webnovel

ตอนที่ 5

ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก

เสียงกระแทกทำให้พัฒน์หันไปมอง คนคนตัวสูงหนาลื่นไถลตกบันไดลงมาหลายขั้น เสียงก้นกระแทกพื้นดังจนทำให้คนเห็นรู้สึกเจ็บแทน เขารีบเดินเข้าไปพยุงอีกฝ่าย

"เจ็บไหม โก้"

เขาถามอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง ขณะคนตกลงมารีบลุกขึ้นทำหน้าเฉย ๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไร

"ไม่เป็นไร"

หน้าคนตกบันไดพยายามทำให้นิ่งที่สุด พัฒน์จึงหันหน้าไปอีกด้าน เพื่อให้อีกฝ่ายเบ้หน้าได้เต็มที่ รู้ดีว่า ที่พลาดตกบันไดแบบนี้เพราะอีกฝ่ายจะรีบลงมารับตนเอง

วันนี้ พัฒน์มาหาโก้ที่บ้านเพื่อทำรายงานด้วยกัน ตอนนี้ทั้งคู่เรียนปีสาม ซึ่งย้ายกลับมาเรียนที่ท่าพระจันทร์แล้ว โก้เช่าบ้านอยู่ร่วมกับเพื่อนอีกสามคนโดยเขาอยู่ชั้นบน พอพัฒน์เข้ามาในบ้าน เพื่อนที่อยู่ชั้นล่างก็ตะโกนบอก โก้รีบวิ่งลงมาจนก้าวพลาดตกบันได พัฒน์ทำเป็นไม่เห็นคนตัวสูงที่แอบลูบก้นตัวเอง ในขณะที่หัวใจพองโตกับการที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญกับตนเอง

แม้จะไม่เคยกล้าบอกความรู้สึกในใจและไม่เคยกล้าถามว่า อีกฝ่ายคิดอย่างไรกับตนเอง แต่การกระทำตลอดสองปีที่ผ่านมา พัฒน์คิดว่า โก้เองก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเขาเช่นกัน หากความรู้สึกดี ๆ ที่ผู้ชายสองคนมีให้กันไม่ใช่สิ่งที่พูดบอกกัน ไม่สามารถแสดงให้คนอื่นเห็น กรอบกติกาสังคมในเวลานั้น ความรักของคนเพศเดียวกันยังเป็นเรื่องต้องห้าม พัฒน์จึงได้แต่เก็บทุกความรู้สึกไว้ในใจเท่านั้น

"เป็นอะไรไป วัต มองแบบนี้ผมอายนะ"

กานต์บอกอย่างเขินนิด ๆ วสวัตที่เหม่องันอยู่รีบบอก

"เปล่า ๆ ไม่ได้เป็นไร"

กานต์ส่ายหน้าปนหัวเราะ

"เปล่าอีกแล้ว วัต เป็นไร เนี่ย เจอผมทีไร เห็นเหม่อทุกทีเลย หรือไม่เคยเจอคนหล่อแบบผม"

หน้าตาทะเล้นแล้วทำเหมือนคนหลงตัวเอง ทำให้วสวัตอดค้อนไม่ได้

"ใช่ ไม่เคยเห็นคนหล่อแต่ซุ่มซ่าม"

คนทะเล้นแกล้งทำเหมือนจะล้มกับคำตอบนั้น

"โห ตอบซะ แต่ถึงซุ่มซ่ามก็หล่อ ใช่มะ"

กิริยามั่นใจในความหล่อทำให้วสวัตหัวเราะ ความอิหลักอิเหลื่อเมื่อครู่หายไป ก่อนที่เจ้าของบ้านจะช่วยอีกฝ่ายยกกล่องเข้าไปในบ้าน

"เฮ้อ จัดเสร็จหมดซะที โอย....หิว ๆ ๆ ๆ"

กานต์บ่นแล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่บนโซฟา วสวัตวางหนังสือเล่มสุดท้ายลงบนโต๊ะจึงถาม

"หิวแล้วจะกินอะไร ออกไปซื้อปากซอยไหม"

"อย่าเลย วัตก็มาช่วยจัดห้องเหนื่อยพอแล้ว สั่งแอพดีกว่า จะกินอะไรบอกมา ผมเลี้ยงเอง"

"แล้วกานต์จะกินอะไรล่ะ จะได้สั่งที่เดียวกันเลย"

"อืม ไก่ทอดไหม ง่ายดี"

กานต์พูดถึงไก่ทอดฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง วสวัตพยักหน้า

"แล้ววัตจะกินอะไร"

