บทที่ 27 ฉันขอยอมแพ้
ยัยผู้หญิงสมควรตายคนนี้ ใบหน้าแบบนั้นเดิมทีก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว วันนี้ยังจะแต่งชุดขาวทั้งตัวอีก กลางวันแสกๆ ยังทำให้คนตกใจแทบตายได้แบบนี้
สำหรับคนหน้าตาดีอย่างเขา ใบหน้าแบบนี้ของเยี่ยหวันหวั่นเรียกว่าถึงขั้นเอาชีวิตได้เลย
เพราะความทรงจำช่วงหนึ่งในวัยเด็ก เขามีปมรุนแรงเรื่องหน้าตาดี มักจะมีความรู้สึกใกล้ชิดอย่างเป็นธรรมชาติกับคนที่หน้าตาดี
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาจะพูดคุยกับคนหน้าตาดี ฟังแต่คนหน้าตาดี เวลาสาวใช้ที่หน้าตาดีป้อนข้าวให้ เขาจะกินได้หลายคำ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทางบ้านเปลี่ยนมารับสาวใช้หน้าตาไม่ค่อยดีคนหนึ่ง เขาไม่ยอมกินข้าวสักคำ เกือบทำให้ตัวเองอดอาหารจนตายแล้ว
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าการได้เห็นหน้าของเยี่ยหวันหวั่นแบบนั้นทุกวัน สำหรับเขาแล้วเป็นความทุกข์มากแค่ไหน
แต่เวลาที่เยี่ยหวันหวั่นเห็นซือเซี่ย กลับรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เธออุดอู้อยู่ในหอพักเพื่ออ่านหนังสือมาเจ็ดวันเจ็ดคืน ตาล้าแทบจะบอดอยู่แล้ว
เวลาที่เด็กคนนี้ไม่พูดจา ใบหน้าที่ถ่ายทอดพันธุกรรมดีจากตระกูลซือมาช่างเจริญตามาก
เยี่ยหวันหวั่นยกมุมปากให้เขา “ไม่คิดเลยว่าคุณชายแห่งชิงเหอของพวกเรากลัวผีด้วย?”
ท่าทางที่ยิ้มขึ้นมายิ่งดูน่ากลัว...
ซือเซี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก เบนสายตาไปทางอื่นเพราะเกินกว่าจะทนดูได้ ก่อนแค่นเสียงเย็นชา “ก็รู้ตัวเองดีนี่ เธอรู้ด้วยเหรอว่าเธอเหมือนผี?”
ครั้งนี้ไม่ว่าจะอย่างไรเขาต้องสอบให้ได้อันดับที่ห่างจากเธอไกลๆ!
สถานที่ผีๆ แบบนี้ ต่อให้อีกแค่วันเดียวเขาก็ทนอยู่ไม่ไหวแล้ว!
เสียงออดดังขึ้น อาจารย์คุมสอบเริ่มแจกข้อสอบ
ช่วงเช้าของวันแรกเป็นการสอบวิชาสังคม เยี่ยหวันหวั่นมองดูข้อสอบตั้งแต่ช่วงหัวกระดาษไปถึงท้ายกระดาษ จากนั้นเริ่มตอบคำถาม
หางตาของซือเซี่ยเหลือบไปเห็นว่าเยี่ยหวันหวั่นหยิบปากกาขึ้นมาทำข้อสอบจริงๆ นัยน์ตาก็ฉายแววประหลาดใจ
ทุกคนต่างรู้กันว่าทุกครั้งเยี่ยหวันหวั่นจะส่งกระดาษเปล่า
ขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น เมื่อเห็นชัดเจนว่าเยี่ยหวันหวั่นทำข้อสอบอย่างไร ชายหนุ่มมุมปากกระตุกโดยพลัน
เธอกำลังตอบคำถามที่ไหนกัน เธอกำลังตอบมั่วต่างหาก
เขียนตอบ ABCD เร็วอย่างกับเหาะ คาดว่าคงไม่ได้อ่านโจทย์ด้วยซ้ำ เป็นการพึ่งดวงชัดๆ
ชายหนุ่มแอบแขวะไปคำหนึ่ง ‘ยัยโง่’
