webnovel

ภายในการหมุนกลับ Entropy

ข่าวหลาย ๆ ช่องลงทั้งคลิปเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งภาพจำลองเหตุการณ์ รุกล้ำไปหาครอบครัวเหยื่อ และผู้ได้รับผลกระทบ ข่าวช่วงนี้มีอยู่ทุกช่องอยู่หลายสัปดาห์แต่เรายังไม่เห็นมาตรการความปลอดภัยอะไรที่เพิ่มขึ้นมาจากกระทรวงการศึกษา เหมือนข่าวแค่ต้องการเวลาในการนำเสนอ ไม่เคยพูดประเด็นของปัญหาแล้วเรียกร้องอะไรเลย พัฒน์ไม่เคยได้อะไรจากการดูข่าวเลย ถ้าเป็นกระบอกเสียง ข่าวคงเป็นลำโพงงานวัด เรียกหาศีลธรรมและเงินผ่านเสียงที่ดังของตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าความดังของตัวเองรบกวนการใช้ชีวิตของคนอื่น แล้วไม่เคยทำให้คนมีชีวิตดีขึ้นได้เลยสำหรับพัฒน์ข่าวทำแบบนั้น

เบนไม่ได้เข้าไปงานศพคริสเหมือนเวลาของเบนย้อนกลับเวลาถูกยืดยาวด้วยความทุกข์ ความรู้สึกผิด เบนกลับไปเล่นยาเสพติดอีกครั้ง โลกของสิ่งเสพติดวับวาว สวยงาม ราวกับดึงวิญญาณเบนให้ลอยขึ้นไปเล่นกับก้อนเมฆ ช่วงเวลาของการตื่นหลังจากเสพติดในทุก ๆ วัน ทำให้อยู่ภวังค์ของการโทษตัวเองมากขึ้น วงล้อของการทำลายตัวตนด้านหนึ่งได้เบนไปแล้วกว่า สามสัปดาห์โจพึ่งมาเจอเบนนอนอยู่กลางบ้าน โจเป็นเพื่อนที่คอยมากินเบียร์กับเบนที่บ้านบ้าง อาการเบนน่าเป็นห่วงมากกว่าที่เคยเกิดขึ้น เขาพาเบนมาที่โรงพยาบาลก่อนที่อาการจะหนักกว่านี้

โรงพยาบาล พัฒน์เริ่มเข้ารับการรักษาแบบเคมีบำบัด

เคมีบำบัดคือสูตรยาที่ช่วยทำให้เซลล์ไม่เจริญเติบโตมากขึ้น เนื่องจากร่างกายเราสามารถแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (miosis) และเปลี่ยนไป ตามอายุและคุณภาพของโครโมโซม เซลล์มะเร็งจึงสามารถเติบโตได้ในจุดที่มันอยากเติบโต คีโมคือสารเคมีที่เข้าไปในร่างกายเพื่อช่วยให้ เซลล์หยุดเติบโตจะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง เพราะฉะนั้นสารเคมีที่ใช้ต่ออวัยวะที่มีมะเร็งแล้วไม่อยากให้เติบโตจึงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่มะเร็งเติบโต เช่น ยาเคมีบำบัดสูตร PE,CG,CAV,NSCLC,AC,FAC,CMF แต่ละสูตรขึ้นอยู่กับระยะ เหมือนให้แพทย์อายุรกรรมเป็นบาร์เทนเดอร์ของชีวิตคุณ

แล้วทำเป็นโอมากาเสะ สูตรเคมีต่อชีวิตเพื่อให้คุณได้ยืดชีวิตออกไป อาจจะมีการฉายรังสีร่วมด้วย หรืออาจจะได้ยาที่กินจะได้รักษาตามอาการปลายเหตุอย่างเช่นไอจนหลอดลมฉีก ก็อาจจะต้องใช้ยาที่ช่วยเรื่องหลอดลม

