webnovel

ออกแคมป์

กูณฑ์มัวแต่ดีใจที่จะได้กินข้าวจนลืมเคียวไปเสียสนิท เมื่อเข้าถึงเขตร้านแล้วก็นึกได้ เหลียวมองหาไปมา

"ไปไหนของเขานะ" กูณฑ์พึมพำ

"หาอะไรอยู่ ลูก" วาเรศถาม ขณะที่เขาและภรรยาเดินเข้ามาใกล้

"ไม่มีอะไรครับ" กูณฑ์ปด

สองสามีภรรยามองหน้ากัน แต่ไม่ได้พูดอะไร เป็นเวลาเดียวกับที่พนักงานเข้ามาต้อนรับ กูณฑ์แจ้งว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่จองคิวไว้ เธอยิ้มให้ก่อนจะพาไปนั่งที่โต๊ะ

"เดี๋ยวอาหารจะมาเสิร์ฟค่ะ"

ไม่นานอาหารสารพัดอย่างก็ถูกวางเรียงไว้บนโต๊ะ วาสนาจัดการตักข้าวให้ทุกคน ก่อนจะลงมือรับประทาน

"เดี๋ยวเราน่าจะใกล้ถึงแล้ว" วาเรศว่า "กินกันให้เต็มที่เลยนะ เดี๋ยวต้องไปปีนเขาอีก ต้องใช้พลังงาน"

พอพ่อพูดแบบนั้น เด็กหนุ่มผมแดงเพลิงก็อดคิดถึงเพื่อนร่วมทางที่ไร้ตัวตนไม่ได้ ตัวเขาเองเติมพลังงานจากอาหารแล้วเคียวจะไปเอาพลังงานมาจากไหน กูณฑ์ยังไม่เข้าใจโลกอันเร้นลับของพวกวิญญาณดีนัก อะไรที่เขาเคยคิดว่าถูกก็ผิดไปเสียหมด เป็นต้นว่าเขาคิดว่าผีต้องกลัวพระแน่ แต่กูณฑ์กลับจับพระเครื่องได้ แถมเดินเข้าออกวัดเสียอีก ส่วนเรื่องกลัวแดดนั้นยิ่งไม่ใช่ใหญ่เพราะเคียวก็ไปไหนมาไหนตอนกลางวันได้ จุดอ่อนของเคียวมีอยู่อย่างเดียวคือห่างหนังสือเล่มนั้นไม่ค่อยได้เท่านั้น

"เป็นอะไรไป อาหารไม่อร่อยเหรอ" วาสนากระซิบ

กูณฑ์สะดุ้งตื่นจากภวังค์ ส่ายหน้า "อร่อยดีครับ" เขารีบตักข้าวเข้าปากเพื่อยืนยันคำพูด แต่เพราะอารามรีบร้อนทำให้สำลักเอา

"ตายจริง ดื่มน้ำเสียก่อน" วาสนาส่งน้ำมาให้

กูณฑ์รับน้ำไปดื่ม "ขอบคุณครับ"

"เกือบติดคอตายแล้วไหมล่ะ" วาสนาดุ

กูณฑ์ยิ้มแหย.ๆ ไม่ได้เถียงอะไร

"เราจะกินของหวานไหม" ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวถามขึ้น

กูณฑ์เรอออกมา "ผมอิ่มแล้วครับ"

วาสนามองลูกอย่างตำหนิ แต่ไม่ได้ว่าอะไร

"ฉันก็อิ่มแล้วเหมือนกันค่ะ ไม่กล้ากินเยอะ เดี๋ยวต้องนั่งรถอีกไกล"

วาเรศมองเมนูขนมหวานตาละห้อย

"แต่น่ากินทั้งนั้นเลยนะ อีกอย่างของหวานก็ช่วยเติมพลังงานด้วย" เขาโน้มน้าวต่อ

"คุณอยากกินอะไรก็สั่งเลย" วาสนาพูดอย่างรู้ทัน "ไม่ต้องมาหาพวกหรอก"