"ผมขออก 1 สะโพก 1 กานต์จะกินอะไรก็สั่งเพิ่มล่ะกัน"

"หือ วัตชอบอกกับสะโพกเหรอ"

"ใช่"

"กินเหมือนอาผมเลย สั่งไก่มาทีไร อาบอก เอาอกชิ้นสะโพกชิ้นทุกที"

"แบบนี้ไปกินกับอากานต์ไม่ได้ล่ะ โดนแย่งแน่ กานต์จะกินอะไรก็สั่งมาล่ะกัน"

"กานต์ เอาเนื้อไปหน่อยไหม มันเยอะ กินไม่หมด"

"อะไรไม่หมด ชิ้นนิดเดียวเอง แล้วจะอิ่มเหรอ"

"อิ่มสิ แบ่งไปหน่อยนะ"

วสวัตดึงแป้งที่ทอดกรอบด้านนอกชิ้นไก่ออกมา แล้วตัดแบ่งส่วนเนื้อเกือบทั้งชิ้นส่งให้กานต์ คนตัวโตกว่ามองอีกฝ่ายที่กินแป้งอย่างอร่อยแล้วสงสัย

"นี่ วัตกินไม่หมดจริง ๆ เหรอ ผมวัตชอบกินแต่แป้งมากกว่า ใช่ไหม"

ท่าทีมั่นใจในคำถามทำให้วสวัตพยักหน้ารับ

"ใช่ ผมชอบกินแป้ง ไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่หรอก ที่สั่งเจ้านี่เพราะแป้งมันอร่อยสุด"

"ว่าแล้ว ถึงได้ยกเนื้อให้ผมหมด แบบนี้ไปอยู่กับอาผมได้ล่ะ ไม่ต้องแยกกันแล้ว"

"ทำไมล่ะ"

"ก็อาผมไม่ชอบกินแป้ง กินแต่เนื้อ แล้วก็สั่งแต่เจ้านี้เจ้าเดียว เวลากินก็แกะแป้งทิ้งตลอด บอกให้สั่งเจ้าอื่นที่แป้งบางกว่าก็ไม่เอา นี่ถ้าจับคู่กับวัตนะ คนหนึ่งแป้ง คนหนึ่งเนื้อ แหม...พอดี"

กานต์หัวเราะ แล้วก็แกะแป้งจากชิ้นของตนเองส่งให้ วสวัตชะงักมองชิ้นแป้งในจานชั่วครู่ ก่อนจะทำตัวเป็นปกติตามเดิม

ห้องนอนนั้นค่อนข้างใหญ่ แต่นอกจากเตียงหนึ่งหลังกับตู้เสื้อผ้าแล้ว ก็ไม่มีเครื่องตกแต่งอะไรอีกเลย ไม่มีทีวี ไม่มีโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่มีกระจก ไม่มีแม้กระทั่งชั้นวางของ จนทำให้ห้องที่กว้างยิ่งดูวังเวงมากขึ้น วสวัตกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง แสงจากไฟเพดานที่หรี่ไว้เรื่อ ๆ ทำให้เขาดูเหมือนจะละลายหายไปกับความว่างเปล่าของห้อง

"ก็อาผมไม่ชอบกินแป้ง กินแต่เนื้อ แล้วก็สั่งแต่เจ้านี้เจ้าเดียว เวลากินก็แกะแป้งทิ้งตลอด บอกให้สั่งเจ้าอื่นที่แป้งบางกว่าก็ไม่เอา นี่ถ้าจับคู่กับวัตนะ คนหนึ่งแป้ง คนหนึ่งเนื้อ แหม...พอดี"

เสียงกานต์ยังดังอยู่ในหู วสวัตเงยหน้าเหมือนทบทวนบางสิ่งแล้วลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า เขานั่งลงกับพื้นแล้วกดไปที่พื้นล่างของตู้ที่ยกสูงขึ้นจากพื้นล่าง แรงกดทำให้แผ่นไม้ที่เป็นพื้นยกขึ้น ด้านล่างเป็นช่องว่างสามารถซ่อนของไว้ได้ เขายื่นมือควานเข้าไปแล้วหยิบกล่องไม้ใบเล็กออกมา

กล่องไม้สีเข้มที่ฝุ่นเกาะจนเขละ ทำให้รู้ว่าไม่ได้แตะต้องมานานมากแล้ว เขาปัดฝุ่นที่เกาะกระจายฟุ้งจนคล้ายควันบดบังซุกซ่อนสิ่งที่อยู่ภายใน เมื่อเปิดออกในกล่อง มีอัลบั้มรูปใส่ไว้ในซองพลาสติก แม้จะยังดูสภาพดี แต่รูปแบบก็เห็นชัดถึงอายุที่ไม่น้อยกว่ายี่สิบสามสิบปี