ส่วนการได้รับเคมีบำบัดก็ขึ้นอยู่กับความถี่และรอบของอาการบวกกับการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ใช่ครับ ช่วงนี้พัฒน์ต้องกินยา หลายตัวทั้งยากันชักและยากันสมองบวม พร้อมทำคีโมไปด้วย ทุกครั้งที่ในมือเต็มไปด้วยเม็ดยา มันเหมือนเครื่องมีอที่จะช่วยต่อชีวิตพัฒน์ ทุกกำมือของยาคือชีวิตที่ตื่นมาพรุ่งนี้ได้และวันพรุ่งนี้พัฒน์ก็เข้าใกล้ความตายอีกก้าว เคมีบำบัดของวันนี้จบไปหลังจากได้รับยากำสุดท้าย

หลังจากทำเคมีบำบัด พัฒน์เดินผ่านแผนกบำบัดในโรงพยาบาล พัฒน์ผ่านมาเจอเบนเห็นเบนหน้าห้องบำบัดแผนกจิตเวชเลยเข้ามาคุยส่วนตัว พูดเรื่องที่ตัวเขาต้องเจอ

"แพทย์ผมบอกว่าอาการแม่ผมดีขึ้น บอกไว้ก่อนนะ ช่วงนี้ทำเอกสาร เงินพี่อยู่กับโช เขาเก็บไว้ให้ พี่ทุกข์ไปก็ไม่ช่วยอะไร พยายามตั้งใจหน่อย โอเคนะ" พัฒน์พูด

เบนเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว "ฉันแค่สูญเสีย" เบนพูดพึมพำกับตัวเอง

"อะไรนะ" พัฒน์ได้ยินไม่ชัด เขาถามซ้ำ

"ฉันพึ่งเข้าใจ ที่นายรู้สึก เวลาคนตายใกล้ตัวขึ้น" เบนนิ่งคิด "บางทีฉันอาจจะเป็นปัญหาและพวกเราอยู่ในนรกอยู่แล้ว" เบนพูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง ใช่ บางทีเรื่องที่ทำให้เรามีความทุกข์ มาจากความคิดพัฒน์คิดแบบนั้นแต่ไม่ได้พูดออกไป

ที่โรงเรียนหลังจากเหตุการณ์ยิงในโรงเรียนทางคณะกรรมการของโรงเรียนเลือกที่จะจัดเสวนาเพื่อความปลอดภัยทางจิตใจเป็นกิจกรรมร่วมกันระหว่างอาจารย์และนักเรียน

อาจารย์น้ำฝนสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นพิธีกร บนเวทีมีนักเรียนตัวแทนแต่ละระดับละสองคน พัฒน์เป็นหนึ่งในนั้น กับคณะอาจารย์ สี่คนที่อยู่บนเวที ไมค์โครโฟนจะถูกส่งต่อไปให้นักเรียนที่อยากพูด โดยเริ่มมีการแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อช่วยเหลือและมอบให้กำลังใจซึ่งกันและกันเด็กนักเรียนหลายคนดูเศร้า ๆ ต่อให้ไม่ได้แสดงออกทั้งหมด สายตาหลายคู่ก็ถ่ายทอดถึงความหดหู่ของสถานการณ์ความปลอดภัยในโรงเรียนนั้น นักเรียนหญิงคนหนึ่งยกแขน ขอพูด เธอยืนขึ้นรับไมโครโฟนที่ส่งมาและเริ่มต้นเล่าว่า

"หนูแค่ไม่รู้ว่า โรงเรียนหลังจากนี้จะปลอดภัยมั้ย หนูยังได้ยินเสียงปืน เสียง ปัง! ปัง! ยังดังในหู หลังจากนอนไปแล้ว ก็นอนไม่หลับ ใครเป็นเหมือนกันบ้างมั้ย ไม่อยากมาโรงเรียน คิดว่าบางทีเพื่อนที่ไม่ชอบ เราวันหนึ่งอาจจะพกปืนแล้วมายิงใส่หนู" เธอร้องไห้ พร้อมกับคืนไมโครโฟนให้อาจารย์

อาจารย์น้ำฝนตอบ "ขอบคุณนักเรียนมากค่ะ"

