ตอนที่ 271 เกราะรบหญิง
กู่ฉิงซานกับดาบเช่าหยินลอยไปที่ใด ดาบเล่มแล้วเล่มเล่าก็จะแยกตัวออกเป็นสองฟากฝั่ง แม้จะดูเหมือนเปิดทางให้ ทว่าหากสังเกตดีๆ จะพบว่าแท้จริงแล้วพวกมันกำลังบังคับทั้งสองไปลอยไปยังเส้นทางที่พวกมันเป็นคนกำหนดไว้ต่างหาก
กู่ฉิงซานช่วยไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
เมื่อตัวดาบครอบครองจิตแห่งดาบ มันก็จะใช้เวลาตลอดชั่วชีวิตอยู่ด้วยกันกับผู้ฝึกดาบคู่ใจ
อาจกล่าวได้ว่าจิตแห่งดาบ เปรียบดั่งคู่หูที่คอยเฝ้ามองและเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์ชีวิตส่วนใหญ่ของผู้ฝึกดาบ
มันมิได้เป็นเพียงอาวุธ แต่ยังเป็นสหายและส่วนหนึ่งในครอบครัวของผู้ฝึกดาบอีกด้วย
ทว่าเมื่อผู้ฝึกดาบสิ้นชีพลง จิตแห่งดาบจึงตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังอย่างไม่ต้องสงสัย
กู่ฉิงซานไล่ตามดาบเช่าหยินไปอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดพวกของก็ร่อนลึกลงมาถึงซากปรักหักพังเบื้องล่าง
ที่แห่งนี้ช่างมืดมิด มืดมิดเกินไปจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ แต่ก็พบเพียงซากปรักหักพังที่ว่างเปล่า นอกเหนือไปจากฝุ่นหนาเตอะแล้ว มันไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกเลย
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็ยังมิกล้าประมาทสถานที่แห่งนี้
ระยะห่างจากที่นี่สูงขึ้นไปบนพื้นดิน เท่าที่คาดคำนวณดูแล้ว ความกว้างมันไม่แตกต่างไปจากผืนดินกับผืนฟ้าเลย
อีกทั้งการเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ยังเป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงจิตแห่งดาบนับไม่ถ้วนที่คอยปกปักอยู่ตลอดเส้นทางอีกนะ
“แล้วพวกเราจะต้องทำอะไรกันต่อในตอนนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามดาบเช่าหยิน
ดาบเช่าหยินผละตัวออกจากมือของเขา จากนั้นก็ว่ายวนไปมารอบๆ ซากปรักหักพัง
จนในที่สุดมันก็ร่อนลงบนแท่นเวทีกลางซากปรักหักพัง จากนั้นก็ค่อยๆ ชี้คมดาบหันไปเสียบลงบนผนังที่แตกร้าว
และในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง ก็พลันบังเกิดรังสีแสงกวาดผ่านออกมาจากซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว มันรวดเร็วจนแทบมิอาจสังเกตเห็นได้
ดาบเช่าหยินเคาะลงบนผนังอีกครั้ง
บังเกิดรังสีแสงริบหรี่ขึ้นอีกวูบหนึ่ง
แสงริบหรี่ติดตรึงลงบนดาบเช่าหยิน
และต่อมา ก็บังเกิดเสียงของผู้หญิงที่ฟังดูผ่อนคลายดังขึ้นมาพร้อมกัน “แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นเจ้า…”
แสงริบหรี่เริ่มส่องสว่าง แพร่กระจายและขยายขนาดขึ้น
ไม่นานนัก ทั่วทั้งซากปรักหักพังก็พลันส่องสว่าง
ดาบเช่าหยินลอยกลับมา และตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
ในวินาทีต่อมา ผนังก็พลันแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง พร้อมด้วยประกายแสงสว่างริบหรี่ที่ลอยออกมาอย่างช้าๆ และบินตกลงตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน
รังสีแสงเริ่มกระจายตัวออกไป ส่งผลให้กู่ฉิงซานสามารถเห็นถึงรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้
แท้จริงแล้วตรงข้ามกับเขา มันคือชุดเกราะรบเพรียวบางอันประณีต ทั่วทั้งเกราะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเข้มกับสีดำ พร้อมด้วยเปลวเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุดที่ลุกไหม้อยู่ทั่วตัวเกราะ
เกราะทั้งชุดเปล่งเสียงที่ฟังดูทรงภูมิและน่าประทับใจออกมา แม้มันจะทำแค่เพียงลอยอยู่ตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน ทว่าเขากลับสามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
นี่คือชุดเกราะรบต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธหญิง
ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงคำกล่าวของบาตรพระ ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันบอกว่าจิตอาร์ติแฟคที่เขากำลังจะมาพบเจอที่นี่ มันไม่เหมาะสมกับตัวเขา
ทันทีที่เกราะรบปรากฏตัวขึ้น ดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงหึ่งๆ มันบินฉวัดเฉวียนรอบตัวกู่ฉิงซานอีกครั้ง และอีกครั้ง
กู่ฉิงซานเริ่มตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขายกมือขึ้นประสานกัน และเอ่ยกล่าว “ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสคาดหวังสิ่งใด จึงได้เรียกข้ามายังที่นี่?”