วาเรศหัวเราะแห้ง ๆ "ผมกลัวกินไม่หมดนี่"

"พ่อสั่งมาเลยครับ เดี๋ยวถ้าเหลือ ผมกับแม่ช่วยกินเอง"

"เกี่ยวอะไรกับแม่" วาสนาบอกปัด "กินกันเองไปเลย"

วาเรศไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่โบกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ

"รับอะไรเพิ่มดีคะ"

"กะทิถั่วแดงครับ" วาเรศสั่ง

พนักงานจดลงในสมุด "แล้วสองท่านที่เหลือจะรับอะไรเพิ่มดีคะ"

"ไม่เอาครับ/ค่ะ" สองแม่ลูกพูดพร้อมกัน

พนักงานพยักหน้า "สักครู่นะคะ"

ไม่นานกะทิถั่วแดงก็มาเสิร์ฟ วาเรศยังไม่ทันจะตักกิน วาสนาก็แย่งช้อนมาตักเข้าปากตัวเองเสียก่อน

"ไหนคุณว่าจะไม่กินไงล่ะ" วาเรศแซว

วาสนาวางช้อนคืน เลียริมฝีปาก

"ฉันแค่ลองชิมดู"

"แล้วเป็นไง หวานไหม" วาเรศถาม มองภรรยาด้วยแววตาระยิบระยับ

"คุณก็ชิมเอาเองสิ" วาสนาตอบสะบัดสะบิ้ง

วาเรศหอมแก้มภรรยาเร็ว ๆ

"ก็หวานดีนะ" วาเรศว่าพลางเลียริมฝีปาก

กูณฑ์หันหน้าไปทางอื่น พยายามกลั้นยิ้ม พ่อกับแม่แต่งงานมาได้สิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังหวานอยู่เสมอ แปลกดีเหมือนกันที่หวานกันขนาดนี้ กูณฑ์ยังไม่มีน้องสักที กูณฑ์ตักขนมหวานขึ้นมากินบ้าง

"ผมว่าหวานเกินไปหน่อย น่าจะมีอะไรแก้เลี่ยน"

วาเรศกับวาสนาหัวเราะ เข้าใจคำหยอกเย้าของลูกชาย

"อิจฉาล่ะสิ" วาเรศว่าพลางยักคิ้วกวนประสาท "ไม่มีก็อย่าอิจฉา"

"โธ่ ผมอาจมีแล้วไม่บอกพ่อก็ได้" กูณฑ์โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้

"ไม่จริงอะ ต้องไม่มีแน่ ๆ " วาเรศเย้ากลับ

"พอได้แล้ว" วาสนาว่า "รีบคิดเงินเถอะ จะได้ไปถึงก่อนมืด"

วาเรศเรียกพนักงานมาเก็บเงิน แล้วหลังจากนั้นครอบครัวภูเขี้ยวก็เดินทางกันต่อไป

พอมาถึงภูซับเหล็ก กูณฑ์เงยหน้ามองยอดเขาที่ถึงแม้จะไม่ได้สูงอะไรนัก แต่สำหรับเด็กเมืองกรุงที่ขึ้นบันไดไม่เกินสองชั้น นอกนั้นใช้ลิฟต์ตลอดก็ทำให้ท้อใจอยู่ไม่ใช่น้อย

"ไม่มีทางรถขึ้นเหรอครับ" กูณฑ์ถามอย่างมีความหวัง แน่ล่ะว่าข้อมูลเท่าที่เขาค้นมานั้นบอกว่าไม่มี แต่เขายังมีความหวังอยู่เพราะเว็บไซต์นั้นก็เก่าแล้ว

"ไม่มีหรอก" วาเรศว่าพลางตบบ่าลูกชาย "ถึงมี ลูกคิดเหรอว่ารถเราจะขึ้นได้"

