บทที่ 11 ทำให้พวกคุณตกใจหรือเปล่า
เพียงชั่วพริบตา บรรยากาศในห้องค่อยๆ หยุดชะงัก เหมือนสถานการณ์ของเธอกับซือเยี่ยหานจะกลับไปเป็นเหมือนก่อนเธอจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
บุคคลตรงหน้าและความน่าเกรงขามแต่กำเนิดเริ่มรุกล้ำร่างกายเธอ
โชคดีที่เวลานี้ มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากด้านนอก ทำลายบรรยากาศอึมครึมลง
สวี่อี้พาพวกคนสวน นักจัดดอกไม้ คนงานก่อสร้างและอื่นๆ เดินเข้ามาในห้องรับแขก “คุณชายเก้าครับ เรื่องการซ่อมแซมสวน...เอ่อ...”
สวี่อี้พูดได้เพียงครึ่งเดียวก็พลันหยุดชะงัก เมื่อเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของซือเยี่ยหาน คนรับใช้ด้านหลังเขาก็มองหน้ากันไปมา
ไม่เพียงแปลกใจกับหน้าตาสะสวยของผู้หญิงคนนี้ ทว่าทุกคนรู้ดี เจ้านายเป็นโรครักความสะอาดขั้นรุนแรง ยิ่งกับผู้หญิงด้วยแล้วใหญ่ เขารังเกียจถึงขีดสุด ผู้หญิงที่ปรากฏตัวในรัศมีสามก้าวของเจ้านายได้มีเพียงเยี่ยหวันหวั่น ผู้หญิงคนอื่นต่อให้สวยปานนางสวรรค์ก็เข้าใกล้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน?
เยี่ยหวันหวั่นมองสวี่อี้ แล้วมองคนรับใช้เหล่านั้น กัดเกี๊ยวกุ้งไปหนึ่งคำ ก่อนเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด “คือว่า วันนี้ฉันลืมแต่งหน้า ฉันทำให้พวกคุณตกใจหรือเปล่า?”
เยี่ย...เยี่ยหวันหวั่น!
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยนี้แล้ว ทุกคนตกใจจนงงงวย ไม่เว้นแม้แต่สวี่อี้ด้วย
ผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นแม้ดูน่าเวทนาเกินจะมอง แต่กลับมีเสียงที่ไพเราะนุ่มนวล ราวกับสายน้ำที่ใสสะอาดของเจียงหนาน
แต่ว่าเสียงน่าฟังเช่นนี้ กลับทำให้พวกเขาได้ยินแล้วรังเกียจโดยอัตโนมัติ ถึงอย่างไรตั้งแต่ที่ผู้หญิงคนนี้มาอยู่ที่สวนจิ่นหยวน พวกเขาที่เป็นคนรับใช้เหล่านี้ก็พลอยรับเคราะห์ไปด้วยไม่น้อยเลย
คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงหน้าสดแต่ยังสวยราวบุปผาอิ่มน้ำที่นั่งอยู่ข้างเจ้านายในตอนนี้จะเป็นเยี่ยหวันหวั่น?
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของทุกคน เยี่ยหวันหวั่นทำท่าคิดหนัก “การแต่งตัวของฉันเมื่อก่อนดูดีกว่าจริงๆ สินะ? ฉันจำได้ว่าตอนย้อมผมสีเขียว พวกคุณตกตะลึงในความสวยของฉันไปเลย ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันเปลี่ยนกลับไปย้อมเหมือนเดิมดีไหม?”
ตกตะลึงในความสวยที่ไหนกัน พวกเราตกใจจนขนหัวลุกชัดๆ!
ในที่สุดสวี่อี้ก็ได้สติ ส่ายศีรษะเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ คุณหนูทำแบบนี้สวยมากเลยครับ”
อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า เยี่ยหวันหวั่นที่ไม่แต่งหน้าแต่งตัวจะเป็นแบบนี้
เพราะฉะนั้นคุณหนูเยี่ยตรงหน้าคนนี้ ตลอดมาไม่ใช่ปัญหาเรื่องรสนิยม แต่เป็นปัญหาที่สมองอย่างนั้นเหรอ?
