บทที่ 16 การทดสอบการเป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูร
ในเช้าวันต่อมาเกาเผิงเคาะประตูห้องลุงหลิว
ประตูเหล็กถูกเปิดออก ลุงหลิวทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส “อรุณสวัสดิ์เกาเผิง มาทำอะไรแต่เช้าหรือ?”
“ขอโทษที่รบกวนลุงแต่เช้านะครับ” เกาเผิงกล่าว
“วันนี้ผมต้องเข้าทดสอบการประเมินเป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูร แต่ผมไม่แน่ใจว่าการสอบต้องใช้เวลานานเท่าไร ผมขอฝากต้าซื่อสักวันได้ไหมครับ ลุงหลิวไม่ต้องห่วงนะครับ ผมรับรองว่ามันเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน แต่ถ้าลุงหลิวคิดว่ามันน่ารำคาญ ลุงหลิวทิ้งมันไว้ในห้องผมก็ได้นะครับ ผมจะทิ้งกุญแจไว้ให้ ลุงหลิวแค่เอาอาหารให้มันก็พอครับ”
“อะไรกัน เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลมันเป็นอย่างดี ข้าวปลาอาหารครบถ้วน” ลุงหลิวสัญญา
เกาเผิงไว้ใจลุงหลิว เขาโค้งศีรษะอย่างสำนึกขอบคุณก่อนจะเดินจากไป
เกาเผิงไม่ได้สังเกตเลยว่า หลังจากต้าซื่อคลานเข้าในห้องของลุงหลิวแล้ว มันกลับเงียบผิดปกติ
หลังจากเกาเผิงไปได้สักพัก ลุงหลิวลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง
“สวัสดีตาเฒ่าเจียง...ใช่แล้ว...ฉันเอง...ใจเย็น...เขาสบายดี หลานชายของนายได้สร้างพันธสัญญาเลือดกับสัตว์อสูรตัวหนึ่งแล้ว มันเป็นตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วง ดูเหมือนจะเป็นชนชั้นสามัญนะ”
“อะไรนะ! แกคิดว่าฉันไม่แนะนำเขาเหรอ? พวกนายสองคนหัวรั้นจะตาย ฉันเปลี่ยนความคิดของเขาไม่ได้หรอก แถมเจ้าตะขาบนี่เป็นสิ่งที่ลูกสาวกับลูกเขยของแกทิ้งไว้ให้เขาดูต่างหน้าอีกต่างหาก”
“หืม ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ฉันบอกแล้วไงว่าให้ฆ่าคนที่รู้เรื่องนี้ทั้งหมด หรือไม่ก็หาเด็ก ‘ดีๆ’ มาสักคน ในโลกนี้ไม่เคยขาดคนความสามารถหรอกนะ” ลุงหลิวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา ช่างแตกต่างจากน้ำเสียงอบอุ่นเมื่อครู่นี้อย่างลิบลับ
“เอาละ บอกแผนการของแกมา…ไม่ต้องห่วงเขา เขาจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับฉัน”
อีกฝั่งหนึ่งของคู่สาย ชายผู้หนึ่งวางสายโทรศัพท์ก่อนจะเปิดม่านเพื่อให้แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาในสำนักงานที่มืดสลัว
ชายผู้นี้สวมเสื้อคลุมตัวยาวขอบสีทองและมีเส้นผมสีขาว แม้เขาค่อนข้างดูมีอายุ แต่ร่างกายของเขากลับแข็งแกร่งไม่ต่างจากชายฉกรรจ์
หลังจากชายชรากดปุ่มสีแดง หญิงสาวร่างผอมบางดั่งนางฟ้าเดินเข้ามาทำความเคารพ “มีอะไรให้ดิฉันรับใช้หรือคะท่านประธาน?”