กูณฑ์หันไปมองรถคู่ทุกข์คู่ยากของครอบครัวแล้วถอนหายใจ กูณฑ์เห็นรถคันนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก มันอายุมากกว่าเขาเสียอีก วันดีคืนดี ขับ ๆ อยู่มันก็ดับไปเสียเฉย ๆ เขานึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่มันพาพวกเขามาส่งถึงภูซับเหล็กได้โดยไม่งอแง แต่จะให้มันขับขึ้นเนินต่อก็ไม่น่าไว้ใจ กลัวจะไปดับกลางทาง

"มาช่วยขนของหน่อย" วาสนาเรียกมาจากท้ายรถ

สองพ่อลูกรีบเข้าไปช่วย หลังจากที่ขนกระเป๋าเดินทางลงมาแล้ว พวกเขาก็ช่วยกันขนไปตีนเขา

กูณฑ์เงยหน้ามองยอดเนิน ก่อนจะหันมามองกระเป๋าที่วางกองอยู่

"เราจะขนไปกันยังไง" วาเรศถามในสิ่งที่กูณฑ์คิด

"ผมว่าผมพอจะยกได้สองใบ" กูณฑ์ว่าพลางหิ้วกระเป๋าสองใบขึ้นมา น้ำหนักของกระเป๋าทำเอาเขาเซไปข้าง ๆ โชคดีที่เคียวดันเขาไว้

"ระวังหน่อยสิ"

วาสนากะพริบตา เมื่อตะกี้เธอเห็นว่าลูกของเธอจะล้มอยู่แล้ว แต่เหมือนมีพลังงานบางอย่างผลักเขาขึ้นมา แต่คงไม่ใช่หรอก เธอคิดมากไปเองเสียมากกว่า

วาเรศส่ายหน้า "ไม่ไหวหรอกมั้ง ขนาดถือเฉย ๆ ยังจะล้ม จะพาขึ้นไปได้ยังไง ความจริงก็ไม่ควรเอามาเยอะแยะตั้งแต่แรก แค่เป้คนละใบก็น่าจะพอแล้ว"

"แล้วทำไมตอนจัดไม่เตือนล่ะ" วาสนาพูดอย่างไม่พอใจ

ก่อนที่พ่อกับแม่จะทะเลาะกันให้เสียบรรยากาศ กูณฑ์ก็เหลือบไปเห็นป้าย

"รับขนสัมภาระขึ้นเนิน ราคาย่อมเยา"

"พ่อแม่ ดูนั่น มีคนรับขนสัมภาระด้วย" กูณฑ์สะกิดเรียกให้พ่อแม่ดู

ใต้ป้ายนั้นมีชายร่างเล็กสันทัดคนหนึ่งยืนอยู่ ดูรูปร่างเขาไม่ได้สูงใหญ่อะไรมาก แต่ท่าทางแข็งแรงทีเดียว

"จริงด้วย" วาเรศพูดอย่างดีใจ "เดี๋ยวพ่อไปติดต่อก่อน"

ก่อนที่วาเรศจะผละไป วาสนาดึงชายเสื้อเขาไว้

"จะดีเหรอ ถ้าเกิดเขาเป็นโจรขึ้นมาล่ะ"

"ไร้สาระน่า กลางวันแสก ๆ แบบนี้ โจรที่ไหนจะกล้ามา"

"เขาอาจจะโขกราคาเราก็ได้นะ" วาสนายังไม่หายกังวล

"เขาโขกก็ต้องยอมแหละ ไม่งั้นที่อุตส่าห์ขับมาก็เหนื่อยเปล่า"

ในที่สุดวาสนาก็ยอมปล่อยให้สามีไปเจรจา วาเรศเดินเข้าไปคุยอะไรอยู่สักครู่ ไม่นานพวกเขาก็เดินมาหากูณฑ์กับแม่

"ทั้งหมดนี่คิดเท่าไหร่ครับ" วาเรศถาม พลางชี้ไปที่กระเป๋าสี่ใบที่วางกองเรียงรายอยู่

