webnovel

ตอนที่38.

หลังจากจบสงครามลงไปเพียงหนึ่งวันผู้คนต่างทยอยสวมเสื้อสีขาวดำเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับผู้ที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ ในลานกว้างใหญ่เต็มไปด้วยโลงสีขาวที่จัดวางเป็นระเบียบกว่าหมื่นโลง ด้านบนมีช่อดอกไม้ที่ครอบครัวนำมาวาง ด้านหน้าคือกรอบรูปภาพของผู้เสียชีวิต

หลงจือหยางนำกิลด์หมื่นดาบเข้าร่วมไว้อาลัยพร้อมกับคนรักอย่างเยว่ชิงที่นำกิลด์ตำหนักเทพอสูร ทุกสายตาย่อมจับจ้องมาที่ตัวเอกของงานผู้ที่ยืนหยัดสี่คนสุดท้ายในการต่อสู้

เป็นอีกครั้งที่หลงจือหยางคือวีรบุรุษของผู้คนพร้อมด้วยคนรักที่นาทีนี้ไม่มีใครกล้าพูดว่าไม่เหมาะสมกัน

พิธีการจบลงด้วยความตรึงตราตรึงใจต่อผู้คน รายชื่อนับหมื่นนับแสนที่ต่อสู้ในครั้งนี้จะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ส่งต่อเรื่องราวเหล่านี้ไปที่กลุ่มคนรุ่นหลัง

ร้อยสามเสาหลักเปิดประชุมชั่วคราวที่มหาลัย เป็นอีกครั้งที่นักศึกษาเข้ามาจัดเตรียมพื้นที่พร้อมทั้งน้ำและอาหารรองรับ คนในกิลด์บางส่วนไปรอที่กิลด์ บางส่วนเข้าร่วมหารือต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครั้งนี้หลงจือหยางจะเป็นคนพูดและแจกแจงรายละเอียดแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับภารกิจของเยว่ชิงที่จะเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้น 

ในที่ประชุมหลงจือหยางเล่ารายละเอียดของหอคอยในชั้นบนสุดแต่ไม่ได้เล่าออกไปทั้งหมด ในที่ประชุมร่วมโหวตก่อนจะสรุปออกมาเป็นข้อๆโดยมีความสำคัญดังนี้

กลุ่มกบฏถูกควบคุมด้วยผู้ที่สร้างดันเจี้ยนและหอคอยขึ้นมา ยามที่ดันเจี้ยนมังกรเปิดออกเจ้าสิ่งนั้นกล่าวว่าให้สยบต่อเทพเจ้า หลงจือหยางจึงวางกลยุทธ์ง่ายๆว่าท่าอีกฝ่ายเป็นเทพเจ้าจริงๆการจะฆ่าคนทั้งโลกในพริบตาคงทำได้แน่นอน 

เพราะฉะนั้นตัวตนที่อยู่ในชั้นบนสุดอาจจะไม่ใช่เทพเจ้าและพลังอำนาจไม่มากพอ จึงไม่สามารถออกจากหอคอยได้ จากการคาดเดาของหลงจือหยางเองเลยกลายเป็นว่าหากมีการตายเกิดขึ้นเช่นเดียวกับผู้ที่ถูกควบคุม มีสิทธิ์ที่พลังวิญญาณจะถูกดูดไปที่หอคอยเช่นกัน

เพราะงั้นการเคลียร์หอคอยในชั้นถัดๆไป จึงมีการร่วมโหวตให้ทำการโจมตีพร้อมกันทั้งหมดและเคลียร์แต่ละชั้นโดยเร็วที่สุด 

ผู้คนที่เข้าร่วมประชุมไม่มีใครขัดแย้งต่อคำพูดของหลงจือหยาง หนึ่ง....กลุ่มคนปกติที่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังคืออะไร และสอง...กลุ่มคนที่กบฏที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้เพื่อหาแนวทางเฝ้าระวัง

หลงจือหยางไม่เกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะเล่นสกปรก แถมตอนนี้เขายังยั่วยุให้อีกฝ่ายโมโหแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งตัวตนของหลงจือหยางท้าทายอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ ไฟแค้นก็จะปะทุขึ้นได้ง่ายๆและตลอดเวลา