เสียงของผู้หญิงดังออกมาจากเกราะรบ “ข้ามิใช่ร้องขอให้เจ้ามายังที่นี่ แต่เป็นดาบเช่าหยินต่างหากที่คาดหวังให้ข้าได้พบเจอกับเจ้า”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะมันได้รับความเสียหายร้ายแรงจนเกินไป จึงไม่สามารถเอ่ยอธิบายบางเรื่องออกมาได้อย่างชัดเจน ทว่าข้าผู้ซึ่งเป็นเกราะเทพที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ ด้วยพลังที่มี ข้าจึงสามารถสื่อสารกับเจ้าได้เลยโดยตรง”
เสียงของผู้หญิงยังคงเอ่ยต่อ “แล้วตอนนี้ ข้าใคร่อยากจะรู้ชื่อของเจ้า”
“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ได้พบกับผู้อาวุโส”
เสียงผู้หญิง “ตัวข้าเป็นเกราะรบเพลิงคำรณที่ถูกสร้างและตื่นขึ้นในยุคเทพวิญญาณเมื่อสามหมื่นปีมาแล้ว นับพันหมื่นปีที่ผ่านพ้นมา นายแห่งข้าได้ตกตายไปสิ้นแล้ว และแม้ขณะนี้โลกจะกำลังล่มสลาย แต่ข้ากลับยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์”
เมื่อเสียงของเธอตกลง หน้าต่างระบบเทพสงครามของกู่ฉิงซานก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรเด้งขึ้นมา
“คุณได้พบกับราชันแห่งจิตอาร์ติแฟคทั้งมวล”
“ภารกิจที่สามในการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว”
“เริ่มต้นภารกิจที่สี่ ณ บัดนี้”
“คำอธิบายภารกิจ...นี่คือการพบพานที่ไม่เคยขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ คุณได้มายังโลกใบนี้และพบกับจิตอาร์ติแฟคที่ทรงพลังที่สุดเข้าอย่างกะทันหัน การสื่อสารระหว่างคุณและเธอจะเป็นตัวกำหนดโชคชะตาซึ่งกันและกัน”
“วัตถุประสงค์ภารกิจ...ระบบไม่สามารถชี้นำได้ คุณจะต้องเป็นคนกำหนดเป้าหมายด้วยตนเอง”
“คำอธิบายหนึ่ง...ทุกๆ การกระทำใดๆ ของคุณจะนำพาไปสู่อนาคตที่มิอาจคาดเดาได้โดยสมบูรณ์ และในจุดนี้ คุณจำเป็นที่จะต้องคิดคำนึงถึงเป้าหมายในอนาคตของคุณให้ดี”
“คำอธิบายสอง...คุณและเธอห่างชั้นกันอยู่หลายขอบเขต และเธอไม่เต็มใจที่จะให้เพศชายสวมใส่ และที่สำคัญที่สุดวาจาของเธอสามารถสั่งดาบทั้งหมดในเจี้ยนไห้ได้ ดังนั้นโปรดระมัดระวังคำพูดของคุณให้ดี”
กู่ฉิงซานกวาดสายตามองหน้าต่างระบบเทพสงคราม และลอบถอนหายใจเงียบๆ ในจิตใจ
เขาไม่เคยเห็นตัวระบบขาดความรับผิดชอบเช่นนี้มาก่อนเลย แม้กระทั่งเนื้อหาภารกิจมันก็ยังไม่ยอมแพร่งพรายออกมา?
ทว่าเพียงแค่คิดประโยคเมื่อครู่ในจิตใจ ก็บังเกิดเสียง ‘ติ๊ง’ ดังก้องขึ้น
ระบบได้ทำการตอบคำถามของเขา
“ที่แห่งนี้คือโลกที่ไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง ไม่ทราบกระทั่งชะตากรรมของโลก และระบบจะสามารถตัดสินใจเฉพาะเมื่อได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น ต้องเข้าใจด้วยนะว่าระบบไม่ใช่พระเจ้าที่สามารถอำนวยความสะดวกได้ทุกสิ่ง”
กู่ฉิงซานพยายามสงบใจลง และเอ่ยถามภายในจิตใจอย่างเงียบๆ ว่า “แล้วหากเป็นในกรณีที่ว่ามานี้ เช่นนี้ข้าสมควรจะทำเช่นไรจึงจะบรรลุภารกิจได้อย่างสมบูรณ์?”
ติ๊ง!
