"ตะวัน" หญิงสาวธรรมดาที่เกิดมาในโลกที่ไม่ได้ใจดีกับเธอนัก ทุก ๆ อย่างดูเหมือนจะโหดร้ายกับเธอมาตลอด แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ยังเป็นคนที่มีความหวังอยู่เสมอ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงอ่อนแอจนได้ชื่อว่า "ตุ๊กตากระดาษ" ราวกับว่าโชคชะตาได้เข้าข้างเธอ ในวันที่รู้สึกสิ้นหวังจนเกือบจะยอมแพ้ก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น เปรียบเสมือนกับของขวัญที่แสนสวยงามที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่สำหรับตัวเธอแล้ว มันคงเหมือนกับ "คำสาป" มากกว่า
ณ เมือง ๆ หนึ่งของประเทศในแถบเอเชีย นี่เป็นช่วงเวลาที่อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วแต่ก็ไม่สามารถหยุดความรุ่งโรจน์ของเมืองนี้ได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งท้องฟ้ามืดมากขึ้นเท่าไหร่ผู้คนก็ยิ่งออกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตัวเองสนใจ อาทิเช่น กลุ่มวัยรุ่นที่พากันไปปาร์ตี้จนเมาเละเทะยันฟ้าสว่าง หรือเหล่านักธุรกิจที่ออกไปสังสรรเพื่อสร้างคอนเนคชันในแวววงเดียวกัน ราวกับว่าคนที่นี่ใช้ชีวิตตอนกลางคืนเป็นหลักอย่างไรอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่สำหรับทุกคนในเมืองนี้
ถ้าหากว่ามีใครบางคนลองเดินออกมาจากแหล่งความเจริญที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย แล้วเลือกเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ แถวนั้น เขาก็จะสามารถพบเห็นความลำบากและความทุกข์ทรมานจากคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นได้ ตึกโทรม ๆ ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะพังลงมาตอนไหน ถังขยะที่เต็มจนล้นออกมาแต่ไร้ซึ่งการดูแลโดยรัฐบาลส่งกลิ่นเหม็นเน่าชวนอ้วก แต่ที่แย่ไปกว่านั้นประชาชนหลายคนที่ต้องนอนข้างถนนและคุ้ยขยะกิน
นี่คือสิ่งที่รัฐบาลพยายามซ่อนไว้ใต้พรม และอาจจะทำไม่สำเร็จถ้าไม่ได้ประชาชนที่พอมีอันจะกินเพิกเฉยเรื่องพวกนี้และปล่อยให้มันจมหายไป
และหนึ่งในซอยพวกนี้มีตึกเล็ก ๆ อยู่ตึกหนึ่ง สภาพทรุดโทรมเหมือนกับทุกตึกบริเวณนี้ ดูไม่มีอะไรโดดเด่นหรือแปลกไป แต่ถ้าหากสังเกตดี ๆ ก็จะมองเห็นแผ่นไม้ที่ทำเป็นป้ายเล็ก ๆ แขวนอยู่ตรงประตูทางเข้า "Jump into the Eternal Time" กระโดดเข้าสู่ช่วงเวลาอันเป็นนิรันดร์นี่เป็นสิ่งที่เขียนไว้บนป้าย และถ้าลองเงยหน้าขึ้นไปข้างบนก็จะสังเกตเห็นไฟที่เปิดอยู่ท่ามกลางซอยที่แทบจะเรียกได้ว่ามืดสนิท ในนั้นมีกลุ่มคนสวมหน้ากากกลุ่มเล็ก ๆ กำลังประชุมกันอยู่ด้วยความจริงจังและเคร่งเครียด