เยว่ชิงได้แต่ยิ้มกับความฉลาดของหลงจือหยางที่มีศิลปะทางคำพูด นอกจากจะทำให้ฝ่ายกบฏโมโหจนแทบกระอักเลือด ยังช่วยเร่งเวลากำจัดเจ้าเทพโง่นั่นอีกด้วย ยิ่งฟังคนรักพูดมากเท่าไหร่ ปลายจมูกของเยว่ชิงก็เชิดมากขึ้น

ไม่ค่อยจะภูมิใจและอยากโอ้อวดเท่าไหร่ว่าคนรักของเขาดีที่สุด เลิศที่สุด เก่งที่สุด

เมื่อมติในที่ประชุมเป็นเอกฉันท์การบุกหอคอยชั้นถัดไปจึงเริ่มในวันพรุ่งนี้สำหรับคนที่พร้อม โดยที่หินวิญญาณหลงจือหยางแจกแจงถึงบุคคลทั่วไปที่อยู่ระดับFให้เลื่อนระดับEเพื่อเป็นการปกป้องตัวเองในกรณีที่ดันเจี้ยนแตก

"อย่าลืมว่าหินวิญญาณในชั้นที่สิบขึ้นไปมันมีพลังวิญญาณสองเท่าของชั้นที่หนึ่งถึงเก้า พอชั้นที่ยี่สิบก็คงสามเท่า"เมื่อหลงจือหยางพูดจบแต่ละคนก็ตาวาววับ

จากปกติการยกระดับต่ำสุดไประดับต่อไปของบุรุษหรือสตรีจะใช้ประมาณหนึ่งร้อยก้อน แต่หากสองเท่าของพลังวิญญาณก็ใช้เพียงห้าสิบก้อนเท่านั้น

หลงจือหยางยกยิ้มมุมปากก่อนจะพูดต่อไป

"ยิ่งชั้นสูงขึ้นมากเท่าไหร่ทรัพยากรก็มากตามไปด้วย เกรงว่าแต่ละชั้นจะกว้างกว่าชั้นแรกๆอยู่มาก เพราะเจ้านั่นต้องการแรงกระตุ้นให้คนเข้าหอคอย"เพียงเท่านี้หลงจือหยางก็บรรลุวัตถุประสงค์

"ฉันเห็นด้วยทุกกรณี"

"ฉันด้วย"

"เช่นกัน"

เมื่อจบการประชุมหลงจือหยางก็พาเยว่ชิงกลับห้อง ใบหน้าหล่อเหลาซุกหน้าท้องคนรักอ้อมแขนแกร่งโอบเอวบางเอาไว้ เยว่ชิงมองหลงจือหยางที่คุกเข่ากอดเขาไว้ ก็ใช้นิ้วมือสางผมให้คนรักเบาๆ

"อย่ากลัวไปเลยนะครับ"เยว่ชิงยิ้มออกมานิดๆเมื่อรับรู้ถึงคลื่นอารมณ์ที่แผ่ออกมา คงเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเขามีเลือดท่วมตัว หลงจือหยางเลยจำภาพนั้นติดตาและกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

"เราต่างก็ได้พลังเทพคืนมา ถึงจะไม่ทั้งหมดแต่ผมก็ไม่อ่อนแอนะครับ นี่นะคือเทพจิ้งจอกเชียวนะ"เยว่ชิงหัวเราะคิกคัก หลังจากแสงสีขาวโอบล้อมร่างกายของเขายังถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆและนิสัยของเขาในตอนเป็นเทพอีกด้วย

"แม่ทัพสวรรค์ ลูกแอปเปิ้ลที่ข้าขโมยจากตำหนักบิดาสวรรค์อร่อยรึไม่"เทพจิ้งจอกซุกซนไปตามเรื่องราว เพราะความซนจนได้เจอกับแม่ทัพสวรรค์ผู้ที่หล่อเหลาที่สุดบนแดนเทพ

"จิ้งจอกน้อย ข้ายังไม่ได้กิน นั่นของบิดาสวรรค์"หลงจือหยางพูดกับคนรักก่อนจะบีบปลายจมูกคนรัก ตอนนั้นแทบจะพาอีกคนขังคุกข้อหาขโมยผลไม้ของบิดาสวรรค์

