webnovel

การทดสอบ 1

คริสและฮิกกำลังถกกันเรื่องวิธีที่ชีฟเอาตัวรอดมาได้ในขณะที่กำลังขับรถผ่านสถานที่รกร้างเพื่อจะกลับเข้าเมือง

ฮิกออกความเห็น

"ฉันว่าข้างใต้อาจจะมีเครื่องกำเนิดแสงที่ทำให้ชีฟเห็นตัวพวกนั้นก็ได้ แล้วเจ้าหนูนั่นมันคงฉลาดพอที่จะทำตัวเองให้เป็นเหยื่ออยู่ภายใต้แสงนั้นแล้วฆ่าพวกวานรทีละตัว"

คริสไม่เห็นด้วย

"ฉันว่าไม่ใช่"

คริสอธิบายเหตุผลของตัวเอง

"ข้างใต้เป็นพื้นที่โล่งที่ไม่มีกำแพงมาบดบัง ถ้ามีแสงเราจะต้องเห็น"

"อาจจะเป็นแสงไฟอ่อน ๆ จากรถบางคันที่ยังคงมีพลังงานตกค้างอยู่ อย่าลืมว่าในนั้นเป็นลานจอดรถขนาดใหญ่"

"ก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่อย่าลืมว่าแสงจากรถมันส่องไปยังทิศทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางที่จะป้องกันเจ้าหนูจากการโจมตีรอบทิศทางได้"

ฮิกสะบัดหัว

"โอ้ย ไม่คิดละ ไว้ชีฟมันฟื้นค่อยถามละกัน"

ฮิกหันไปมองเด็กที่นอนหลับเป็นตายอยู่หลังรถ หลังจากที่พวกเขาทำแผลให้เสร็จ

ฮิกมองบาดแผลตามตัวของชีฟ ก่อนจะหันมามองกระเป๋าของตัวเอง ปกติแล้วพวกเขาจะให้รางวัลชีฟด้วย 30 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งของในกระเป๋าที่ชีฟแบกมา แล้วที่เหลือพวกเขาก็เอามาแบ่งกันเพื่อถือเป็นค่าคุ้มครอง แต่พอได้เห็นเด็กตัวเปื้อนเลือดที่ยังอุตส่าห์ลากกระเป๋าของเขาที่ทำหล่นมาด้วย ฮิกคิดอะไรบางอย่างออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับคริสที่กำลังขับรถอยู่

"รอบนี้เราเอาของทั้งหมดมาหารสามดีมั้ย"

ทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดที่ฮิกหมายถึงก็คือกระเป๋าของพวกเขาด้วย ไม่ใช่แค่กระเป๋าของชีฟเพียงอย่างเดียว

คริสถึงกับหันไปมองเพื่อนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะโดยปกติแล้วฮิกจะเป็นคนที่ขี้งกจนทะเลเรียกพี่ แต่จะยังไงก็ช่างความคิดของฮิกในตอนนี้ก็ทำให้คริสรู้สึกยินดี เพราะเขาก็กำลังคิดแบบนั้นเหมือนกัน ก่อนจะตอบเพื่อนอย่างไม่ใส่ใจ

"ก็ได้ ฉันไม่มีปัญหา"

พูดจบคริสก็หันไปยิ้มให้ชีฟ เพราะเด็กหนุ่มพึ่งจะทำให้เพื่อนที่สุดแสนจะเห็นแก่ตัวของเขายอมลดระดับความเห็นแก่ตัวลง ตอนที่คิดจะพาเด็กคนนี้ไปด้วย ฮิกนั้นค้านสุดตัว แต่พอบอกว่าของที่เด็กคนนี้ได้มาพวกเราจะเอามาแบ่งกันคนละ 35 เปอร์เซ็นต์ นั่นก็ทำให้ฮิกยอมหัวอ่อนลงบ้าง แต่จริง ๆ ที่เขาพาเด็กคนนี้มาไม่ใช่เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการแบกของ แต่แค่รู้สึกถูกชะตาเท่านั้น

คริสและฮิกพาชีฟไปยังศูนย์กู้คืนเทคโนโลยีของเมือง ก่อนจะส่งของทั้งหมดที่ได้มา ให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ

เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทั้งสามนั่งรอสักพักเพื่อตรวจสอบข้อมูลข้างในทั้งหมด ก่อนที่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาพวกเขาจะได้ข่าวดีว่าข้างในฮาร์ทดิสมีข้อมูลสำคัญทางวิทยาศาสตร์อยู่มากมาย นั่นหมายความว่าทางเมืองจะต้องจ่ายพวกเขาอย่างหนัก ซึ่งเงินที่ได้มาคราวนี้มันมีค่ามหาศาลเลยทีเดียว

ขณะที่กำลังรอรับเงิน คริสก็ถูกเรียกตัวโดยหน่วยทหารรับจ้างของทางเมืองเพื่อไปคุยธุระบางอย่าง ส่วนฮิกก็ไปติดพันพนักงานต้อนรับสาวสวยคนหนึ่งหน้าทางเข้า ทิ้งให้ชีฟรอรับเงินก้อนสุดท้ายที่เป็นส่วนของตนอยู่คนเดียว

พนักงานสาวถามเด็กหนุ่มที่สูงเลยเคาน์เตอร์มานิดเดียวอย่างสุภาพ

"จะรับเป็นเงินสดหรือโอนเข้าบัญชีคะ"

ชีฟทำหน้างงพลางเอามือเกาหัวแกรก ๆ เมื่อไม่เข้าใจว่าบัญชีคืออะไร ก่อนจะพูดออกไป

"ขอเป็นเงินแล้วกัน"

พนักงานสาวยิ้มให้ก่อนจะหันไปหยิบใบกระดาษปึกใหญ่ด้านหลังมาบรรจุใส่ถุงพลาสติก เมื่อบรรจุเสร็จ เงินธนบัตรก็กองอยู่ตรงหน้าชีฟ ซึ่งมันมีขนาดใหญ่พอพอกับตัวเขาเลยทีเดียว

ฮิกที่บังเอิญหันมาเห็นเข้าก็ถึงกับอยากจะบ้าตาย การแบกเงินขนาดนี้เดินผ่านตอกในสลัมกลับที่พักนั้น ไอ้หนูนี่จะอยู่รอดได้ไม่เกินห้าวินาที ฮิกต้องจำใจยอมผละจากสาวสวยตรงหน้าก่อนจะวิ่งไปหาชีฟแล้วหิ้วคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้น

"มานี่"

ฮิกพาชีฟเดินไปยังอีกเคาน์เตอร์ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน พร้อมกับหิ้วถุงเงินมาด้วย จากนั้นก็เริ่มบทสนทนากับพนักงานสาวอีกคนตรงหน้า

"เปิดบัญชีให้ไอ้หนูนี่หน่อย"

"การเปิดบัญชีจำเป็นจะต้องมีอาชีพอย่างน้อยหนึ่งอาชีพ ไม่ทราบว่าท่านผู้นี้ทำอาชีพอะไรคะ"

"งั้นก็ลงทะเบียนเป็นนักล่าให้ไอ้หนูนี่ด้วย"

การจะเปิดบัญชีธนาคารได้นั้นจะต้องมีอาชีพอย่างน้อยหนึ่งอาชีพ เพื่อคอนเฟิร์มว่าจะมีเงินไหลเข้าออกในบัญชีตลอด ซึ่งอาชีพนักล่าแม้รายได้จะไม่แน่นอน แต่ก็จัดเป็นหนึ่งในอาชีพที่อนุญาตให้นำมาเปิดบัญชีได้ แถมอาชีพนี้ยังเป็นอาชีพที่ไม่จำกัดเรื่องอายุอีกด้วย

หลังจากดำเนินการทุกอย่างเสร็จสิ้น ฮิกก็พาชีฟไปเลี้ยงอาหารเย็นในร้านอาหารที่นักล่าธรรมดามักจะไปกัน โดยร้านอาหารนั้นจะมีสองชั้น ชั้นแรกสำหรับการนั่งรับประทานอาหารแบบธรรมดา ส่วนชั้นที่สองนั้นจะเป็นห้องแบบปิด ซึ่งการรับทานประทานอาหารในชั้นที่สองจะมีเหล่าหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยขึ้นไปรับประทานเป็นเพื่อนด้วย

พนักงานต้อนรับมองชีฟด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนจะหันไปมองฮิกแล้วพูดออกมาว่า

"เขายังเด็กอยู่เลยนะ"

ฮิกหันมามองชีฟแล้วหยิบการ์ดใบหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อของชีฟให้อีกฝ่ายดู

"เขาเป็นนักล่าแล้ว"