เมื่อเปิดอัลบั้ม ภาพที่สีเริ่มซีดจาง ทำให้รู้ว่า เป็นภาพที่ถ่ายไว้นานมากแล้ว ภาพแรกในอัลบั้ม เป็นรูปถ่ายของผู้ชายสองคนถ่ายที่ใต้ตึกเรียนแห่งหนึ่ง คนแรกเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง ตัวค่อนข้างหนา ผิวคร้ามเข้ม ใส่เสื้อแขนกุดแบบที่ผู้ชายนิยมใส่กันในยุค 90 คนยืนข้าง ๆ ตัวเล็กบาง ในภาพ คนตัวสูงกว่ายกมือขึ้นพาดไหล่แสดงให้ความสนิทสนมแบบที่ผู้ชายสองคนสามารถทำได้ในช่วงเวลานั้น

คนในภาพ คนหนึ่งคือ อธิพัฒน์ ที่รูปร่างหน้าตานั้นไม่แตกต่างไปจากวสวัตตอนนี้เลยแต่นิดเดียว อีกคน คือ โก้ คนที่พัฒน์เจอเป็นคนแรกในวันแรกพบ เขามองกล้องยิ้มจนตาหยีเหมือนเคย วิธียิ้มจนตาหยีแบบนี้ ทำให้เขาดูคล้ายกับกานต์อย่างประหลาด

วสวัตพลิกหน้าถัดไป ก็ยังเป็นรูปทั้งสองคน แต่รูปนี้ถ่ายในร้านอาหารแบบตึกแถวแห่งหนึ่ง ที่การจัดโต๊ะเป็นแบบร้านฟาสต์ฟู้ดเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ด้านในร้านเป็นเคาน์เตอร์สำหรับสั่งและรับอาหาร ตรงกลางโล่งเปิดทางเดิน แล้วจัดโต๊ะแยกเป็นชุด ๆ สองฟากผนัง วสวัตมองภาพคนสองคนที่หน้าเหวอนิด ๆ ในภาพ ความทรงจำแม้จะเนิ่นนานหากคงแจ่มชัดราวพึ่งเกิดขึ้น

"โก้ ไม่กินแป้งเหรอ"

พัฒน์ถามเมื่อเห็นโก้แกะแป้งออกจากชิ้นไก่ ปีนั้น ร้านไก่ทอดชื่อดังจากต่างประเทศพึ่งเข้ามาเปิดในประเทศไทยได้ไม่นาน วีระ โก้ พัฒน์จึงชวนกันมาลอง แป้งหนาทอดกรอบด้านนอกชิ้นไก่ทำให้ต่างไปจากไก่ทอดทั่ว ๆ ไป และเมื่อปรุงด้วยเครื่องเทศเผ็ดร้อน พัฒน์ที่ชอบกินของทอดหนักหนาจึงติดใจนัก หลังจากนั้นเลยเป็นลูกค้าประจำ แล้วจะสั่งแต่ชิ้นอกกับสะโพกเท่านั้น เพราะเป็นส่วนที่มีแป้งมากที่สุด พอเห็นแป้งที่โก้แกะแป้งวางไว้ข้าง ๆ จานเลยมองอย่างมาดหมาย

"อืม เราไม่ค่อยกินแป้ง ตั้งแต่เป็นนักบอล โค้ชบอกไม่ให้กินแป้งเยอะ"

"ดีเลย เราชอบกินแป้ง งั้นแลกกัน เอาแป้งมา เอาเนื้อไป โอเค"

ไม่แค่พูด พัฒน์แกะแป้งแล้วส่งเนื้อทั้งชิ้นให้อีกฝ่าย ก่อนจะหยิบแป้งในจานอีกฝ่ายมา แม้หน้าตาจะเหมือนกับวสวัตทุกประการ หากกิริยาท่าทางและวิธีพูดกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เพราะพัฒน์คนที่นั่งกินอาหารยังมีความเป็นเด็กอยู่ในตัว ตาวาว ๆ ความกระตือรือร้นนั้นแทบจะเรียกได้ว่า ไฮเปอร์ ไม่นิ่งสงบเหมือนวสวัต วีระที่นั่งแทะปีกไก่อยู่ส่ายหน้า

"ดีจังนะ คนนึงกินแป้งคนนึงกินเนื้อ ไม่แบ่งกับเรามั่ง"

