webnovel

ฐานทัพของคามิล (5)

พวกเราเดินทางในอุโมงค์อย่างไม่รีบร้อน

เบนจามิน เจนนา และจิมมีสบายใจขึ้นเมื่อพบว่าถนนใต้ดินโล่ง จุดต่าง ๆ เท่าที่ไฟฉายจะส่องไปถึงตลอดทางเมื่อเริ่มเดินเข้ามาก็ไม่มีกองศพซอมบี ศพมนุษย์ หรือสิ่งที่เป็นอันตราย

ตอนแรกพวกเขาจินตนาการไปก่อนแล้ว นึกว่าอุโมงค์นี้จะมีสภาพคล้ายกับอุโมงค์ที่เคยเห็นในเมืองใหญ่ เต็มไปด้วยรถซึ่งถูกจอดทิ้งระเกะระกะหรือชนอัดกันเป็นปลากระป๋อง พื้นอุโมงค์เต็มไปด้วยซอมบีและซากศพ

"บอกแล้วว่าทางโล่ง แล้วก็ไม่ได้มืดตลอดทั้งเส้นทางด้วย เพดานบางส่วนเป็นกระจกเลยมีแสงสว่างจากข้างบนส่องลงมาบางช่วง"

"ขอให้โล่งไปตลอดทางจริง ๆ เถอะ" เจ้าบ้ากล้ามบ่น แต่ก็ก้าวตามหลังทุกคนมา

พวกเราใช้เวลาเดินเท้าอยู่ประมาณครึ่งวันจึงหยุดพัก เช่นเดียวกับการพักก่อนหน้านี้ ผมกำลังถูกเพื่อนใหม่จ้องจับผิด

"หมอนั่นทำอะไรบ้าง"

"หมายถึงอะไรเหรอ"

"เจ้าคามิลน่ะสิ เดินทางกันมาหลายวันแล้ว ไม่เคยเห็นหมอนั่นทำอะไรเลย หาฟืน สำรวจ ตั้งเต็นท์ ทำอาหาร มันปล่อยให้คนอื่นจัดการหมด"

"เขาก็ช่วยสู้ไม่ใช่เหรอ"

"เฮอะ! ช่วยนิด ๆ หน่อย ๆ เอง ช่วยแค่นั้นอย่าไปนับเลย"

เสียงนินทาลอยมาจากกลุ่มของเบนจามิน ผมไม่รู้ว่าพวกเขาตั้งใจคุยกันให้ได้ยินหรือบังเอิญผมหูดีเกินไป สถานการณ์ก้ำกึ่งแบบนี้ทำให้ไม่รู้ว่าควรจะเดินเข้าไปอธิบายเพิ่ม แก้ตัว หรือปล่อยเลยตามเลยดีกว่า เพราะแบบนั้นผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย เพราะทางเลือกอื่นดูไม่ได้เกิดประโยชน์ขึ้นมากกว่า

หลังจากพักกันจนหายเหนื่อย พวกเราก็เดินทางกันต่อ

เคยได้ยินมาว่าแอ่งอเมซอนมีพื้นที่ประมาณ 7 ล้านตารางกิโลเมตร เฉพาะส่วนของป่ามีพื้นที่ราว ๆ 5.5 ล้านตารางกิโลเมตร หากว่าป่าซานเชฟอร์เรสมีขนาดเท่า ๆ กัน มันมีความเป็นไปได้ที่มันอาจมีรัศมีเกินกว่าสองพันกิโลเมตร โชคดีที่รูปร่างของป่าเป็นผลให้เส้นทางที่พวกเราต้องเดินมีเพียงแค่ราว 200 กิโลเมตร ถ้ากลุ่มเราเดินได้เฉลี่ยวันละ 70-100 กิโลเมตรต่อวัน ภายใน 3-4 วันก็ควรจะถึงที่หมาย

แน่นอนว่าถ้ามีพาหนะ ทุกอย่างคงยิ่งง่ายขึ้น จากสามสี่วันน่าจะเหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็อย่างที่เคยพูดไปแล้วหลายครั้ง ของที่ไม่มี บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา

แล้วพวกเราก็มาถึงทางออก เช่นเดียวกับทางเข้าที่เป็นอุโมงค์ทางลาดลง และมีบันไดสำหรับทางเดินข้าง ๆ ทางออกก็มีบันไดขึ้นไปเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า

ซานเชวิลล์เป็นเมืองที่มีความเจริญกระจุกอยู่แค่ใจกลางเมืองเท่านั้น บริเวณนี้เท่านั้นที่มีตึกขนาดใหญ่ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และความเจริญไม่แตกต่างจากเมืองชั้นนำของโลก แต่เพียงแค่พ้นจากพื้นที่ใจกลางเมืองไป แค่การเดินทางไปอีกไม่กี่สิบก้าวออกจากพื้นที่นี้ จะพบว่าคุณเหมือนอยู่กันคนละโลกทันที

"เมืองนี้แปลกจริง ๆ ด้วยค่ะ"

"นั่นสิ จะบอกว่าพ้นจากศูนย์กลางแล้ว ไม่มีการพัฒนาหรือเสื่อมโทรมลงก็ไม่เชิง" เจนนาพยายามนึกคำมาอธิบาย "มันกลายเป็นบ้านป่าเลยนะเนี่ย"

"เพราะเป็นแบบนั้นที่นี่เลยมีซอมบีน้อยมากไง ประชากรน้อย บ้านเรือนอยู่ห่างกัน แล้วเห็นว่าตอนเกิดเรื่องภาครัฐก็รับมือได้รวดเร็วราวกับรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาก่อน"

"แปลว่ายังมีคนเหลืออยู่อีกเยอะเหรอ" แคทถามอย่างหวั่นใจ เธอกังวลกับมนุษย์มากยิ่งกว่ากังวลกับพวกซอมบี

"ส่วนใหญ่ถูกพาไปที่หลบภัยหมดแล้ว เห็นประกาศไว้ว่าให้ไปรวมตัวกันที่พื้นที่ส่วนตัวของผู้นำ อ้อ แต่ก็ไม่ได้ไปกันหมดหรอกนะ มีคนเหลืออยู่บ้าง พวกเขามีแปลงเกษตรที่ทำให้อยู่ได้แบบพอเพียง ถ้าพวกเราไม่ไปยุ่งกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่มายุ่งกับเราหรอก"

เดินไปคุยไปอยู่ได้พักใหญ่จนออกห่างจากสิ่งก่อสร้างของชุมชนบ้านป่ามากขึ้น ๆ แล้วในที่สุดผมก็พาทุกคนไปถึงสถานที่ที่เป็นเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้

สิ่งที่พบเป็นอย่างแรกคือรั้วขนาดใหญ่ อยากทำรั้วให้แข็งแรงกว่านี้ แต่เพราะเนื้อที่ของเราค่อนข้างกว้างจึงทำได้แค่ติดตั้งรั้วตาข่ายถัก

"ปลูกอะไรบ้างเนี่ย"

"ไม่รู้เหมือนกัน ก็ปลูกไปเรื่อย"

ไม่ได้ตอบแบบเลี่ยงหรือตั้งใจกวนประสาท ผมไม่รู้จักพืชพันธุ์ของโลกนี้ดีพอ จึงตัดสินใจให้คาแรคเตอร์ที่ถูกทิ้งไว้ที่นี่ตัดสินใจเรื่องนั้นแทนทั้งหมด ไม่ว่าจะปลูกพืชชนิดใด ใช้พื้นที่ขนาดไหน ต้องดูแลอย่างไรบ้าง

"นี่มันข้าวโพดใช่ไหมเนี่ย" แคทมือไวกว่าคำพูด เธอเด็ดมันออกมาจากลำต้น จากนั้นจึงเริ่มลอกเปลือกมันออก

ผมอยากดุไปว่า ถ้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร รวมทั้งไม่รู้ว่ามันถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วหรือยัง ก็ไม่ควรมือบอนไปเด็ดมันออกมา แต่ตอนที่เธอลอกจนถึงจุดที่มองเห็นเมล็ดสีสันสดใสข้างใน ผมก็แน่ใจว่ามันสุกดีแล้ว

"มาไม่บอกไม่กล่าวกันเลยนะครับ" ชายคนหนึ่งตะโกน เขาเดินมาพร้อมโบกไม้โบกมือให้