บนหน้าต่างสถานะปรากฏตัวอักษรบรรทัดหนึ่งเด้งขึ้นมา
“ภารกิจนี้คือภารกิจที่ได้รับมาอย่างกะทันหัน เมื่อเหตุการณ์บางอย่างสิ้นสุดลง ภารกิจก็จะเสร็จสมบูรณ์ไปพร้อมกับมันเอง”
ภารกิจนี้เป็นแค่ตัวชูโรงเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ภารกิจก็จะเสร็จสิ้นลงเหมือนกันอยู่ดีในท้ายที่สุด
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า และทันใดนั้นเขาก็ได้สติกลับคืน พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมภารกิจนี้ถึงไม่มีรางวัลล่ะ
ระบบลืมมอบรางวัลภารกิจให้รึเปล่า?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานบ่นอุบ
ทว่าระบบเทพสงครามกลับเงียบ ไม่รู้ว่ามันกำลังยุ่งอยู่หรือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกันแน่
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตนเอง
เขาจ้องมองไปยังเกราะรบโบราณเพลิงคำรณ แล้วกล่าว “แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ได้มาที่นี่แล้ว เช่นนั้นมีสิ่งใดบ้างที่ข้าสามารถทำเพื่อท่านได้?”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไป เพราะในตอนนี้ข้ามีคำถามที่อยากจะถามเจ้าซะก่อน” เสียงผู้หญิงเอ่ย
“โปรดถาม” กู่ฉิงซานกล่าว
“เหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธบาตรแห่งพุทธะ?” น้ำเสียงของผู้หญิงกลายเป็นแข็งกร้าว
“มีอะไรผิดปกติกับการกระทำนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ในจิตใจของเจ้า ใช่คิดจริงๆ หรือว่าชีวิตและความตายของคนเพียงคนเดียว มันสำคัญยิ่งกว่าชีวิตและความตายของโลกทั้งใบ?” เสียงผู้หญิงกล่าว
“เหตุผลของข้าก็ง่ายๆ โลกจะคุ้มค่าแก่การกอบกู้ เพราะมันมีคนที่หวงแหนอยู่อาศัย” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาเอ่ยประโยคต่อมาอย่างช้าๆ ทว่าน้ำเสียงและการแสดงออกกลับเต็มไปด้วยความมั่นคงมิสั่นคลอน“หากแม้กระทั่งคนที่เราหวงแหนยังมิอาจช่วยเหลือได้ แล้วตัวข้าจะไปกอบกู้โลกทั้งใบได้อย่างไรกัน”
เสียงของผู้หญิงจมลงสู่ความเงียบ
ผ่านไปนาน เสียงของเธอจึงดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าทำให้ข้าระลึกย้อนไปถึงนายหญิงของข้าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน…”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเธอก็อ่อนโยนลง “โลกใบนี้กำลังจะตกลงในมือของผู้อื่น นี่มันเป็นชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง และข้าย่อมไม่มีความคิดเห็นใดๆ”
“แต่พฤติกรรมอันหยาบคายและโหดร้ายของพวกเขา ที่กระทำกับโลกใบนี้ ทำให้ข้าโกรธายิ่งนัก”
กู่ฉิงซานพยักหน้า และเฝ้ารอให้เธอกล่าวต่อไป
เสียงของผู้หญิง “ตอนนี้พวกเขาได้เรียนรู้วิธีการทรมาณจิตอาร์ติแฟคแล้ว”
“ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถออกไปจากโลกใบนี้ได้ตลอดเวลา แต่ข้าก็มิอาจเห็นทนจิตอาร์ติแฟคมากมายต้องทุกข์ทรมานได้”
“หากเจ้ามีวิธีที่จะจัดการกับพวกเขา ข้าย่อมสามารถร่วมมือกับเจ้าได้”
กู่ฉิงซานกล่าวทันที “ข้าย่อมมีวิธีที่จะจัดการกับพวกเขา”
เสียงของผู้หญิงเอ่ยถามออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “โห? เช่นนั้นลองกล่าวให้ข้าฟังหน่อยซี”
“แหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้า” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างรวดเร็ว “ตราบใดที่พวกเราค้นพบแหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้า ก็คงจะมีหนทางที่จะสามารถปลดปล่อยโลกใบนี้ให้หลุดพ้นออกจากที่นี่ และนำไปผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวเข้ากับโลกของข้าได้”
“ด้วยคำกล่าวของเจ้า ในกรณีที่ว่านี้ พวกเราก็จะแข็งแกร่งขึ้น และน่าจะเพียงพอที่จะตอบโต้พวกเขาได้ แต่…”
เสียงของผู้หญิงถอนหายใจ “เจ้าเคยพบเห็นฝนเพลิงแล้วใช่ไหม?”
กู่ฉิงซานชะงักงัน ก่อนจะตอบรับ “ใช่ ข้าเคยได้เห็นมันแล้ว”
“นั่นคือสิ่งที่คนจากภายนอกกำลังใช้หลอมกลั่นโลกใบนี้ในแต่ละวัน”
เธอเอ่ยต่อ “เทคนิคลับที่เจ้ากล่าวถึงแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้า ข้าย่อมรู้จักมันดี แต่กระบวนของผสานรวมกันระหว่างสองโลกมันยาวนานเกินไป ข้าเกรงว่ามันจะไม่มีเวลามากพอ”
...................................................