"ก็นายกินแต่ปีกแล้วแบ่งจะยังไง ชิ้นก็นิดเดียวแต่ราคาเท่ากัน"

"อ้อ ที่สั่งอกกับสะโพกนี่ เพราะชิ้นมันใหญ่ใช่ไหม"

"แหงสิ แถมแป้งเยอะสุดด้วย อีกชิ้นนะโก้"

ท่าทางคนพูดจะอยากกินแป้งทอดต่ออีก เมื่อโก้พยักหน้า อธิพัฒน์รีบหยิบไก่อีกชิ้นมา พอแกะแป้งทอดออกมาจะกดมีดหั่นก็บ่น

"ชิ้นนี้มันใหญ่ ตัดยากแหะ โก้ นายเอาไปทั้งชิ้นเลยล่ะกัน"

คนแกะแป้งไม่ตัดแบ่งส่งทั้งชิ้นใหญ่ให้ คนผิวคร้ามยกนิ้วจะจิ้มหน้าผากหากคนตัวเล็กส่ายหน้าหลบ เสียงคนกินเนื้อเข้ม

"ไม่ต้องเลย กินเนื้อด้วย กินแต่แป้งจะไปดียังไง"

แล้วคนพูดก็ตัดแบ่งเนื้อส่วนหนึ่งส่งให้ คนรับทำปากยื่น หากคนส่งให้บอก

"กิน ถ้ากินแต่แป้งวันหลังไม่มากินด้วยแล้ว กินแต่แป้งอ้วนพอดี"

"อ้วนตรงไหน เราออกจะหุ่นดี"

ปากบ่นแต่เมื่อเห็นสายตาที่อีกฝ่ายมองมาอย่างดุ ๆ คนชอบกินแป้งก็ยอมกินเนื้อด้วยโดยดี

"นายนี่เก่งนะโก้"

คำพูดของวีระทำให้โก้หันไปมอง สายตาแทนคำถาม

"ก็เก่งตรงบังคับพัฒน์ได้ไง ปกติ เขาดื้อแถมเอาแต่ใจจะตาย ใครบอกให้ทำอะไร ไม่ค่อยทำหรอก ตอนเด็ก ๆ นี่ใครขัดใจบังคับให้ทำอะไร เป็นงอนไม่พูดด้วยเป็นวัน ๆ"

"นั่นมันตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว เอามาพูดอยู่ได้ เดี๋ยวนี้เค้านิสัยดีจะตาย ใช่ไหม โก้"

คนโดนพาดพิงหันไปค้อนแล้วหาพวก

"อืม ก็ไม่เห็นดื้อหรือเอาแต่ใจนี่"

"ไม่ดื้อกับนายคนเดียวน่ะสิ เอาเหอะ ไว้นายเจอตอนดื้อเมื่อไหร่จะรู้สึก"

"อย่า อย่า วี อย่ามาใส่ความ ใครจะนิสัยดี น่ารักเหมือนเราเนอะ"

คนไม่ดื้อหันไปยิ้มอย่างหาคนสนับสนุน รอยยิ้มแฝงรอยประจบประแจง ขณะที่สายตาของคนตัวใหญ่ดูแปลก มันมีทั้งความเอ็นดู ความใส่ใจแต่ในขณะเดียวกันก็เจือแววลังเลหวาดหวั่นอยู่ลึก ๆ

"โก้ พัฒน์"

ทั้งสองคนหันไปมองวีระ คนเรียกยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์ถ่ายทันทีโดยไม่ให้ทั้งสองคนตั้งตัว

วสวัตมองภาพในมือ เพราะถ่ายแบบไม่ทันรู้ตัว หน้าของทั้งสองคนจึงดูเหวอ ๆ อยู่ แต่กระนั้นก็ยังเห็นชัดถึงแววลังเลหวาดหวั่นในดวงตาคนตัวใหญ่ แววลังเลที่ไม่เคยทำให้มั่นใจเลยว่า อีกฝ่ายคิดอย่างไรกันแน่ วสวัตถอนใจยาว เขามองภาพนั้นอีกนานก่อนจะเก็บกลับไปแล้วซ่อนไว้ใต้พื้นตู้เช่นเดิม

เขานั่งนิ่งอีกนาน อารมณ์พลุ่นพล่านที่เอ่อล้นไปทั้งความรู้สึกทำให้เขาเริ่มล้าโรย เขามองมือตัวเองผิวที่สดใสดูคล้ำหมองลง คำบอกของพ่อแว่วดังในความคิด

