สำหรับ “ท้องฟ้า” สายฝนคืออ้อมกอดอันอบอุ่น ตั้งแต่เล็กจนโตเธอมักหนีออกไปเล่นน้ำฝนอยู่บ่อย ๆ ทุกครั้งที่ฝนตก ท้องฟ้าจะรู้สึกอบอุ่นผ่อนคลาย ราวกับว่า “ใครบางคน” กำลังโอบกอด ปลอบประโลม และช่วยชะล้างความไม่สบายใจทั้งมวลให้หมดสิ้นไป โดยเฉพาะความเศร้าจากฝันร้ายที่หลอกหลอนเธอมาตั้งแต่เด็ก ภาพหญิงสาวในชุดสีแดงสดเปื้อนเลือดยังติดตาเธออยู่เสมอ ท่ามกลางสายฝนในคืนพระจันทร์เต็มดวง เลือดสาดกระจายไปทุกทิศ แต่หญิงสาวในชุดสีแดงก็ยังคงร่ายรำอยู่ท่ามกลางหยาดเลือดอย่างไม่รู้จักจบสิ้น “ระบำสีเลือด” คือคำที่เธอใช้เรียกความฝันนั้น ความรักที่มีให้ต่อสายฝนและความหวั่นกลัวจากฝันร้ายนี้ผูกพันกับเธอมาตลอดตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบใหญ่ เป็นความผูกพันที่เธอเองก็ไม่อาจหาคำอธิบายได้ กระทั่งวันหนึ่งสายฝนที่เธอรักก็ไม่ได้มาพร้อมกับเสียงสายฟ้าที่คุ้นชิน แต่กลับมีเสียงบรรเลงลอยคลอมาด้วย ท่วงทำนองประหลาดหากแต่ให้ความรู้สึกแสนคุ้นเคย ท้องฟ้าไม่รู้เลยว่านับตั้งแต่วินาทีนั้นชีวิตของเธอจะไม่อาจเหมือนเดิมได้อีก
ในตัวเมืองกรุงเทพมหานครที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ฝนลงเม็ดหนักขึ้นเรื่อย ๆ ฟ้าแลบวาบเป็นระยะเช่นเดียวกับเสียงฟ้าร้อง แสงไฟในบ้านและอาคารกระพริบถี่ก่อนจะดับลง ทิ้งไว้เพียงความมืดและเสียงคร่ำครวญของชาวออฟฟิศที่ยังไม่ถึงบ้าน
ปกป้องกำลังวิ่งหน้าตื่นไปตามดาดฟ้าขณะที่ฝนตกหนัก รองเท้าบูทหนังกลับที่น่าสงสารเปรอะเปื้อนน้ำสกปรกจนเป็นรอยด่างไปทั่ว แต่ถึงกระนั้นผู้เป็นเจ้าของก็มิได้สนใจจะเหลือบแลมันสักนิด เขากระโดดจากดาดฟ้าหนึ่งไปยังดาดฟ้าอีกอาคาร ไต่ไปตามตัวบ้านก่อนวิ่งไปตามแนวหลังคา จากบ้านหนึ่งสู่บ้านหนึ่งต่อไปเรื่อย ๆ
ท่ามกลางสายฝนกับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังเคลื่อนที่และกวาดสายตาสำรวจผู้คนเบื้องล่างไปพร้อม ๆ กัน ไกลออกไปปรากฏสายฟ้าแลบอยู่เป็นระยะ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปกป้องรับสายแต่ยังไม่หยุดวิ่ง ขณะสายตายังคงสอดส่ายหาอะไรบางอย่างเบื้องล่างสลับกับมองสายฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
"ฮัลโหล เจอยัง?" เขารับสาย ก่อนจะถามสวนไปในทันทีโดยไม่รออีกฝ่ายพูด เสียงในสายฟังดูหงุดหงิดขณะที่ตอบเขาอย่างเสียไม่ได้
"เจอกับผีน่ะสิ แล้วมึงอยู่ไหน?"
"กำลังไล่ตามสายฟ้าอยู่" พูดพลางหอบพลาง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว ขายาว ๆ ยังคงย่ำรุดไปบนหลังคาบ้านชาวบ้านอย่างไร้จิตสำนึก ในขณะที่คู่สนทนาขมวดคิ้ว ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างวูบไหวของเพื่อนจากอีกฟากของเมือง แม้เจ้าตัวจะยืนอยู่กลางสายฝนแต่ใบหน้ากลับไม่ปรากฏร่องรอยความเปียกชื้นแม้แต่น้อย
"นี่มึงจริงจังไหมเนี่ย?"