การเป็นนักล่าทำให้สถานะของชีฟพ้นจากการเป็นเยาวชนทันที นั่นทำให้พนักงานต้อนรับยอมให้ทั้งสองคนเข้าไป

ฮิกสั่งอาหารหลายอย่างมาบนโต๊ะ ซึ่งเป็นอาหารที่ชีฟไม่เคยได้กินมาก่อน

ชีฟยิ้มแก้มปริ เมื่อเห็นอาหารในจาน

"เนื้อนี่"

ชีฟเคยได้ยินว่าเนื้อนั้นอร่อยมาก ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยได้ชิมเนื้อมาก่อนเลย ฮิกดันเนื้ออีกจานหนึ่งให้ชีฟ

"กินเลย ไม่อิ่มก็สั่งมาอีก วันนี้ฉันเลี้ยงเต็มที่"

ชีฟไม่รอช้าเอาน่องไก่อันหนึ่งมากัดคำใหญ่ ความหวานของเนื้อแล่นเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว ชีฟเขี้ยวไปยิ้มไป วันนี้เขารู้สึกมีความสุขมาก ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

"เอากลับบ้านได้มั้ย"

"จะเอาไปให้แม่ละสิ"

ฮิกรู้ทันทีว่าชีฟต้องการอะไร ในยุคนี้ด้วยการถูกล้อมกรอบด้วยเมืองใหญ่ พื้นที่เพราะปลูกก็น้อยนิด นั่นทำให้ไม่ต้องนึกถึงการเลี้ยงสัตว์เลย ชนชั้นล่างอย่างชีฟและแม่นั้น ส่วนมากจะได้กินแต่อาหารฟรีหรืออาหารระดับร่างที่มีแต่น้ำและพืชใบเขียว เพราะขนมปัง เนื้อสัตว์หรืออาหารคุณภาพดีนั้นมันมีราคาแพงมากสำหรับชนชั้นล่าง นั่นทำให้คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสที่จะได้ลิ้มรสอาหารพวกนี้เลย

ฮิกหยิบกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ออกมา แล้วยื่นส่งให้ชีฟ

"นี่ถ้าอยากได้อาหารไปฝากแม่ ไปที่ร้านนี้ ยื่นใบนี้ให้เขาแล้วเธอจะได้ส่วนลดด้วย"

"ขอบคุณฮะ" ชีฟรับใบปลิวโฆษณาร้านอาหารไปอย่างดีใจ ก่อนหันมาก้มหน้าก้มตากินต่อ

กินสักพักฮิกก็โบกมือทำท่าทางบางอย่าง ก่อนจะมีสาวสวยสองคนเดินมาที่โต๊ะพร้อมขวดเหล้า สองสาวอยู่ในชุดที่โชว์สัดส่วนเต็มที่ ผ้าสีแดงบาง ๆ ปกปิดร่างกายไว้เพียงน้อยนิดเท่านั้น หญิงสาวคนหนึ่งนั่งลงบนตักฮิกก่อนจะเอาแก้วมาวางแล้วรินเหล้าลงไป อีกคนมีท่าทางลังเลเล็กน้อยพลางมองสลับระหว่างชีฟกับฮิก ก่อนจะพูดออกมาว่า

"เขายังเด็กอยู่เลยนะ"

ฮิกยิ้มแล้วพูดว่า

"ไม่ชอบกินเด็กหรือไง ไม่ต้องห่วง เขามีบัตรนักล่าแล้ว"

"กินเด็กแล้วอายุยืน งั้นพี่ไม่เกรงใจนะ"

แต่ก่อนที่ชีฟจะได้เรียนรู้ด้านมืดของผู้ใหญ่ มือที่ชุ่มไปด้วยน้ำก็มาสัมผัสที่ไหล่ขวาของเขา ชีฟหันไปมองทันทีก่อนจะพบว่าเป็นชิซูกะที่ยืนตัวเปียกอยู่ด้านหลัง สีหน้าของเธอไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา แต่ลึก ๆ ชีฟรู้เลยว่าเธอกำลังโกรธเป็นอย่างมาก

ชิซูกะมองชีฟด้วยแววตาที่ไร้อารมณ์ ก่อนจะจ้องเขม่นไปที่สองสาวและฮิกด้วยสายตาที่ดุดันจนทั้งสามรู้สึกว่าพวกเขากำลังจะถูกสาปให้เป็นหิน จากนั้นหันกลับมามองชีฟแล้วพูดว่า

"กลับบ้าน"