"จำไว้พัฒน์ แม้ติรมันตรามนต์ จะเป็นอาถรรพ์ทำให้ไม่แก่ แต่ผู้ครอบครองต้องรักษาอารมณ์ที่วางเฉยไม่กังวลไม่สับสมให้ลมหายใจนิ่งสงบ มิฉะนั้นมนต์จะเสื่อมได้ง่าย รักษาความอ่อนเยาว์ไว้ไม่อยู่ และผู้ได้รับสืบทอดปราณเลือดครอบครองติรมันตรามณีแล้วไม่อาจมีความรัก"

"ทำไมล่ะครับ"

"มันเป็นสิ่งที่ต้องแลก ถ้ามีความรัก การสังเวยเลือดเพื่อย้อนอายุ ต้องสังเวยด้วยชีวิตของตัวเองหรือคนที่รักจึงจะใช้อำนาจย้อนวัยได้ จำไว้...อย่าปล่อยให้มีความรักเด็ดขาด"

แม้จะครองมนตราอาถรรพ์อันทำให้คงความอ่อนเยาว์ชั่วชีวิตไม่ร่วงโรยไปตามวัย หากสิ่งที่ต้องแลกมาก็คือการไม่อาจมีความรักเช่นคนทั่วไป ตั้งแต่เล็กเขาก็รู้ว่า ทั้งปู่ทั้งพ่อไม่ได้รักย่ากับแม่ของเขาเลย หากที่แต่งงานเพื่อให้สามารถสืบทอดทายาทต่อไปเท่านั้น

เพราะสนิทกับย่าและแม่มากกว่าปู่กับพ่อ เขาจึงรู้ว่า ย่ากับแม่ไม่เคยมีความสุขเลย การอยู่ร่วมกันของครอบครัวเขาเป็นเพียงการทำหน้าที่อย่างหนึ่ง แม้ในบ้านจะพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สิน มีเงินตราให้ใช้ไม่ขาดมือ หากคนในบ้านก็เหมือนทองคำก้อนหนึ่ง งดงามสูงค่าแต่เย็นชาไร้ความรู้สึก

เมื่อถึงวัยเรียน แม่เขาที่ไม่อยากให้เขาต้องเป็นแบบพ่อกับปู่ ไม่อยากให้เขาสืบทอดปราณเลือด จึงส่งเขามาเรียนกรุงเทพฯ โชคดีที่ปู่กับพ่อเองก็คิดว่า การซ่อนตัวอยู่ในชนบทไม่เหมาะสมอีกต่อไป เพื่อให้ทายาทผู้สืบทอดได้เรียนรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง เขาจึงถูกส่งเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็ก แล้วเมื่ออุบัติเหตุพรากครอบครัวเขาไปทั้งหมดตอนสิบขวบ เขาจึงได้รับสืบทอดปราณเลือดมาแต่นั้น

ยิ่งสืบทอดปราณเลือดเร็ว เขายิ่งเคยชินกับการอยู่คนเดียว แล้วการเรียนมัธยมเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนค่อนข้างเข้มงวดเคร่งครัด ทำให้เขามุ่งมั่นเรื่องเรียนไม่ได้สนใจเพื่อนมากนัก จนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เวลาเรียนที่ไม่มากนักต่อสัปดาห์ ทำให้เขามีอิสระที่จะใช้ชีวิตมากขึ้น มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อน ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเพื่อนคนแรกที่รู้จักในวันแรกพบ

วสวัตถอนใจ หลายวันมานี้ เขาหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาจนจำนวนที่ถอนใจมากกว่าที่เคยถอนใจมาตลอดหลายปีเสียอีก แม้จะยังไม่ถึงวันสังเวยเลือดทุกสิบปี แต่คืนนี้ก็เป็นคืนเพ็ญฟ้าโปร่งเห็นดวงจันทร์กระจ่างอยู่กลางนภา

วสวัตหยิบกล่องที่วางซ่อนอยู่ด้านในของชั้นบนสุดออกมา เมื่อเปิดกล่อง มุกกลมสีขาวที่มีเส้นทองอยู่ภายในก็เรืองแสง เขาเดินเข้าไปในห้องเล็กข้าง ๆ

วสวัตกดปุ่มข้างผนัง หลังคาที่กรุกระจกเลื่อนออกเปิดโล่ง ทำให้แสงจันทร์ส่องเข้ามาภายในทำให้ห้องแลสว่าง เขาถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า แล้วนั่งขัดสมาธิทำท่ามุทรากลางอกโดยมีมุกขาวอยู่ในมือ แล้วแสงเรืองอ่อน ๆ จากมุกขาวก็สว่างขึ้นในมือ