นักเรียนคนถัดไปเป็นผู้ชายเขายกมือขึ้น ไมโครโฟนถูกส่งต่อให้เขา ยืนขึ้นและเริ่มพูด "ผมแค่เดินผ่านโรงอาหาร มีคนเห็นศพผ่านทางออกประตู แล้วเขาก็อ้วก แม่ผมบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับบาป"

ใบหน้านักเรียนคนอื่นในห้องประชุม ต่างโห่ไม่พอใจเรื่องการพูดถึงความเชื่อทางศาสนา อาจารย์น้ำฝนเตือน "เราจะไม่พูดเรื่องศาสนากันตอนนี้นะคะ"

เขารับทราบและพูดต่อ "เพื่อนผมเป็นพี่ของน้องคนที่ตาย เขารีบวิ่งไปที่นั่นหลังจากได้ยินเสียงปืน เขาเห็นน้องตัวเองอยู๋ในกองเลือด และหน้าหายครึ่งหนึ่ง กับเด็กอีกคนที่กำลังอุ้มลำไส้ตัวเองและเดินออกมาข้างนอกอยู่ เหมือนถุงหน้าท้อง ผมแค่… ไม่รู้สิ อยากมั่นใจว่า สามารถใช้การพูดคุยเจรจาด้วยได้ ไม่ใช่เจอความรุนแรงกับทุกอย่าง ผมยังไม่อยากตาย โดยที่ผมไม่ได้เลือก ผมไม่อยากอยู่ประเทศนี้แล้ว" เขานั่งลงร้องไห้ มีเพื่อนข้างช่วยรีบปลอบเขาทันที ทุกคนในห้องต่างสะเทือนใจเมื่อมีคนพูดถึงเหตุการณ์

อาจารย์น้ำฝนเริ่มเห็นบรรยากาศหดหู่มากขึ้น เลยต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า น้ำฝนพูด "ขอบคุณค่ะ บางทีเราน่าจะฟังจากตัวแทนนักเรียนกันบ้าง เหตุการณ์นี้ก็เกิดจากนักเรียนทุกคน มันมีผลกระทบต่อทุกคน พัฒน์อยากพูดอะไรหน่อยมั้ย? แล้วก็ขอให้ผ่านการรักษาไปได้นะพัฒน์"

นักเรียนทุกคนปรบมือให้พัฒน์ พัฒน์ทั้งเป็นและนักเรียนตัวอย่างและโรงเรียนทราบเรื่องอาการมะเร็งของพัฒน์แล้ว

"ที่ผมอยากพูดคงเป็นเรื่อง เราสามารถมองโลกในแง่ดีได้ พวกเราหลายคนรอดและนั้นก็เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรดีใจ เหตุการณ์นี้ในใจกลางโรงเรียน ในต่างประเทศบาดเจ็บและเสียชีวิตมากกว่านี้ เหตุการณ์นี้เป็นปาฎิหาริย์ทั้งนั้นที่เกิดขึ้น ใช่มั้ย นึกถึงคนบาดเจ็บและเสียชีวิต มองในเคสที่แย่กว่านี้ สามสิบสองคนตายในโรงเรียนแต่โรงเรียนก็ยังคงเปิดอยู่ เพราะมนุษย์ต้องเดินหน้าต่อ ทุกคนต้องผ่านความทุกข์นั้น ทำให้เราเป็นมนุษย์เอาตัวรอด เราเลือกที่จะเป็นผู้ชนะ"

ใบหน้าเหนื่อยหน่าย กับความเศร้าที่เกาะกินตัวเองมากขึ้นของทุกคน ตอนนี้ในห้องประชุมไม่ได้ต้องการคำตอบของวิธีการใช้ชีวิตอยู่ตอนนี้ อาจารย์ขอไมโครโฟนคืนจากพัฒน์

ในส่วนที่ห้องบำบัดที่เบนพูดคุยและรับการปรึกษาอยู่ในโรงพยาบาลรัฐ จังหวัดภูเก็ต

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องบำบัดนั้นบ้าง การยอมรับเหตุการณ์สูญเสีย คนรอบตัวยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่สำหรับเขา เบนเติบโตมาท่ามกลางความสูญเสียทั้งสายสัมพันธ์ และการทำลายตัวเอง เขาแค่ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไงหากไม่มีสายสัมพันธ์ต่าง ๆ มารั้งไว้ เบนเมื่อว่าวที่ลอยกลางสายลมที่สายป่านขาดไป พัฒน์แค่มาต่อสายป่านนั้นชั่วคราว