ชายชรามองนอกหน้าอย่างใจเย็น “ยื่นคำขาดให้แผนกวิจัย ครั้งนี้ฉันจะยกโทษให้เพราะความสามารถของพวกเขา แต่ความอดทนของฉันมีจำกัด ให้เขาเลือกว่าจะทำงานให้เสร็จหรือถูกฉันฆ่า ฉันให้เวลาห้าเดือน อย่าทำให้ฉันผิดหวัง สำหรับปัญหาในชิงไห่ เก็บกวาดให้เสร็จภายในเจ็ดเดือน นำคำพูดของฉันไปบอกหลี่เย่ หากพวกเขาไม่ลงมือฉันจะจัดการเอง พวกเขารู้ดีว่าถ้าฉันลงมือแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากกล่าวจบ ชายชราจึงโบกมือไล่เลขาสาวออกไป
ใบหน้าของชายชราเรียบเฉย ไม่ปรากฏความสุขหรือความเศร้า มีเพียงดวงตาแฝงความอบอุ่นอยู่ภายในของเขาเท่านั้น
อีกแค่หนึ่งปีเรื่องทุกอย่างต้องจบ เขาจะได้พบหลานชายที่ไม่ได้เจอมาแสนนาน
แต่ก่อนทุกอย่างจะเรียบร้อย เขาไม่กล้าไปพบหลานชายเพราะเด็กน้อยจะไม่สามารถปกป้องตนเองได้ หากยังไม่ได้สร้างพันธสัญญาเลือดกับสัตว์อสูร เขาไม่ต้องการนำชีวิตของหลานชายมาเสี่ยงเพราะเขา
…
การทดสอบผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรถูกจัดขึ้นในบริเวณชานเมือง
หลังจากนั่งรถมาหลายชั่วโมง เกาเผิงมาถึงจุดหมายในที่สุด
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง แต่การทดสอบจะเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสอง เมื่อเขาลงมาจากรถ เผยให้เห็นอาคารสีขาวดำขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่รอบจัตุรัสแห่งนี้
สวนแห่งนี้ดูร่มรื่น เพราะมีต้นไม้ใหญ่คอยบดบังแสงอาทิตย์
ผู้คนต่างหลั่งไหลมาที่นี่ พื้นที่ใต้ต้นไม้ถูกจับจองไปหมดแล้ว บางคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ บางคนจดจ่ออยู่กับถุงอาหาร
‘นี่ยังไม่ถึงบ่ายสองเลย พวกเขามาถึงกันแล้วหรือ?’ เกาเผิงบ่นพลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เขามองหาที่นั่ง ที่นี่คนเยอะมาก เขาเดินมาครึ่งชั่วโมงและรู้สึกหิวจึงมองหาร้านอาหาร ระหว่างนั้นมีเสียงใครบางคนเรียกเขา “เกาเผิง”
นั่นทําให้เขารู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาเองมีเพื่อนเพียงไม่กี่คน พ่อแม่ของเขาจากไปแล้ว คุณตาก็หายตัวไป แต่ใครกันมาเรียกชื่อเขา?
“เกาเผิง จอมทําลายล้าง!” เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้เกาเผิงต้องหันหลังกลับด้วยความสับสน มีเพียงคนเดียวที่เรียกเขาจอมทําลายล้าง ตรงใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก ในท่ามกลางผู้คนเด็กหนุ่มร่างสูงปานกลางโบกมือเรียกเขาอย่างตื่นเต้นและมีเด็กผู้หญิงชุดแดงยืนขนาบข้าง ทั้งสองดูคุ้นเคยกับเกาเผิงเป็นอย่างดี
เกาเผิงครุ่นคิดชื่อของพวกเขาครู่หนึ่งก่อนจะนึกออกในที่สุด
หลี่หงตู หลี่ซื่อกง
เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขานั่นเอง
ทั้งสองคือพี่น้องแซ่หลี่ คนพี่ หลี่หงตู หญิงผู้แข็งแรงและใจดี ส่วนคนน้อง หลี่ซื่อกงคนปากพล่อยนั่นเอง
“สวัสดีครับคุณหลี่” เกาเผิงโค้งทักทายพ่อแม่ของพวกเขาและทักทายหลี่หงตูกับหลี่ซื่อกง
“โอ้ เกาเผิงมาคนเดียวหรือ?” คุณหลี่ในชุดสูทถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ครับ” เกาเผิงตอบ
“นายมาดูการทดสอบผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรหรือ? ฮ่าๆ พวกเรามาเชียร์คุณแม่ล่ะ แม่ของฉันเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ แม้ว่าท่านจะล้มเหลวมาถึงสามครั้ง แต่ฉันเชื่อว่าแม่จะผ่านในครั้งนี้” หลี่ซื่อกงพูดออกมาโดยไม่ยั้งคิด จึงทำให้หลี่หงตูต้องฝากรอยมือไว้บนหัวผู้เป็นน้องอย่างหมดความถอดทน
หลี่ซื่อกงหันหาหลี่หงตูด้วยความโกรธ “ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าตบหัว! ไอคิวฉันลดลงหมดแล้ว!”
