะของเขาต้องสูงล้ำกว่าข้าไปไกลเหนือโข!?'

'และอาจารย์ของเขา 'ต๊กโกวคิ้วป่าย' ผู้นั้น ต้องเป็นตัวตนระดับใดกัน เพียงแค่ได้ยินชื่อเขากระบี่ทั่วหล้ายังต้องแสดงความเคารพ?'

"เอ่อ...ไม่ทราบว่าอาจารย์ขอ-"

ยังไม่ทันที่ฟู่เทียนซาจะกล่าวจบ หนิงหลงก็ได้พูดขึ้นมาก่อนว่า "น่าเสียดายๆ ท่านอาจารย์ได้จากไปแล้ว ในพรรคฟ้าทะลายโจรหลงเหลือเพียงข้า หนิงหลง เพียงผู้เดียวเท่านั้น"

'พรรคฟ้าทะลายโจร?' พวกเขาทั้งสามจะว่าตกตะลึงก็ไม่ผิด แต่สาเหตุของอาการตะลึงนั้น ก็เพราะพวกเขาไม่รู้จักพรรคที่ว่านี่มาเลยแม้แต่น้อย...

"สำหรับความสามารถไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความ ดูจากการที่เหล่ากระบี่เพียงแค่ได้ยินชื่อ พวกมันยังต้องทำความเคารพผู้อาวุโส เกรงว่าอาจารย์ของสหายน้อยจะเป็น เซียนกระบี่!" ฟู่เทียนซาอดมิได้ที่จะสั่นสะท้านขึ้นมา

ถึงแม้ว่าตัวเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่ปกครองแผ่นดิน แต่ระดับพลังของเขาก็ยังไม่ใช้ที่สุดของพีระมิด

ในโลกแห่งนี้ระดับพลังถูกแบ่งออกเป็นสิบเอ็ดขั้น และยังมีระดับที่สูงไปกว่านั้นคือขั้นสิบสองที่ผู้คนเรียกกันว่า 'ปรมาจารย์ยุทธ์'

ทั่วทั้งแผ่นดินราชวงศ์อู๋เหนือ-เจิ้งใต้ มีปรมาจารย์ยุทธ์อยู่แค่สี่ท่านเท่านั้น หรือก็คือมีผู้ที่ไประดับขั้นสิบสองได้นั้น มีกันอยู่แค่สี่คน!

แต่ขั้นสิบสองก็ใช่ว่าจะเป็นระดับสูงที่สุด เพราะทุกคนเชื่อว่ามันยังมีขั้นสิบสามที่อยู่เหนือไปอีก ระดับขั้นนี้ถูกเรียกว่า 'เซียน'

ทว่าพวกเขายังไม่เคยเห็นใครที่ไปได้ถึงระดับเซียนจริงๆ แต่ทุกคนต่างเชื่อว่าขั้นสิบสามมีอยู่จริงๆ

เพราะในยุคหนึ่งเคยมีปรมาจารย์ยุทธ์ท่านหนึ่งที่เกือบจะฝ่าระดับเข้าสู่ขั้นเซียนได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่เขาได้ดับสูญไปก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะมีปรมาจารย์ยุทธ์ที่ปกปิดเร้นกายอยู่เหมือนอาจารย์ของหนิงหลงก็เป็นได้

"กระบี่อสูรต๊กโกวคิ้วป่าย เมื่อพิชิตทั่วแผ่นดินไร้ผู้ต่อต้าน จึงฝังกระบี่ไว้สถานที่นี้ โอ้อนิจจา เหล่าผู้กล้าอับจนวิธี เสียทีที่กระบี่คมกล้า เป็นที่น่าอนาถใจ..." หนิงหลงได้เอ่ยขึ้นช้าๆ เสียงของเขาดังสะท้อนก้องอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

หยิ่ง ผยอง!

ทระนง ถือดี!

มั่นใจ กำแหง!

ทันใดนั้นยอดฝีมือทั้งสามก็ได้บังเกิดภาพหลอนขึ้นมา พวกเขาเห็นนิมิตร่างเงาของชายผู้หนึ่งที่ถือกระบี่อยู่ด้านหลังของหนิงหลง

ร่างเงาของชายผู้นี้ราวกับเซียนกระบี่ ทันทีที่ร่างเงาฟาดฟันกระบี่ ประกายกระบี่ปรากฏขึ้น ส่องประกายระยิบระยับ สะท้อนกับท้องนภา ราวกับต้องการแช่แข็งเอาไว้...

เจตจำนงกระบี่!

ยอดฝีมือทั้งสามหรี่ตาลง จ้องเขม็งไปยังนิมิตด้านหลังของหนิงหลง

ส่วนตัวหนิงหลงผู้ที่คุยโม้โอ้อวดจนทำให้ยอดฝีมือตรงหน้าทั้งสามคนได้เห็นนิมิตภาพหลอนนั้น กลับไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

เพราะภาพที่หนิงหลงเห็นคือยอดฝีมือทั้งสามจ้องเขม็งอย่างเคร่งเครียดมาที่ตัวเขาเท่านั้น หนิงหลงได้แต่ยืนมึนงงและสงสัยว่าทำไมทั้งสามคนต้องจ้องเขม็งเขากันขนาดนี้ด้วย?

เขาเพียงแค่คุยโม้เล่าเรื่องของต๊กโกวคิ้วป้ายเท่านั้นเอง อย่าบอกนะว่าเรื่องที่เขาเล่าอยู่มันโป๊ะแตก? ถูกพวกเขาจับได้แล้ว ฉิบหายละไง!?

สมองของหนิงหลงรีบประมวลผลอย่างเร็วจี๋ เตรียมคิดหาแผนการต่างๆ นานาน ที่จะพาตัวของเขาหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้

สามยอดฝีมือที่ฝึกปรือวิถีกระบี่อย่างยากลำบากมาทั้งชีวิต สัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่ร่างเงาได้แผ่ออกมา ถึงแม้ว่าจะเพียงน้อยนิด แต่กลับมีพลังยากสุดจะหยั่งถึง

แต่มิรู้ว่าด้วยเหตุใดพวกเขาจึงมิอาจเข้าใจในวิถีกระบี่ของร่างเงานี้ได้เลยแม้แต่น้อย

เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ มันทำให้พวกเขาทั้งตื่นเต้นและต้องจนด้วยเกล้า...

เวลานี้ พวกเขาราวกับเด็กน้อยชาวบ้านที่กำลังเฝ้ามองจอมยุทธ์ท่านหนึ่งฝึกกระบี่อยู่อย่างไรอย่างนั้น

ได้แค่มอง แค่กลับมิอาจเข้าถึงความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ภายในได้

หนิงหลงที่เห็นว่ายอดฝีมือทั้งสามเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด และเตรียมที่จะลงมือแล้ว ใบหน้าของเขาซีดขาว ท่าทางตื่นกลัว เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามหน้าผาก

ภาวนาให้สวรรค์เห็นใจ เขาพึ่งจะมีบทได้แค่สองตอนเท่านั้น ถ้าเกิดว่าเขาที่เป็นพระเอกได้ตายไป จะดำเนินเรื่องนี้ต่อได้เช่นไร ท่านนักเขียนคงจะไม่ใจร้ายตัดจบนิยายเรื่องนี้ลงเลยกระมัง?