"ฮึ่ม ท่านนี่มันน่าโมโหจริงๆ แต่ว่าคิดไม่ถึงเลยนะครับพี่เสวียนอวี้คือเทพมารสังหาร แต่ว่านะสองคนนั้นไปรู้จักกันตอนไหนเวลาอยู่ดินแดนเทพ"เยว่ชิงขมวดคิ้วเล็กๆ ตอนที่ไปวิ่งเล่นคุยกับมารอสูรจิวอิง ตอนนั้นไม่เคยเจอเทพมารสังหารสักครั้ง

หลงจือหยางลุกขึ้นนั่งข้างๆโอบกอดคนรักที่ตอนนี้หูและหางทั้งเก้าโผล่ออกมาที่ด้านหลัง ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นเคย ตอนอยู่ดินแดนเทพเขาในฐานะแม่ทัพสวรรค์ไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ต่อใคร แต่มีคนหนึ่งที่คอยกวนใจตลอดเวลา

เทพจิ้งจอกเก้าหางที่ตนมักจะรำคาญในช่วงแรกก่อนจะกลายเป็นความอุ่นใจที่เห็นอีกฝ่ายเจื้อยแจ้วได้ตลอดเวลา

"งืม ถ้าอยู่ดินแดนเทพผมต้องเป็นฝ่ายรุกพี่ก่อนแน่ๆ พอโดนพี่รุกก่อนแบบนี้ก็รู้สึกดีสุดๆไปเลยครับ"เยว่ชิงใช้หัวถูไถไปตามหน้าอกอีกฝ่ายก่อนจะเงยหน้าพรบจูบปลายคาง

"เมื่อเรากลับไป พี่จะชดเชยให้"

"ฮิฮิ พูดแล้วนะครับ ถ้าท่านแม่ทัพสวรรค์ไม่ขอเทพจิ้งจอกแต่งงาน ผมจะไปโวยวายกับบิดาสวรรค์"หลงจือหยางคลี่ยิ้มออกมา นี่สิถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของคนรัก แม้ตอนเกิดมาจะมีนิสัยแบบนี้แต่เพราะดันเหลือตัวคนเดียวเลยได้แต่ซุกซ่อนตัวตนเอาไว้

"ครับ วันนี้เราพักผ่อนกันก่อนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ไปเคลียร์ดันเจี้ยนกัน"

"ครับผม"

ช่วงเช้าผู้คนที่สามารถต่อสู้ได้ต่างก็มารวมตัวกันที่หอคอย โดยเฉพาะเกอหลายร้อยคนที่เกาเทียนเย่ไปเกณฑ์เข้ามาใหม่ แน่นอนว่าคนในกิลด์หมื่นดาบประกบแบบตัวต่อตัว เพื่อให้เกอหลายร้อยคนนี้ได้สร้างผลงานให้มากที่สุด

"เมื่อวานร้อยสามเสาหลักประกาศออกไปเรื่องของการชวนบุรุษและสตรีในการยกระดับ ทางตำหนักเทพอสูรเลยประกาศออกไปบ้างโดยขอความร่วมมือกับกิลด์หมื่นดาบ"เสวียนอวี้บอกกับเยว่ชิงที่ยืนมองเกอเกือบพันคนที่ยืนรวมกัน

"ทำไมประกาศออกไปแค่บุรุษกับสตรี"พูดจบก็เอียงคอสงสัย 

"ขั้นต่ำการใช้หินวิญญาณ ทางร้อยสามเสาหลักเลยให้กิลด์ตำหนักเทพอสูรตัดสินใจ"

"แล้วใจแล้วละ"จิ้งจอกขาวพยักหน้างึกงัก บางคนก็ใช้หินวิญญาณน้อยนิด บางคนก็ใช้มหาศาล

"ไม่ต้องห่วงคนในกิลด์หมื่นดาบแค่กระทืบอสูรแล้วลากมาให้เกอเหล่านี้ฆ่า ส่วนพวกเราก็ยืนดูเฉยๆ"เสวียนอวี้คว้ามือจิวอิงขึ้นมาจูบแผ่วเบาหลังพูดจบ มารอสูรจิวอิงที่ได้ความทรงจำคืนมาทั้งหมดก็ได้แต่ยิ้มเขินๆ

จิ้งจอกขาวตัวน้อยไหนเลยจะยอมยื่นมือไปทางหลงจือหยาง แน่นอนว่าไม่ทำให้ผิดหวังนอกจากจะจูบแล้วยังทาบทับใบหน้าให้แนบลงที่ฝ่ามือแล้วถูแก้มตัวเองไปอีกด้วย