"อย่า...ชวน...คุย เหนื่อย!" ประโยคที่ขาดกระท่อนกระแท่นจนฟังไม่รู้เรื่องบ่งบอกสภาพของผู้พูดได้เป็นอย่างดี
"ปก... กูว่ามึงดูหนังมากไปละนะ มึงไม่ใช่เพอร์ซี่ แจ็คสัน แล้วท่านปาลินก็ไม่ใช่เทพเจ้าสายฟ้านะเว้ย!"
"ไม่ลองไม่รู้ ขอกูลองก่อน"
รามิลจ้องโทรศัพท์ในมือที่ถูกตัดสายทิ้งด้วยสายตาว่างเปล่า ในใจอยากจะโทรกลับไปด่าอีกฝ่ายให้หยุดทำเรื่องไร้สาระ แต่ก็ตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อแทน ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินลงจากดาดฟ้า
ขณะที่เขากำลังจะก้าวพ้นประตูดาดฟ้า จู่ๆ สายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงที่ด้านหลัง ห่างจากตัวเขาไปเพียงไม่กี่เมตร รามิลสะดุ้งเฮือก ก่อนจะปรายตาไปด้านหลังอย่างระมัดระวัง ร่างสูงในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นแทนที่เมื่อแสงจ้าจากสายฟ้าหายวับไป
"มีอะไรคืบหน้าไหมรามิล?" เสียงทุ้มนุ่มฟังดูเรียบเรื่อยราวกับไม่ร้อนใจ คงมีแต่เพื่อนร่วมงานอย่างเขาเท่านั้นที่รู้ว่าในใจเจ้าตัวแตกต่างจากที่แสดงออกแค่ไหน
รามิลหันไปหาอีกฝ่ายแล้วยิ้มเจื่อน ๆ พลางส่ายหน้า พิทักษ์มองท่าทางนั้นของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พยักหน้ารับรู้โดยไม่พูดอะไร ก่อนที่สายฟ้าจะฟาดเปรี้ยงลงมาที่เดิมอีกครั้ง ร่างของพิทักษ์หายไป เหลือเพียงรามิลยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ถึงแม้ว่าจะแยกจากเพื่อนออกมาแล้ว แต่พิทักษ์ก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่ริมถนนท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา เช่นเดียวกับรามิล...สายฝนไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ผู้คนรอบข้างต่างวิ่งหาที่หลบ ไม่มีใครสนใจใคร เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เงยหน้ามองฝนที่กระหน่ำลงมาไม่หยุด สีหน้านิ่งสงบแต่แววตากังวลฉายชัด
ท่านไปอยู่ที่ใด? วัสปาลิน...
ท่ามกลางความมืด รถกระเช้าสำหรับซ่อมสายไฟของการไฟฟ้าฯ วิ่งไปตามถนน มุ่งหน้าไปยังจุดที่มีกิ่งไม้หักทับสายไฟตามที่ได้รับแจ้ง พนักงานการไฟฟ้าฯ ที่เข้าเวรวันนี้กำลังออกปฏิบัติหน้าที่
"ตกขนาดนี้ คืนนี้ไม่หยุดง่าย ๆ แน่พี่" สีหน้าคนพูดไม่ค่อยดีนัก
"กูก็ว่างั้น เหนื่อยหน่อยละวะมึง" ใคร ๆ ก็รู้ว่าการซ่อมสายไฟขณะที่ฝนตกหนักก็เหมือนกับย่างเท้าเข้าประตูนรกไปแล้วข้างหนึ่ง
"ลงหนักอย่างกับฟ้ารั่ว มองอะไรก็ไม่ค่อยชัด ไม่ชอบเลยว่ะพี่"
"กูก็ไม่ชอบเหมือนกัน มึงก็ระวัง ๆ หน่อยเวลาทำงานน่ะ ใจเย็น ๆ" เมื่อเห็นลูกน้องพยักหน้ารับหงอย ๆ คนเป็นหัวหน้าจึงได้แต่ตบบ่าหนัก ๆ ให้กำลังใจ ขณะที่อีกมือยังจับพวงมาลัย
เสียงบทสนทนาของทั้งสองทำให้ตัวต้นเหตุของสถานการณ์ฟ้ารั่วทั่วกรุงเทพแอบรู้สึกผิดไม่น้อย
"ขอโทษ..."