ชายร่างเล็กมองสำรวจอยู่สักครู่ สีหน้าครุ่นคิด

"สองพันบาทครับ"

วาเรศควักแบงก์พันสองใบส่งให้ ก่อนจะถามว่า

"คุณจะแบกไปยังไงหมด"

"ผมมีคนช่วย" คนขนกระเป๋าบอกพร้อมตะโกน "มานี่ เด็ก ๆ "

เด็กหนุ่มสามคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับกูณฑ์โผล่มา

"มีอะไรอะ ลุงชิด" เด็กหนุ่มที่ดูเป็นหัวหน้าแก๊งถาม เขาทำผมเหมือนกับนกแก้ว แล้วก็ใส่ต่างหูข้างเดียว

"ช่วยกันขนกระเป๋าหน่อย รอบนี้ได้สองพันเชียวนะเว้ย หน่อง"

"แบ่งกันสี่คนก็ได้คนละห้าร้อยใช่เปล่า" เด็กหนุ่มอีกคนถาม เขาตัดผมเกรียน คงจะดูเหมือนนักเรียนปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะหัวเกรียน ๆ ของเขาถูกตัดเป็นข้อความที่ไม่สุภาพบางอย่าง

"ใครว่า" ชิดตอบ "ข้าน่ะได้พันหนึ่ง พวกเอ็งเอาไปพันหนึ่งไปแบ่งกัน"

"โหย" เด็กหนุ่มหัวเกรียนร้องประท้วง

"อย่าเรื่องมากไปหน่อยเลยน่ะ เต้" เด็กหนุ่มคนที่สามพูดขึ้น เขาไว้ผมรองทรง ใส่สร้อยคอจี้รูปกางเขน

"ยังงี้มันก็หารไม่ลงตัวน่ะสิ" หน่องว่า

วาเรศมีประสบการณ์มากพอที่จะรู้ว่าที่หน่องพูดหมายถึงอะไร แต่เขาก็ยังทำเป็นไม่รู้เรื่อง

"ลุง" หน่องเดินเข้ามาหาวาเรศ วาเรศดึงตัวเมียและลูกไปหลบด้านหลัง ถ้าจะมีใครต้องถูกทำร้าย เขาจะเป็นคนโดนก่อน

"ผมขอเพิ่มอีกสองร้อยได้เปล่า จะได้หารลงตัว" หน่องขอตรง ๆ

ความจริงแล้วค่าขนกระเป๋าสองพันสองร้อยก็ไม่ถือเป็นราคามากอะไร เมื่อเทียบกับกระเป๋าที่ต้องขนและระยะทางที่ต้องเดิน แต่วาเรศเกรงว่าถ้าเขายอมจ่ายเงินให้รอบนี้แล้ว คนพวกนี้อาจจะหาเหตุอย่างอื่นขอเงินเพิ่มอีก

"นะครับ ลุง" เต้พูดเสริม ก่อนยกมือไหว้และก้มหัวอย่างนอบน้อมทำให้ถ้อยคำไม่สุภาพที่อยู่บนหัวถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจน

"ลุงไม่มีเงินสดมากขนาดนั้นหรอก" วาเรศตอบแบ่งรับแบ่งสู้ คิดในใจว่าคนพวกนี้คงไม่รู้จักธุรกรรมออนไลน์หรอก

แต่วาเรศคาดผิดถนัด หน่องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา

"ไม่ต้องห่วงครับ ผมรับโอน"

พอเด็กพูดขนาดนี้แล้ว วาเรศก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง ได้แต่ขอเลขบัญชีแล้วก็โอนให้

"ขอบคุณมากครับ" เด็กหนุ่มทั้งสามยกมือไหว้

"เสร็จแล้วใช่ไหมครับ ไปกันได้เลย" ชิดว่า เขาแบกกระเป๋าใบใหญ่ที่สุด ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสามก็แบกกระเป๋าคนละใบอย่างทะมัดทะแมง แล้วพวกเขาก็เดินนำขึ้นเนิน