“ไม่ใช่ปัญหาของฉัน” หลี่หงตูไม่แยแส
“ฉันไม่ได้มาดู ฉันมาเพราะเข้าร่วมการทดสอบ” เกาเผิงกล่าวออกมาในที่สุด
“อะไรนะ!” หลี่ซื่อกงมึนงง
หลี่หงตูก็ตกใจเช่นกัน แม้แต่คุณหลี่และคุณนายหลี่ยังต้องมองเกาเผิงตั้งแต่หัวจรดเท้า
คุณหลี่หัวเราะพลางตบไหล่เกาเผิง “ดีมากเด็กหนุ่ม ความทะเยอทะยานและเป้าหมายชัดเจนดี โชคร้ายของฉันนะ ลูกๆ ของฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยนอกจากเรื่องกิน”
คุณนายหลี่ยิ้ม “เธอคงเป็นผู้เข้าร่วมการทดสอบที่อายุน้อยที่สุด บางทีวันหนึ่งเธออาจกลายเป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรอายุน้อยที่สุดเช่นกัน”
“ขอบคุณครับคุณนายหลี่ ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมมั่นใจความสามารถของตัวเองมาก ที่เหลือให้เป็นเรื่องของโชคดวงครับ” เกาเผิงกล่าวตรงไปตรงมา
พวกเขาพูดคุยกันชั่วครู่ก่อนประตูทางเข้าจะถูกเปิดออก
เกาเผิงตระหนักได้ว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบนั้นมีไม่มากนัก ที่เหลือเป็นเพียงญาติหรือเพื่อนมาให้กำลังใจเท่านั้น
“ขอดูบัตรประจำตัวด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่หญิงในสูทสีเทากล่าว
เกาเผิงส่งบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่เจ้าหน้าที่ หญิงสาวรูดบัตรกับเครื่องสแกนก่อนไฟสีเขียวจะสว่างขึ้น เธอมองเกาเผิงด้วยความตกตะลึงเล็กน้อยและกล่าวต่อ “คนต่อไป”
เกาเผิงเดินเข้าไปตามทางและพบโต๊ะวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับกระดาษสีขาวบนโต๊ะ
เด็กหนุ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อคิดว่านี่คือการสอบข้อเขียน
เกาเผิงพบที่ของตนและนั่งลง เพียงไม่นานเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งจึงเดินเข้ามา “เราตัดสินใจใช้การสอบข้อเขียนในภาคทฤษฎี หลังจากนั้นจะเข้าสู่การสอบภาคปฏิบัติ”
“ในการสอบข้อเขียน เราจะตัดผู้เข้าสอบออกประมาณเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นผู้เข้าสอบจะเหลือเพียงห้าสิบคน”
“ส่วนการสอบภาคปฏิบัติค่อนข้างง่าย มีสัตว์อสูรถูกเลือกมาเพียงห้าสิบชนิดเท่านั้น ตราบใดที่พวกคุณสามารถยกระดับพวกมันได้ภายในเวลาที่กำหนด พวกคุณจะได้รับใบรับรองการเป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรจากสมาคมของเราไป และแน่นอนว่ามีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายในการยกระดับสัตว์อสูร”
“นั่นเป็นจุดที่ยากที่สุด” ชายอ้วนผู้หนึ่งพึมพำ “ฉันมาสอบเป็นครั้งที่สี่แล้ว ดูเหมือนการสอบครั้งนี้ยากกว่าที่ผ่านมา”
เขาหันมาทางเกาเผิง “อย่าคิดมากเจ้าหนู ค่าลงทะเบียนมันไม่แพงมากนัก นายสามารถกลับมาสอบใหม่ได้ตลอดเวลา"
…………………………………………….