ด้วยความฉลาดแต่หัวรั้นของหญิงสาว ส่งผลให้สมาชิกทีมเกิดความหมั่นไส้และทิ้งเธอไว้ที่เกาะประหลาดกลางทะเล พอตกดึกเธอก็พบว่าตัวเองได้ย้อนเวลากลับมาในอดีตเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว แถมยังถูกไล่ล่าจากกลุ่มชายฉกรรจ์อาวุธครบมือ เธอจะสามารถมีชีวิตรอดไปได้หรือไม่...โปรดติดตาม
- เช้ามืดวันนี้ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาด มีเกาะลึกลับโผล่ขึ้นที่ใจกลางแม่น้ำ ห่างจากชายฝั่งประมาณ 10 กิโลเมตร สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากชายฝั่ง นักวิชาการคาดการณ์ว่าน่าจะเกิดจากปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำแห้งขอดลงไปจนมองเห็นพื้นดินที่เคยจมอยู่ใต้ผิวน้ำบริเวณดังกล่าว แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ยังคงเชื่อว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง จึงได้จัดตั้งกลุ่มตัวแทนขึ้น และลงไปสำรวจร่วมกับคนในพื้นที่ เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนแก่ทุกฝ่าย -
สำนักข่าวได้รายงานสถานการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้น และกำลังเป็นที่จับตามองของคนจำนวนมากถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ บ้างก็คาดเดาไปว่าโลกใกล้จะแตก บ้างก็ว่าเอเลียนบุกโลก รวมถึงกลุ่มคนอีกไม่น้อยที่ต้องการเข้าไปยังพื้นที่ที่กำลังเป็นข่าว ทั้งเป็นความรู้ ความบันเทิง หรือเพื่อความกระสันส่วนตัว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ล้วนแต่ไม่ได้รับความเห็นชอบและยินยอมจากคนพื้นที่ ยกเว้นกลุ่มสำรวจกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า 'ผู้พิชิตความไม่รู้' ที่ได้ออกในรายงานข่าวว่าได้รับความร่วมมือจากคนในพื้นที่ เพราะไม่เพียงแค่เป็นกลุ่มสำรวจ แต่ยังเป็นถึงสมาคมผู้ชอบความลึกลับแห่งประเทศ จึงได้เครดิตความน่าเชื่อถือว่าจะไม่บิดเบือนความจริงและอีกหลายๆข้อตกลงที่ได้ทำขึ้นกับชาวบ้าน
"ลงเรืออย่าลืมใส่ชูชีพกันนะทุกคน"
เสียงหนึ่งในผู้นำกลุ่มสำรวจพูดขึ้น
"ประมาณ 20 นาที ก็ถึงเกาะแล้ว ไม่เป็นไรหรอก"
หญิงสาวคนหนึ่งพูดสวน ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่หัวเรือโดยไม่สวมชูชีพตามที่ผู้นำกลุ่มได้บอกไปก่อนหน้า
เธอยืดตัวสูดหายใจเอาบรรยากาศที่สดชื่นเข้าปอดอย่างอารมณ์ดี เสียงท้องเรือแล่นกระทบคลื่นน้ำเป็นจังหวะ สายลมพัดโชยเอาละอองน้ำเข้ากระทบใบหน้า
"อื้อหือ กลิ่นอย่างนี้ ไม่พ้นสิวแน่ๆ"
เธอพูดพรางล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเอาน้ำที่เปียกบนใบหน้าออก
"ถ้าตกเรือไม่มีชูชีพ ต่อให้ว่ายน้ำเก่งก็จมได้นะ"
"จ้าแม่"
หนึ่งในสมาชิกผู้หวังดีได้พยายามเตือนเธอเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล เธอหันมาตอบกลับและยังคงทีท่าไม่ใส่ใจอยู่ตามเดิม
"ถ้าไม่ใช่ผู้ร่วมก่อตั้งสมาคม ฉันหยุมหัวนางไปนานละ"
"เรื่องดื้อต้องให้เขาเลยจริงๆ"
เหล่าสมาชิกกระซิบคุยกันเสียงเบา
"เรื่องอื่นน่ะดีหมดเลยนะ ทั้งหน้าตาอาชีพการงาน ฉลาด นิสัยก็ดี แต่ชอบทำเป็นเก่งตรงนี้แหละที่ไม่โอเค จะพลอยพาคนอื่นเดือดร้อนไปด้วย"
"ฉู่~ เสียงดังเกินไปแล้ว"
"เสียงคลื่นดังจะตาย ไม่ได้ยินหรอก"
"อายุปูนนี้แล้วยังหาผัวไม่ได้ ถ้าแกล้งบอบบางสักหน่อยผู้ชายคงลุมตอมทั้งตำบล"
"คนเราก็ต้องมีข้อเสียกันบ้าง อย่าถือสาเลย"
ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นกลางวงสนทนา
"พี่การันต์ สวัสดีค่ะ/ครับ"
"ก็พี่ให้ท้ายเขาแบบนี้ไง ถ้าบอกว่าชอบพี่เพล ผมจะไม่ตกใจเลย"
"บ้าเหรอ อะไรแบบนี้อย่าเอามาพูดเล่น ผู้หญิงเขาเสียหาย"
ชายหนุ่มพูดไปยิ้มไป พรางยกมือขึ้นลูบต้นคอแก้เขิน
"ยิ้มไม่หุบขนาดนี้ พี่ไปขอเขาแต่งงานเลยเถอะ อายุก็ไม่น้อยแล้วรีบเป็นฝั่งเป็นฝาสักที แก่ตัวไปไม่มีใครดูแลนะ"
หญิงสาวอีกคนที่ร่วมวงสนทนาอยู่ก่อนแล้วพูดขึ้น
"ยัยการิน เธอไงที่ต้องเลี้ยงพี่"
"โนค่ะ ฉันต้องเลี้ยงผู้ชายอีกเยอะแยะ ไม่มีเวลามาเลี้ยงพี่หรอก"
จับกลุ่มพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ก็มาถึงยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้
"พี่เพลรอก่อน!"