คำพูดที่ดูธรรมดาแต่แฝงไปด้วยความกดดัน ทำให้ชีฟพยักหน้าและลุกออกจากโต๊ะแต่โดยดี แต่ก่อนไปชีฟก็หันไปมองอาหารบนโต๊ะด้วยความเสียดายเล็กน้อย เพราะเขายังกินไม่อิ่มเลย

ข้างนอกร้านตอนนี้ฟ้ามืดแล้วแถมฝนก็ตกหนัก นี่คงจะเป็นสาเหตุที่ชิซูกะนั้นเปียกไปทั้งตัว ทั้งสองวิ่งฝ่าฝนไปขึ้นรถรับส่งสาธารณะเพื่อกลับไปยังที่พัก บนรถตอนนี้มีผู้โดยสารแค่สองคน นั่นคือชีฟกับชิซูกะ สำหรับชีฟแล้วตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เนื่องจากชิซูกะเงียบใส่เขาตลอดทาง ซึ่งปกติแล้วเขาจะต้องโดนเธอเทศนาใส่ทุกครั้งที่กลับมา ว่ามันอันตรายอย่างนั้นอย่างนี้ แต่วันนี้ชิซูกะกลับเงียบไม่สนใจที่จะคุยกับเขาเลย

ชิซูกะคอยแอบมองชีฟผ่านกระจกสะท้อนตลอดทาง นักล่าพวกนั้นพอจะมีขอบเขตอยู่บ้าง นั่นคือจะพาชีฟกลับมาก่อนค่ำทุกครั้ง แต่พอมาวันนี้ฟ้ามืดแล้วชีฟก็ยังไม่กลับมา นั่นทำให้เธอกระวนกระวายและออกตามหาชีฟไปทั่ว จนเธอได้รู้ว่านักล่าคนหนึ่งพาชีฟไปยังร้านอาหารแห่งนั้น เธอจึงรีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อเธอเห็นสาว ๆ พวกนั้น ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เธอกับรู้สึกโกรธ โกรธเอามาก ๆ จนอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่เธอก็ข่มใจไว้ และทำเพียงแค่พาชีฟกลับบ้าน

เมื่อมาถึงที่พัก ชีฟก็เข้าไปหาแม่ของตน เพื่อบอกว่าตนยังคงปลอดภัยดีเหมือนทุกวันที่เคยทำ จากนั้นเขาก็โดนชิซูกะลากไปทำแผลใหม่ เพราะฝีมือการพันแผลแบบลวก ๆ ของพวกนักล่านั้นเหมือนจะไม่ถูกใจเธอเสียเท่าไหร่

ชีฟนั่งนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงให้ชิซูกะล้างแผลและทายาให้ สายตาก็คอยแอบเหลือบมองอีกฝ่ายเป็นพัก ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

"ขอโทษ"

ชิซูกะชะงักมือครู่หนึ่ง เธอยังคงเงียบต่อไปแล้วทำแผลต่อ อันที่จริงเธอไม่ได้โกรธอะไรชีฟแล้ว แถมเมื่อได้เห็นท่าทีที่กระวนกระวายของอีกฝ่ายเธอก็พอใจเป็นอย่างมาก แต่บางสิ่งบางอย่างในใจเธอนั้นบอกว่าเธอควรจะให้บทเรียนกับเด็กตรงหน้าต่ออีกสักหน่อย

เมื่อทำแผลเสร็จชีฟก็หันไปมองชิซูกะที่เอาแต่เงียบใส่เขา ก่อนจะเดินคอตกออกจากห้องไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะหายโกรธเขาง่าย ๆ

ชีฟเดินกลับมายังห้องของตนเอง ก่อนจะพบว่าแม่ได้หลับไปแล้ว เขาจึงเข้าไปนอนยังโซฟาตัวยาวเก่า ๆ ในห้องนั่งเล่น ที่เป็นที่นอนประจำของตนเอง

เช้าวันใหม่ ชีฟตรงดิ่งไปยังร้านตามใบที่ฮิกให้มา ซึ่งร้านค้าอยู่ห่างจากที่พักของเขาเพียงแค่ห้าร้อยเมตรเท่านั้น ร้านแห่งนี้ชีฟรู้จัก เพราะเขาเคยมองเข้าไปในร้านบ่อย ๆ ด้วยในร้านมีแต่อาหารคุณภาพดีน่ารับประทาน แต่ด้วยเงินที่น้อยนิดที่เขามี นั่นทำให้เขาได้แต่เพียงแค่มองเข้าไปเท่านั้น แต่วันนี้เงินของเขานั้นมีมากพอที่จะซื้ออาหารข้างในได้เป็นพันมื้อเลยทีเดียว