ที่โรงเรียน การเข้าโรงเรียนมาการตรวจกระเป๋า และมีมาตรการความปลอดภัยมากขึ้น มีการติดโบขาวที่อกเสื้อเพื่อไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความรุนแรงในโรงเรียน พัฒน์กำลังต่อแถวเข้าโรงเรียน ผ่านประตูตรวจจับโลหะ

สองคนก่อนหน้าคือพงศกร เขาแทรกแถวจากด้านหน้าเมื่อกี้ หลังจากขับรถมาจอดที่จอดรถจักรยานยนต์ เพราะอยากแสดงอำนาจ บวกกับการอยากให้คนอื่นสนใจ แน่นอนคนพวกนี้ต้องการความสนใจมาเติมเต็มตัวตนให้มั่นใจ พงศกรกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนนักเรียนโรงเรียนอื่น

"คนนั้นน่ะเหรอ ถ้าเอาคลิปคนนั้น ห้าพันบาทนะโอนมาเลย เอ่อ ๆ มุกนั้นแหละ ไม่ใช่ที่หน้าอกใหญ่ ๆ นั้น ระวังนะเว้ยคนนั้นร้องเสียงดังฉิบหาย ใช่ ฟังฉันนะ คนนั้นน่ะ ถ้าแกได้ตอนเสร็จมึงรีบเก็บถุงยาง อ่า… นั่นแหละเชื่อฉัน บอกเลยแม่งโคตรดี แต่ระวังด้วยนะ ว่าแกต้องมั่นใจว่าคนนั้นอะครั้งแรก" พงศกรพูดเรื่องพวกนี้ตอนต่อคิวเข้าแถวโรงเรียน

พัฒน์ไม่พอใจที่คนทำตัวน่าเกลียดแบบนี้ พูดเรื่องแบบนี้ ถึงแม้คนที่กำลังต่อแถวคนอื่นได้ยินเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเตือน เพราะคิดว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง พัฒน์สงสัยว่าแล้วทุกคนยึดคุณค่ากับอะไร ถ้าไม่เคยให้คุณค่าอะไรเลย คำถามมากมายเข้ามากับความโมโห เช้าที่น่าหงุดหงิดและการเข้าสู่ระบบโรงเรียนกระดาษ

ผ่านมา สอง สัปดาห์ ที่พักอาศัยของพัฒน์

ผลลัพธ์ของการทำรักษาโดยเคมีบำบัดเริ่มส่งผลมาที่ร่างกายของพัฒน์ ช่วงเวลาการเติบโตของพัฒน์ย้อนกลับเซลล์ไม่ได้เติบโตต่อในช่วงวัยที่ทุกระบบกำลังเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ตอนอาบน้ำวันนี้ เส้นผมเริ่มร่วงลงบนพื้นกระเบื้อง การไหลของน้ำพาก้อนเส้นผมลงไหลไปกระจุกกันที่ฝาท่อ

พัฒน์เขาไม่ได้เข้าใจถึงความใกล้ความตายของตัวเอง ทั้งที่เขาใช้ชีวิตอยู่ก็เหมือนตายอยู่แล้ว เส้นผมที่บอกถึงลักษณะภายนอก ไม่ได้ช่วยบ่งบอกว่าเขาเป็นใครเท่าไหร่ตั้งแต่แรก และตลอดมา

ครืด ครืด ครืด

ครืด ครืด ครืด

เสียงมอเตอร์ในมือขวาของพัฒน์ คือแบตตาเลี่ยน กลายเป็นเครื่องลบตัวตนเริ่มแทะเล็มส่วนหนึ่งของร่างกายเรื่อย ๆ ด้วยมือเขาเอง เส้นผมของพัฒน์เต็มอ้างล้างมือเซรามิกสีขาว

