บทที่ 6 กลับมาเป็นตัวของตัวเอง
เยี่ยหวันหวั่นเห็นท่าทางตกใจเหมือนเห็นผีของสวี่อี้
เธออ้าปากคล้ายอยากจะพูดอะไร ผลที่ได้คือสวี่อี้รีบทำสัญญาณมือห้ามส่งเสียง จากนั้นก็พนมมือทำท่าขอร้อง ขยับปากบอกว่า คุณชายเก้าไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว!
ไม่ได้นอนมาสามวัน?
หรือว่าโกรธเรื่องที่เธอคิดจะหนี?
ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ เธอไม่เคยละทิ้งความพยายามที่จะหนีเลย ครั้งนี้เป็นโอกาสที่เธอได้เข้าใกล้อิสรภาพที่สุด อีกนิดเดียวก็จะได้ขึ้นเรือโดยสารไปต่างประเทศแล้ว...
แต่สิ่งที่ต้องจ่ายไปก็เป็นความสาหัสสากรรจ์เช่นเดียวกัน
เมื่อก่อนแม้ว่าซือเยี่ยหานบังคับให้เธออยู่ข้างกายเขา แต่ก็ไม่เคยแตะต้องเธอสักครั้ง เหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนเป็นครั้งแรก
เรื่องนี้ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงคิดมาตลอดว่าการแต่งตัวอำพรางรูปลักษณ์ใช้ได้ผล
ทางด้านสวี่อี้เพิ่งจะถอนใจโล่งอก เสียงมือถือก็พลันดังขึ้นมาภายในห้องรับแขกอันเงียบสงบ ไม่ต่างจากเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง
สวี่อี้สะดุ้งอกสั่นขวัญหาย แทบอยากจะปามือถือทิ้งไปซะ รีบกดปุ่มปิดเครื่องไปเลยทันที
แต่ว่าสายไปเสียแล้ว
ปีศาจตัวใหญ่บางตัวถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ดวงตาที่ลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ นั้นว่างเปล่าไร้ความรู้สึกของมนุษย์ เวลาจ้องมองมาทางเขาราวกับมองสิ่งที่ตายแล้ว สวี่อี้รู้สึกเหมือนโลหิตทั่วร่างถูกแช่แข็ง
เยี่ยหวันหวั่นก็ตกใจแทบแย่!
อารมณ์หลังตื่นนอนของซือเยี่ยหานน่ากลัวถึงขั้นน่าหวาดหวั่น ยิ่งถ้าถูกคนปลุกกลางคัน นั่นน่ากลัวเหมือนวันสิ้นโลกเลยทีเดียว
ภายใต้จิตใจที่ว้าวุ่น จิตใต้สำนึกของเยี่ยหวันหวั่นสั่งให้เธอยื่นมือไป ปิดตาของซือเยี่ยหานเหมือนกับที่ครอบหู ส่วนอีกมือกดศีรษะเขากลับลงมาที่หัวไหล่ของตัวเองอีกครั้ง พร้อมใช้นิ้วลูบเส้นผมนุ่มของชายหนุ่มเบาๆ พลางเอ่ย “ไม่เป็นไร...นอนเถอะ...”
ผ่านไปหนึ่งวินาที...
ผ่านไปสองวินาที...
ผ่านไปสามวินาที...
ซือเยี่ยหานไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
รอไปอีกสักพัก เยี่ยหวันหวั่นเก็บมือข้างนั้นที่ปิดตาเขาไว้กลับมาอย่างระแวดระวัง สิ่งที่ได้เห็นต่อมาก็คือ ชายหนุ่มหลับตานิ่งสงบ หลับลึกใหม่อีกครั้ง
ในที่สุดโลหิตที่ถูกแช่แข็งของสวี่อี้ก็ไหลเวียนได้อีกครั้ง เขาเกือบทรุดลงไปแล้ว สายตาที่มองเยี่ยหวันหวั่นเจือความซาบซึ้งใจ
เยี่ยหวันหวั่นรักษาท่าทางเช่นนี้ไปตลอดทั้งคืน
เธอไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน กระทั่งตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ตัวเธอนอนอยู่บนเตียงในห้องนอนใหญ่ และภายในห้องก็ไม่มีเงาของซือเยี่ยหาน
เยี่ยหวันหวั่นขยี้ตาแล้วลุกขึ้นนั่ง ผลลัพธ์คือมือไปขยี้โดนอายไลน์เนอร์และขนตาปลอม อีกทั้งอายแชโดว์ประกายแวววาว
เด็กผู้หญิงคนไหนบ้างไม่รักสวยรักงาม แต่เพื่อ ‘รักษาตนให้บริสุทธิ์ดั่งหยก’ เก็บไว้ให้กู้เยว่เจ๋อ ขอเพียงซือเยี่ยหานอยู่บ้าน แม้แต่ตอนนอนเธอยังไม่กล้าล้างเครื่องสำอางออก
ตอนนี้เมื่อรู้แล้วว่าการทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์ เธอกลับรู้สึกเหมือนหลุดพ้น
ในที่สุดเธอก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองได้แล้ว...
ตั้งแต่อายุสิบแปด อายุที่เด็กผู้หญิงทั่วไปเบ่งบานราวดอกไม้ เธอก็ไม่เผยหน้าสดให้ใครได้เห็น เธอเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ารูปลักษณ์ที่แท้จริงของตัวเองเป็นอย่างไร
สิ่งแรกคือรอยสักน่ากลัวผืนใหญ่บนร่างกาย
โชคดีที่ตอนนั้นเธอกลัวเจ็บ จึงไม่ได้เชื่อคำพูดของเฉินเมิ่งฉีไปสักถาวรอะไรแบบนั้น รอยสักบนร่างของเธอประเภทนี้ใช้น้ำยาชนิดหนึ่งล้างออกได้
เยี่ยหวันหวั่นใช้เวลาหานานกว่าครึ่งวัน ในที่สุดก็ค้นหาน้ำยาในกล่องที่เต็มไปด้วยสิ่งของเบ็ดเตล็ดจนเจอ จากนั้นหยิบน้ำยาลบรอยสัก น้ำยาเช็ดเครื่องสำอาง อุปกรณ์เช็ดเครื่องสำอาง และแผ่นมาส์กหน้าที่ซือเยี่ยหานเคยให้มา ก่อนจะเข้าห้องอาบน้ำไป
อันดับแรก เธอแกะหมุดแบบติดกับหูเจ็ดแปดวง และตุ้มหูโลหะที่หนักแทบตายออกไปก่อน ตามด้วยสร้อยคอเหมือนโซ่จูงสุนัข จากนั้นจึงลบเครื่องสำอาง สุดท้ายเทน้ำยาลบรอยสักลงในอ่างอาบน้ำ ก่อนจะลงไปแช่ตัว...
……….………………………………………..