สายตาของเจ้านายก็ร้ายกาจเกินไปแล้ว มองทะลุเครื่องสำอางที่หนากว่ากำแพงจนเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเธอได้อย่างไร?
ถ้าหากเยี่ยหวันหวั่นรู้ความคิดของสวี่อี้ในเวลานี้ คงจะบอกเขาว่า เจ้านายของนายไม่ต้องมองทะลุ ‘กำแพง’ เพราะเขาชอบ ‘กำแพง’ นั้นมากๆ!
“พวกคุณจะมาคุยเรื่องซ่อมแซมสวนเหรอ?” เยี่ยหวันหวั่นถาม
สวี่อี้ผงกหัวรับ “ใช่ครับ”
เยี่ยหวันหวั่นถามลองเชิงทันทีว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอเสนอความคิดเห็นได้ไหม?”
คิดว่าเธอยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน ทำไมไม่ทำให้ทุกอย่างที่นี่เป็นไปตามใจของเธอ ให้ตัวเองอยู่อย่างสบายอีกหน่อยล่ะ?
ไปโรงเรียนไม่ได้ แต่เรื่องนี้คงได้ใช่ไหม?
เธอจำได้ว่า นอกจากเรื่องออกจากที่นี่แล้ว ซือเยี่ยหานมักจะยอมทำตามความต้องการของเธอเสมอ ไม่ว่าจะเกินเลยขนาดไหนก็ตาม
เมื่อสวี่อี้ได้ยินความต้องการของเยี่ยหวันหวั่น ก็พลันอยากตายขึ้นมา รีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางซือเยี่ยหาน หวังว่าเขาจะช่วยตัดสินให้
คุณชายเก้า! ขอร้องล่ะ อย่าให้เธอเข้าไปเหยียบสวนอีกเลย!
ซือเยี่ยหานตอบเยี่ยหวันหวั่นสองคำ “ตามใจเธอ”
สวี่อี้ “...”
เอาเถอะ เขารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้
สวี่อี้ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตาชีวิต “คุณหนู อยากจะเสนอความคิดเห็นอะไรเหรอครับ?”
เยี่ยหวันหวั่นคิดอย่างละเอียด “ฉันไม่ชอบกุหลาบกับลาเวนเดอร์อะไรหรอก เปลี่ยนสวนดอกไม้ตรงนั้นไปปลูกดอกทานตะวันแทนได้ไหม?”
สวี่อี้แปลกใจ อดไม่ได้เอ่ยถามว่า “คุณหนูชอบดอกทานตะวันเหรอครับ?”
เทียบกับความต้องการอยาก ‘เผาดอกไม้พวกนั้น’ หรือ ‘ถอนออกให้หมด’ แล้ว ความต้องการข้อนี้ของเยี่ยหวันหวั่นปกติเกินไป
เยี่ยหวันหวั่นนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนตอบ “เฉยๆ นะ”
สวี่อี้เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นทำไม...”
ดวงตาของเธอเป็นประกาย “เพราะว่าต่อไปเอาเม็ดมันมาผัดกินได้น่ะสิ!”
สวี่อี้ “เอ่อ...”
ซือเยี่ยหานนิ่งเงียบ
เยี่ยหวันหวั่นชี้ไปยังที่ไกลๆ อีก “แล้วก็บ่อน้ำตรงนั้น อย่าเลี้ยงปลาคาร์ฟแพงๆ อีกเลย หยิ่งแล้วยังกินไม่ได้อีก เลี้ยงพวกปลากินพืช ปลาทอง กุ้ง...ซุ้มดอกไม้ก็เปลี่ยนเป็นซุ้มเถาองุ่นเถอะ...ที่จริงปลูกมันหวานด้วยสักนิดก็ได้...”
.........................................................