คนอื่นๆ"..."แจกอาหารหมา ไม่เกรงใจใครจริงๆ อิ่มมากแต่ไม่ขอบคุณ

"ไปกันเถอะ เลิกสนใจไอ้พวกมีคู่"เฉินจงอีได้แต่แค่นเสียงหัวเราะ รอให้กูมีบ้างเถอะ จะอวดเช้าอวดเย็นแม่งเลย...หมั่นไส้

คนอื่นๆได้แต่ส่ายหน้า อิจฉาก็พูดมาเถอะท่านเฉินจงอี โดยเฉพาะคนในกิลด์อัศวินสีชาดที่แทบจะยกมือกุมขมับที่หัวหน้ากิลด์เป็นแบบนี้

ไม่นานพวกเขาก็ทยอยขึ้นมาที่ชั้นสิบเอ็ด เมื่อบานประตูเปิดออกก็ได้ยินเสียงเก่าแก่แบบเดิมดังขึ้น

{ ผู้เข้าร่วมท้าทายหอคอยชั้นที่สิบเอ็ด ไม่สามารถกลับออกไปได้ตราบใดที่บอสยังไม่ตาย ผู้ที่พิชิตจะได้รับสินสงครามตามสมควร อีกสิบนาทีเตรียมการปะทะ}

เมื่อเอ่ยจบบานประตูก็ปิดลง หลงจือหยางจับมือเยว่ชิงยืนอยู่ด้านหลัง ไม่คิดเข้าร่วมนอกจากจะมีคนตกอยู่ในอันตรายจริงๆถึงจะลงมือ

เมื่อครบสิบนาทีหมาป่าจำนวนมากก็ปรากฏพร้อมผู้นำทัพอย่างหมาป่าตัวยักษ์ที่สูงราวๆสี่เมตรกว่าๆ ถ้าเป็นชั้นที่ยี่สิบพวกมันอาจจะเป็นแม่ทัพที่ยืนเคียงข้างบอสประจำชั้น

"โจมตี"เฉินจงอีพูดขึ้น ผู้คนก็แยกย้ายกันออกไป เมื่อผ่านความเป็นความตายจากดันเจี้ยนมังกรความคมและความแม่นยำของฝีมือพวกเขาก็พัฒนามากขึ้นไปอีกขั้น ในขณะที่บุรุษในกิลด์หมื่นดาบทำการทุบตีให้ลากมาให้เกอที่จับคู่ได้เป็นคนฆ่า

เยว่ชิงยืนพิงหลงจือหยางมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นเต้น มองดูเกอกระต่ายสุดน่ารักกระโดดขึ้นลงกระทืบหมาป่าก็ได้แต่ปิดปากเมื่อเจอความน่ารักเข้าไปเต็มๆและดูเหมือนบุรุษที่จับคู่จะโดนตกไปเสียแล้ว

ตามที่หลงจือหยางกล่าวไว้ว่าชั้นนี้ต้องมีขนาดกว้างกว่าและของรางวัลย่อมดีกว่า เมื่อเคลียร์ชั้นนี้จบแต่ละคนก็แยกย้ายเพื่อไปดูดซับหินวิญญาณเร่งการยกระดับ

เพียงแค่วันเดียวผู้ที่ข้ามผ่านระดับFไประดับEก็นับพันคน ระดับEไประดับDนับร้อยคนและที่สำคัญระดับDไประดับCได้มากถึงยี่สิบคน นี่นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทางร้อยสามเสาหลักประกาศออกไป

และยิ่งทำให้ผู้คนกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมโดยเฉพาะคนระดับFที่อยากยกระดับจิตวิญญาณ ไม่เพียงแค่ปกป้องตัวเองได้แต่ยังปกป้องครอบครัวได้อีกด้วย

ตลอดสามวันที่ผ่านมามีการเคลียร์หอคอยในทุกๆวัน โดยที่ไม่มีสิ่งใดออกมาขัดขวาง ไม่ว่าจะเป็นดันเจี้ยนหรือกลุ่มกบฏก็ตาม

"ดูเหมือนคลื่นลมสงบก่อนพายุจะมาเลยนะครับ"เยว่ชิงย่นจมูก สัญชาตญาณของเขามันบอกว่าจะมีเรื่องวุ่นๆมาในเร็ววัน