ครอบครัวภูเขี้ยวเดินตามคนนำทางขึ้นไป กูณฑ์รับรู้ได้ถึงความแตกต่างระหว่างคนพื้นถิ่นกับนักท่องเที่ยวอย่างพวกเขา ขนาดคนพื้นถิ่นแบกกระเป๋าคนละใบยังเดินได้กระฉับกระเฉงกว่าเขามาก อีกทั้งไม่ได้พักดื่มน้ำเลย ตรงกันข้ามกับพวกเขาที่ต้องพักและดื่มน้ำเป็นระยะ ๆ

"นายวาร์ปไม่ได้เหรอ" กูณฑ์ถามเคียว เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง

"วาร์ปคืออะไร" เคียวถามกลับ

"หายตัวน่ะ" กูณฑ์อธิบาย ถ้าเคียวหายตัวได้ก็ดี เขาจะได้เกาะไปด้วย เขาชักเหนื่อยเต็มทนแล้ว

"ทำไม่ได้หรอก" เคียวว่า "ถ้าทำได้ก็ทำไปนานแล้ว"

"ไม่เห็นได้เรื่อง" กูณฑ์บ่น "เป็นผีเสียเปล่า ในหนังเขายังทำได้'

เคียวยกมือจะโบกหัวกูณฑ์ กูณฑ์ก้มหัวหลบ

"น้อย ๆ หน่อย ฉันบอกแล้วว่าเป็นภูต ไม่ใช่ผี แล้วเรื่องหายตัวแวบไปแวบมาก็ไม่ใช่ผีทุกตนที่ทำได้"

"งั้นนายก็กระจอกน่ะสิ" กูณฑ์ว่าอย่างไม่สบอารมณ์ ความเหนื่อยล้าทำให้เขาอารมณ์เสีย

เคียวยักไหล่ ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของกูณฑ์ พวกเขาต่างเดินขึ้นไปโดยไม่พูดอะไรกันอีก

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงยอดเนิน คนขนกระเป๋าวางกระเป๋าไว้รวมกัน วาเรศขอเบอร์ติดต่อไว้ ก่อนที่พวกคนขนกระเป๋าจะลงจากเนินไป ทิ้งให้ครอบครัวภูเขี้ยวอยู่กันตามลำพัง กูณฑ์ทิ้งตัวลงนั่งพัก แต่พ่อเรียกเขาเสียก่อน

"อย่าเพิ่งพัก มาช่วยกันกางเต็นท์ก่อน"

กูณฑ์ยันตัวลุกขึ้น บิดขี้เกียจ ก่อนบ่นพึมพำ

"ผมกางเต็นท์ไม่เป็นสักหน่อย"

แม้ว่าเขาจะพูดเบา แต่ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ ทำให้วาเรศได้ยิน

"ไม่เป็นก็มาดู"

ในที่สุดพวกเขาก็กางเต็นท์กันได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่ว่าพวกเขาเก่งหรืออะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะวาเรศซื้อเต็นท์แบบกางอัตโนมัติมาต่างหาก

"แล้วเราจะอาบน้ำกันยังไง" วาสนาถาม เธอรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว

"ก็คงต้องลงไปอาบข้างล่าง" วาเรศว่า

วาสนาถอนหายใจ ขืนเดินลงไปอาบข้างล่าง แล้วเดินขึ้นมา ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

"ไม่อาบสักวัน ไม่เป็นไรหรอกแม่" กูณฑ์ว่า

"เรามาทำอาหารกันดีกว่า" วาเรศเบี่ยงเบนความสนใจ

พวกเขาก่อกองไฟและทำอาหารกินกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขโดยพวกเขาไม่รู้เลยว่าคงอีกนานที่พวกเขาจะได้มาทำกิจกรรมร่วมกันอย่างนี้อีก