หากคิดอยากจะพึ่งดวง สู้ตอบ B ไปทั้งหมดยังจะมีโอกาสตอบถูกมากกว่า หากโชคไม่ดี การมั่วคำตอบแบบนี้จะยิ่งเป็นการเลี่ยงคำตอบที่ถูกต้องทั้งหมดเสียอีก
ซือเซี่ยไม่สนใจยัยโง่ไม่น่ามองที่อยู่ข้างๆ อีก เขาเริ่มมาตั้งใจทำข้อสอบของตัวเอง
เวลาในการสอบวิชาสังคมคือหนึ่งร้อยห้าสิบนาที เป็นการสอบตลอดทั้งช่วงเช้า ตามมาด้วยช่วงบ่ายที่เป็นการสอบวิชาภาษาอังกฤษ
ช่วงเช้าของวันที่สองเป็นการสอบวิชาภาษาจีน ช่วงบ่ายเป็นการสอบวิชาสุดท้ายคือคณิตศาสตร์
เยี่ยหวันหวั่นจ้องข้อสอบคณิตศาสตร์ มองแล้วมองอีก โจทย์ฟังก์ชัน พีชคณิต เรขาคณิตเหล่านั้น เป็นเหมือนไวรัสที่กวนสมองของเธอจนเกือบกลายเป็นควันอยู่แล้ว
เยี่ยหวันหวั่นเวียนหัว ตาลายเห็นดวงดาว เธอพยายามฝืนตัวเองอยู่สามวินาที ก็ตัดสินใจฟุบศีรษะลงกับข้อสอบและผล็อยหลับไป
ทำไมโลกใบนี้ต้องมีวิชาคณิตศาสตร์ที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ด้วย!
แม้ว่าเธอจะเป็นคนความจำดี แต่ช่วงเวลาเจ็ดวัน การอ่านหนังสือเรียนตลอดสามปีจนจบเล่มได้ก็เป็นเวลาที่กระชั้นพอควรแล้ว คิดจะทบทวนวิชาคณิตศาสตร์ในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ ดังนั้นเธอจึงเลือกทิ้งวิชานี้ไปเลย
เสียงออดหมดเวลาดังขึ้น การสอบวิชาสุดท้ายผ่านพ้นไปแล้ว
ซือเซี่ยเหลือบมองด้านข้างทีหนึ่ง พบว่าคนบางคนใช้กระดาษคำตอบวิชาคณิตศาสตร์ที่ว่างเปล่ามาหนุนแทนหมอน นอนหลับไม่สนใจฟ้าดินไปนานแล้ว
เขายังคิดไปว่าเธอเริ่มทำข้อสอบมากน้อยก็เพราะอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง สันดอนขุดได้ สันดานขุดไม่ได้จริงๆ!
หลังจากส่งกระดาษคำตอบ นักเรียนทุกคนต่างรู้สึกโล่งตัวเบา
“ในที่สุดก็สอบเสร็จสักที ปลดปล่อยได้แล้ว!”
“ที่สำคัญคือในที่สุดเทพบุตรจะกลับไปนั่งตำแหน่งเดิมได้แล้ว เยี่ยหวันหวั่นยัยตัวประหลาดนับวันยิ่งอัปลักษณ์จนน่าตกใจ ซือเยี่ยโชคร้ายสุดๆ เมื่อเช้าตกใจจนหน้าซีดไปหมดเลย!”
“อาศัยความสามารถสอบได้ที่โหล่ไม่ใช่เหรอ? ดูสิว่ารอบนี้ยังจะตามติดซือเซี่ยไม่ยอมปล่อยได้อีกไหม!”
“พวกเธอคิดมากเกินไปแล้ว ไม่ต้องรอให้คะแนนออกเธอก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียนแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกอาจารย์มัวแต่ยุ่งอยู่กับการสอบ ไม่มีเวลามาสนใจ ตอนนี้การสอบจบลงแล้ว จะไม่มาจัดการเธอได้เหรอ?”
“น่าเสียดายที่กำจัดเธอไปก่อนการสอบไม่ได้ ครั้งนี้คะแนนเฉลี่ยของห้องเราต้องถูกนางฉุดให้ต่ำลงอีกแน่เลย”
................................................................