ชีฟเข้ามาในร้านที่มีเคาน์เตอร์ต้อนรับ และมีโต๊ะให้นั่งสำหรับลูกค้า พนักงานสาวต้อนรับมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเสียเท่าไหร่ แต่ชีฟก็ไม่ได้ใส่ใจและเดินตรงเข้าไปคุยด้วย

"ขอแบบนั้นอย่างละสามชุด ใส่ถุงเอากลับบ้านนะ" ชีฟชี้ไปที่เมนูอาหารที่อยู่เหนือหัวของพนักงาน ซึ่งป้ายเขียนติดเอาไว้ว่าพิซซ่า

พนักงานมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าของชีฟ ที่เป็นเพียงเสื้อผ้าเก่า ๆ และเต็มไปด้วยรอยเย็บปะมากมาย

"รบกวนจ่ายเงินก่อน"

ชีฟยืนบัตรนักล่าของเขาและกระดาษจากฮิกให้กับพนักงาน พนักงานพลิกหน้าพลิกหลังบัตรเล็กน้อย ก่อนจะนำไปสแกนที่เครื่อง จำนวนเงินสองพันห้าร้อยที่ถูกหักออกไปแจ้งขึ้นมาบนจอที่ติดอยู่กับเครื่องสแกน จากนั้นพนักงานก็เอาบัตรมาคืน พร้อมกับกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่ง แล้วแจ้งอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่สุภาพมากขึ้น

"กรุณารอสิบนาทีในการจัดเตรียมอาหารที่สั่งนะคะ"

ชีฟเดินไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ตัวหนึ่ง ไม่นานอาหารชุดใหญ่ที่ใส่กล่องห่อถุงอย่างดีก็มาวางตรงหน้าเขา ชีฟรับมาแล้วนำมันกลับที่พักของตนอย่างดีใจ

ชีฟกลับมาที่ห้องพร้อมการอาหารถุงใหญ่ ก่อนจะเรียกให้ชิซูกะและแม่ของเขามารับประทานด้วยกัน ทั้งสองคนมองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเป็นชิซูกะที่เป็นคนเอ่ยถาม

"เอาเงินที่ไหนไปซื้ออาหารพวกนี้"

ชีฟพูดพร้อมกับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

"งานเมื่อวานได้เงินมาเยอะเลย ผมเลยได้ส่วนแบ่งเยอะด้วย"

จากนั้นชีฟก็แกะกล่องอาหารแล้วชวนทุกคนให้ร่วมรับประทาน

คุณแม่เปิดกล่องรับประทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย ยิ่งรู้ว่าสิ่งนี้มาจากน้ำพักน้ำแรงของผู้เป็นลูกด้วยแล้ว นั่นยิ่งเพิ่มความสุขให้กับเธอเป็นอย่างมาก

ชิซูกะเองก็เช่นกัน อาหารพวกนี้เธอไม่ได้ลิ้มรสชาติของพวกมันตั้งแต่พ่อแม่ของเธอจากไป ถึงแม้เธอจะเป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ถึงสองแห่ง แต่อพาร์ทเม้นท์ของเธอมันก็มีแต่ห้องเช่าราคาถูก และด้วยเธอนั้นเป็นผู้หญิง นั่นทำให้เธอต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไปซื้อเครื่องสำอางเกรดต่ำมาเพื่อดูแลรักษาร่างกายของตัวเองอยู่เสมอ

ชีฟมองภาพตรงหน้าอย่างมีความสุขเพราะดูเหมือนตอนนี้ชิซูกะก็ไม่ได้โกรธเขาแล้ว เขาเอาบัตรนักล่าของตัวเองออกมาจ้องมองดู เขาอยากให้แม่และชิซูกะมีกินแบบนี้ทุกวัน อยากให้ทั้งสองคนมีที่อยู่ที่มีเครื่องให้ความเย็นในหน้าร้อนและมอบความอบอุ่นในหน้าหนาว มีเสื้อผ้าสีสวยมีเตียงนุ่ม ๆ มีห้องที่แสนจะกว้างใหญ่ เพราะฉะนั้น เขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะเป็นนักล่า