"เธอแน่ใจใช่ไหมฟิวส์ เรื่องเด็กคนนั้นน่ะ" เสียงเรียบนิ่งเอ่ยออกมาจากปากของผู้หญิงผมสีขาวซีดที่นั่งกุมมือไว้ใต้คางอยู่ตรงหัวโต๊ะ แววตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลก่อนจะหันไปสบตากับคนที่เธอถาม
"แน่ยิ่งกว่าแน่อีก เธอก็รู้ว่าพลังของฉันไม่เคยผิดพลาดนะแอกซ์" หญิงรูปร่างท้วมที่มีนามว่าฟิวส์ตอบ นั่นยิ่งสร้างบรรยากาศตึงเครียดให้กับกลุ่มสนทนามากขึ้นไปอีก ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเป็นเวลาหลายนาทีราวกับว่าต่างคนต่างอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
"นั่นหมายความว่าเด็กคนนั้นตกอยู่ในอันตรายใช่ไหม" ชายวัยกลางคนที่แทบจะทั้งร่างกายเป็นสีดำพูดขึ้นมา แววตาสั่นกลัวขณะกำลังจินตนาการถึงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ แอกซ์พยักหน้าเบา ๆ นั่นทำให้ทุกคนในกลุ่มใจเสียไปตาม ๆ กัน
"ไม่ใช่แค่เด็กคนนั้นที่ตกอยู่ในอันตรายหรอก แต่เป็นคนทั้งเมืองนี้ต่างหากล่ะ" แอกซ์พูดเรียกเสียงสบถอย่างหัวเสียจากชายหนุ่มผมฟ้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ เธอหันไปมองเขาด้วยสายตาตำหนิเขาหันมาก้มหัวให้อย่างสำนึกก่อนที่เธอจะพูดต่อ
"เพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องวางแผนให้ดี ไฮด์นายช่วยสะกดรอยตามเธอให้ทีนะ" หญิงสาวหันไปพูดกับชายผิวสีดำ เขาพยักหน้ารับก่อนจะฟังเธอมอบหน้าที่ให้กับแต่ละคน ไม่นานทุกคนก็มีหน้าที่เป็นของตัวเองและก่อนที่จะแยกย้ายกันไปแอกซ์ก็กำชับพวกเขาอย่างแน่นหนาอีกรอบหนึ่ง
"ทุกคนรู้ดีนะว่างานนี้เราจะพลาดไม่ได้ เด็กคนนั้นเหมือนกับอาวุธชีวภาพที่สามารถทำลายทั้งเมืองนี้ได้ภายในพริบตา" ทุก ๆ คนพยักหน้าอย่างเข้าใจถึงความหนักอึ้งของภาระที่อยู่บนบ่าทั้งสองข้าง แต่ก็ไม่สามารถเลือกอะไรได้มากนัก ไม่มีปุ่มยอมแพ้สำหรับเกมนี้ให้ใครได้ก้าวเท้าออกไป
"สู้ ๆ พวกเราทำได้อยู่แล้ว" แอกซ์พูดเป็นประโยคสุดท้ายพร้อมกับตบบ่าเพื่อนร่วมทีมเบา ๆ เป็นการสร้างความมั่นใจ ถึงแม้ว่าพวกเขาทุกคนต่างสวมหน้ากากอยู่แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต่างคนต่างก็รับรู้ได้ถึงรอยยิ้มของกันและกัน
จู่ ๆ ก็มีแสงสีฟ้าสว่างเจิดจ้าทั่วบริเวณห้องจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย และพอแสงนั้นจางไปทุกชีวิตที่เคยยืนอยู่ในห้องนั้นก็หายไปราวกับว่าไม่เคยมีใครอยู่ที่นี่ มีเพียงควันจาง ๆ จากเทียนที่เพิ่งดับลงไปเป็นหลักฐานว่าเคยมีใครบางคนอยู่จริง ๆ
ค่ำคืนนี้คงเป็นอีกหนึ่งคืนที่เหมือนกับทุก ๆ คืน ความสนุกสนาน รุ่งโรจน์ หรือแม้กระทั่งความทุกข์ทรมานก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างที่มันเป็น โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตกำลังคืบคลานมาหาพวกเขา
และสิ่งเหล่านั้นก็อยู่ใกล้เกินกว่าที่มนุษย์พวกนี้จะจินตนาการถึง