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบา ๆ อย่างคนสำนึกผิด แต่ชัดเจนพอที่พนักงานทั้งสองจะได้ยิน พวกเขาหันซ้ายหันขวามองหาต้นเสียง แต่ก็พบกับความว่างเปล่า มีเพียงความมืดรอบข้างจ้องตอบกลับมา ทั้งสองค่อย ๆ หันมาสบตากันอย่างหวาดกลัว แต่ยังไม่ทันจะได้คิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป กระจกหน้ารถที่เคยมีเม็ดฝนกระหน่ำจนแทบไม่เห็นทาง ก็เริ่มมองเห็นภาพถนนชัดเจนขึ้น ฝนที่เคยตกหนักเริ่มเบาเม็ดลงตามเส้นทางที่รถเคลื่อนตัวไป
ห่างออกไปไม่ไกลนัก บ้านหลังเล็กกะทัดรัดตั้งอยู่รายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณ แสดงให้เห็นถึงนิสัยรักธรรมชาติของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี คนในบ้านนั้นหลับกันไปหมดแล้ว ด้วยเหตุที่ว่าไฟดับจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก จึงได้ยอมแพ้เข้านอนในที่สุด ยกเว้นก็แต่ห้องของท้องฟ้าที่แม้จะมืด แต่แสงจากจอโน้ตบุ๊คยังสว่างวาบเป็นระยะ ๆ ทำให้เห็นเงาความเคลื่อนไหวเล็กน้อยบนเตียง
ผ้าห่มที่คลุมปลายเท้าของหญิงสาวขยับเบา ๆ ศีรษะของเจ้าของร่างใต้ผ้าห่มโผล่พ้นชายผ้ามาเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊คเขม็ง ยกกำปั้นแนบริมฝีปากตัวเองด้วยความลุ้น ใจหนึ่งก็กังวลว่าเสียงกรี๊ดของตัวเองจะรบกวนคนในบ้าน แต่เพราะด้านนอกฝนตกกระหน่ำ ฟ้าแลบสว่างวาบเข้ามาในห้องนอนเป็นระยะ ตามด้วยเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าอย่างต่อเนื่อง ต่อให้เธอกรี๊ดก็คงไม่ดังไปกว่าเสียงฟ้าตอนนี้หรอก
"ไม่ ๆ ไม่.. เอาแล้ว มันเล่นกุแล้ว ไม่นะ" ร่างบางพึมพำพร้อมจิกหมอนแน่น เตรียมกรี๊ดเต็มที่เมื่อหนังผีที่ดูกำลังถึงตอนไคลแม็กซ์ แต่อยู่ ๆ หน้าจอที่กำลังเปิดหนังก็หยุดไป
"จัน... เอาน้ำแข็งมาถูหลังฉันซิ"
คนลุ้นหน้าเหวอ ชะงักค้างอย่างงง ๆ
"ไอ้.... หมดมู้ดเลยกู"
เธอสบถก่อนจะกดปิดแถบหน้าต่างเรื่อง 'จันดารา' ที่จู่ ๆ ก็เล่นเองโดยไม่ได้ไปแตะต้อง มือเรียวเลื่อนเมาส์จะกลับไปกดเล่นหนังผีที่ดูค้างไว้ต่อ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเพลงปริศนาลอยมาทางหน้าต่างที่ปิดไว้
ท้องฟ้าขนลุกชันไปทั้งร่าง ความรู้สึกคุ้นเคยตีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จึงตัดสินใจข่มความกลัวลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านแง้มดูต้นเสียง แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ฝนเริ่มซาลงแล้ว
ภาพท้องฟ้าที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ริมหน้าต่างมองเห็นได้เพียงราง ๆ จากด้านนอก เหนือหน้าต่างขึ้นไป ผ่านขอบกระเบื้องชายหลังคา ชายหนุ่มในชุดสีขาวเหลือบเงินนั่งเอนกายอยู่บนหลังคาบ้าน เหนือห้องของเธอ หากใครได้มาเห็นภาพที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ก็คงจะต้องตกตะลึงไปกับความงามราวกับภาพวาด
ชายหนุ่มเอนกายสบาย ๆ บนหลังคา มือหนึ่งถือเครื่องดนตรี ท่าทีไม่หยี่ระต่อสายฝนที่โปรยปราย หนำซ้ำยังมีสายฟ้าแลบและเสี้ยวพระจันทร์ที่พ้นเมฆราง ๆ เป็นฉากหลังอีก นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน!!