เสียงร้องตะโกนไล่หลังของหนึ่งในสมาชิกไม่สามารถทำให้หญิงสาวที่โหยหาความแปลกใหม่หยุดลงได้
"ไปแล้วเหรอ?"
การันต์ถามขึ้น
"เรือยังไม่ทันเทียบดีก็หยิบเป้กระโจนลงไปโน้นแล้ว"
ชายหนุ่มได้ฟังคำตอบก็หัวเราะออกมาเบาๆอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะรีบเดินตามไป
"อย่างนี้ต้องแก้เผ็ดซะให้เข็ด"
"ต้องโดนดัดนิสัยซะบ้างคนแบบนี้"
"นั่นน่ะสิ ถ้าไม่ทำงานเป็นทีมแล้วจะมาเข้าสมาคมทำไม"
เหล่าสมาชิกพูดคุยกันขณะกำลังยกเครื่องไม้เครื่องมือลงจากเรือ
เวลาผ่านไปดังที่โบราณว่า 'เวลาแห่งความสุขย่อมผ่านไปเร็วเสมอ' ช่วงเวลาโพล้เพล้มาถึง ท้องฟ้าสดใสยามเช้า ตอนนี้ถูกฉาบไปด้วยสีส้มของแสงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า เหล่าผู้ร่วมสำรวจก็ช่วยกันเก็บของยกของขึ้นเรือเพื่อเตรียมตัวกลับชายฝั่ง สมาชิกกลุ่มก็ค่อยๆทะยอยกลับมาจากการสำรวจและขึ้นเรือไปจนเกือบหมด
"เพลล่ะ?"
สมาชิกคนหนึ่งถามขึ้น
"อะ..เอ่อ พี่เพล ยะ..ยัง"
"พี่เพลเหรอคะ เห็นบอกว่าเพลียแดดเลยเข้าไปพักที่ห้องใต้เรือสักพักแล้วค่ะ"
สมาชิกคนแรกยังไม่ทันจะได้พูดจนจบ ก็ถูกอีกคนพูดขัดขึ้นซะก่อน
"โอเค ถ้าคนครบแล้วก็ออกเรือได้เลยนะ"
พอพูดจบก็เดินหายเข้าไปใต้เรืออีกคน ไม่นานเรือก็ค่อยๆถอนสมอและเคลื่อนตัวออกจากเกาะอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนของหญิงสาวดังไล่หลังมาจากเกาะ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เรือได้แล่นออกมาไกลเกินกว่าจะสังเกตุเห็นการเคลื่อนไหวบนเกาะได้ รวมถึงเสียงคลื่นและเสียงเครื่องยนต์ก็ดังกลบเสียงร้องตะโกนไปจนหมดสิ้น
"ฉันยังอยู่บนเกาะนะ"
หญิงสาวเข่าอ่อนทรุดลงกองกับพื้น คลื่นซัดฝั่งสาดน้ำกระเซ็นจนเปียกไปทั้งตัว เธอนั่งเหม่อลอยไร้สติอยู่พักใหญ่ หวังให้หัวเรือหันกลับมา จนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าความมืดเข้าปกคลุมพื้นที่ เธอจึงรวบรวมสติลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปข้างในเกาะเพื่อรับมือกับค่ำคืนที่แสนยาวนาน
เกาะที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน ไม่สามารถหากิ่งไม้หรือเชื้อเพลิงมาก่อไฟให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ หญิงสาวจึงหาช่องเล็กๆเพื่อเข้าไปหลบบรรเทาความหนาวจากลมในตอนกลางคืน
"ฉันจะมาตายที่นี่งั้นเหรอ"
หญิงสาวสวมกอดร่างกายที่เปียกและสั่นเทาด้วยความหนาว เธอกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นและปลอบใจตัวเอง พยายามข่มตาให้หลับเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนจากเรื่องราวที่หนักหน่วง
ในขณะที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ก็มีเสียงบางอย่างแว่วมาแต่ไกล เป็นเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมาก แถมยังมีเสียงตะโกนโหวกแหวกดังระงมไปทั่ว หญิงสาวสะลึมสะลือลืมตาตื่นพลันนึกขึ้นได้ว่าอาจจะเป็นเพื่อนๆของเธอมาตามหาก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็พุ่งตัวถลาออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมร้องตะโกนตอบกลับอย่างบ้าคลั่ง
"ฉันอยู่ทางนี้!!! ช่วยด้วย…ทางนี้!!"