ความร้อนของลมหายใจออกผ่านจมูกกับความหงุดหงิดรูปลักษณ์ ในการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง การเปลี่ยนผ่านตัวตนมีผลกับเขามากเป็นพิเศษ ต่อให้ที่ผ่านมาจะไม่มีตัวตนแต่การรับรู้ถึงการลดลงของตัวเองเริ่มที่จะกัดกินเขาจากภายในพร้อมกับความเจ็บป่วย

ธนาคารเอกชน ในจังหวัดภูเก็ต ตอนเย็นวันถัดมา

พัฒน์เดินเข้าไปในธนาคาร หนึ่งข้างถนนเส้นหลักในอำเภอเขาเอาเงินบางส่วนจากในฝ้าห้องแม่ที่โรงพยาบาล เอามาบริจาคให้ที่อื่น ที่ที่คนแบบเขาจะมีความหวังขึ้นมาได้ พัฒน์หยิบถุงใส่เงิน เอาไปวางที่ เคาน์เตอร์ธนาคาร

"มีอะไรให้ช่วยคะ"

"บริจาคเงินศูนย์วิจัยผู้ป่วยเนื้องอกในสมอง โรงพยาบาลชลบุรีครับ" พัฒน์ตอบ

พนักงานอึ้งกับจำนวนเงินนิดหน่อย "หมดนี่เลยใช่มั้ยค่ะ"

"ใช่ครับ สิบล้านออกเป็นเช็คนะครับ" พนักงานยื่นสำเนาเช็คเงินสดให้ พัฒน์รับสำเนาเช็คใส่กระเป๋า

ตอนออกจากธนาคาร หน้าประตูกระจก

พัฒน์เห็นรถคันหนึ่งบีบแตรใส่คนแก่ขณะเดินข้ามทางม้าลายหน้าโรงเรียน พร้อมกับตะโกนด่า "เร็ว ๆ ดิวะ โคตรช้าเลย" คนที่ขับคือพงศกร กำลังจะเข้ามาจอดรถในปั๊มตรงข้ามธนาคาร เขาจอดตรงที่จอดรถคนพิการ หยิบกระเป๋าเข้าไปซื้อของในแฟมิลี่มาร์ท

พัฒน์เดินตรงไปที่รถคันนั้น เปิดฝาที่เติมน้ำมันรถ เอาผ้าที่อยู่แถวเช็ดรถที่วางอยู่ยัดตรงฝาเติมน้ำมัน เขาหยิบกล่องไม้ขีดในกระเป๋า ใช้นิ้วโป้งจุดไฟจากไม้ขีดจ่อไปที่ผ้า ความร้อนลงไปในถังน้ำมันควันดำก่อตัวเป็นก้อนออกมาจากหลังรถยนต์

พัฒน์หันหลังเดินออกมา

บู้ม!! เสียงระเบิดเครื่องยนต์รถดังพร้อมก้อนไฟขนาดใหญ่ ปรากฏหน้าแฟมิลี่มาร์ทตรงที่จอดรถคนพิการ

พงศกรเดินออกมาโวยวายในขณะที่รถยนต์ของตัวเองเต็มไปด้วยไฟแสงสีเหลือง ความร้อนเปลวไฟสิ่งที่ทำอันตรายกำลังไล่แผ่นหลังของพัฒน์ พัฒน์คิดว่านั้นคือสิ่งที่คนแบบนั้นควรได้

เพื่อนของพัฒน์บางคนทะเลาะกับที่บ้านอาจหนีออกจากบ้าน ไปนอนบ้านเพื่อนขโมยของเล่นยาหรือต่อยตีแล้วกลับไปคืนดีในอีกปีหรือสักสองสามปีถัดมา พัฒน์ก็อยากทำแบบนั้นนะ ถ้ามีบ้านมีครอบครัว สำหรับเขาเขาพิมพ์อวัยวะและขายมันไปทั่วประเทศกับเป็นเด็กที่มีแม่เป็นเจ้าหญิงนิทรา คนอย่างพวกเขาคนธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจ ว่ามีพัฒน์อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกนั่นแหละคือเหตุผลที่เขาจะทำอะไรก็ได้

พัฒน์คือดวงดาวที่ส่องแสงสว่างในตอนนี้

Next chapter