หญิงสาวตะโกนจนแทบหมดเสียง ทันใดนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธในมือมากมายก็เข้ามาตีวงโอบล้อมขวางด้านหน้าของเธอไว้จนไม่เหลือช่องว่างให้ไปต่อ จะถอยหลังก็ติดซากหินโสโครกขนาดใหญ่
"นี่มันอะไรกัน?"
"จับตัวมัน!!"
เธอยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามออกไปดีๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากทางด้านหลังไกลๆให้จับตัวเธอไว้ เมื่อนั้นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดก็ถูกจุดขึ้น หญิงสาวย่อตัวลงสไลด์รอดผ่านช่องหว่างขาด้านซ้ายออกมา ก่อนจะวิ่งอ้อมไปด้านหลังโขดหินที่เป็นทางราดลง เธอก็ทิ้งตัวเก็บคองอเข่าไหลลงไปจนสุดปลายทาง ก็กระแทกเข้ากับขอนไม้ลำใหญ่ยักษ์ที่ล้มขวางทางอยู่ จู่ๆความคิดบ้าบิ่นก็ผุดขึ้นในหัว หญิงสาวพาร่างบอบช้ำมุดแทรกเข้าไปในขอนไม้ยักษ์ที่ข้างในกลวงโบ๋เพื่อหลบจากสายตาของพวกที่ไล่ตามมา ดูเหมือนบุญมีแต่กรรมจะบัง กระเป๋าเป้ของเธอดันตกอยู่นอกโพลงไม้ เมื่อมองดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมาทางนี้ เธอจึงค่อยๆดันตัวออกมา และในจังหวะนั้นเองเธอก็รู้สึกเหมือนถูกอะไรลวกเข้าที่ขา มันทั้งชาและแสบร้อนเหมือนโดนไฟไหม้ พอก้มลงมองดูที่ต้นเหตุก็ถึงกับเก็บอาการตกใจไว้ไม่อยู่
"ขาฉัน! หดสั้นลง!"
ใกล้ๆกันนั้นมีแมงป่องตัวเล็กสีทองที่โดนขาทับอยู่ แต่หญิงสาวกลับโฟกัสผิดจุด ทันทีที่เห็นว่าขาสั้นลงเธอก็จับคลำสำรวจลำตัวขึ้นไปถึงหัวและใบหน้า เธอคว้ากระเป๋าหมายจะไปส่องดูที่เงาสะท้อนของผิวน้ำ แต่ความรู้สึกที่ขาตอนนี้ได้หายไปเสียแล้ว เธอล้มลงหน้าคะมำพื้น แต่ก็ยังกัดฟันใช้มือดันลากตัวไปอย่างทุลักทุเล
"ช่วย..ด้วย ชะ…ช่วยด้วย"
หญิงสาวครวญครางด้วยความเจ็บปวด อาการชาไร้ความรู้สึกเริ่มกินขึ้นมาจนถึงต้นขาพร้อมกับความรู้สึกปวดแสบปวดร้อน น้ำตาไหลเอ่อนองใบหน้าจนตาพร่าไม่เห็นทาง ก่อนจะหมดสติลงเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว ไม่นานเหล่าชายฉกรรจ์ก็ตามมาทัน
"แม่หนูนี่ดูท่าจะโดนแมงพิษต่อยเข้าแล้ว ขาบวมเป่งเลย"
"เอาไงดี"
เหล่าชายฉกรรจ์ต่างพากันใช้เท้าเตะๆเขี่ยๆหญิงสาวที่ไร้สติราวกับขยะเปียก
"เอายาให้มันกิน แล้วพากลับไป"
ชายหน้าเข้มคนหนึ่งเดินแหวกฝ่ากลุ่มคนออกมา ท่าทางเหมือนเป็นผู้นำที่ออกคำสั่งในตอนแรก
ระหว่างทางที่กำลังถูกพาตัวไปเธอก็ได้สติขึ้นมา แต่ยังคงมีอาการมึนๆตึงๆคล้ายคนเมาเหล้า แต่ที่น่าประหลาดคือเธอเพิ่งสังเกตุว่าภูมิประเทศมันเปลี่ยนไป จากเดิมที่ควรจะเป็นซากโบราณจมน้ำ ตอนนี้มันกลับกลายเป็นพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ มีภูเขา หรือจะเป็นเพราะเธอเห็นภาพหลอน หรือเธออาจจะตายไปแล้วก็เป็นได้