ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆหมอกชวนสะกดสายตาหลายคนให้เพ่งพิศมองด้วยความสนใจหากไม่ใช่หญิงสาวที่ยืนเหม่อมองออกไปจากกระจกห้องทำงานโดยไร้จุดหมาย สิ่งที่รบกวนภายในจิตใจเปรียบเสมือนเมฆหมอกเข้าปกคลุมทั่วแผ่นฟ้า แตกต่างกับบรรยากาศตอนนี้ยิ่งนัก
มินตรายืนกอดอกพลางคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องรับรองเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เธอไม่คาดคิดว่าอดีตคู่หมั้นที่ไม่อยากข้องเกี่ยวจะใช้เพื่อนรักของเขาเป็นสะพานเพื่อเข้ามาหาเธอ และครั้งนี้ไม่แน่ใจว่ารตีจะรู้เห็นด้วยหรือไม่
วินาทีที่เขาหันกลับมามองเธอ มินตราขยับถอยไปหนึ่งก้าว หากอีกฝ่ายกลับลุกขึ้นยืนพร้อมส่งยิ้มด้วยสายตาเป็นมิตรให้
'สวัสดีครับคุณมินตรา ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ'
หญิงสาวไม่เอ่ยตอบรับคำทักทายของเขา แต่กลับเอียงตัวไปถามชายอีกคนในห้อง
'นี่หมายความว่าไงกันคะคุณชลธี ฉันเข้าใจว่ามีแค่คุณกับฉันที่จะคุยกันเรื่องนี้เท่านั้น ทำไมคุณต้องเชิญเขามาด้วยคะ'
ฝ่ายที่ถูกถามสีหน้ากระอักกระอ่วน ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกันเพราะได้รับการคะยั้นคะยอจากชายที่ยืนตรงหน้ามินตราให้เขาช่วยเหลือครั้งนี้โดยอ้างบุญคุณที่เขายอมไปร่วมงานมารดาของชลธี
'ผมต้องขอโทษคุณมิ้นต์ด้วยนะครับ เพียงแต่ผมเห็นว่าเจ้าเพชรเองก็เป็นหุ้นส่วนผม อาจจะช่วยเสนอไอเดียอะไรที่น่าสนใจ ก็แค่นั้นเองครับ ผมไม่ได้มีเจตนาให้คุณมิ้นต์ไม่พอใจเลย'
เหล็กเพชรขยับเข้าใกล้หญิงสาวเล็กน้อยพร้อมเอ่ยออกมา
'อย่าไปโทษเจ้าธีเลยคุณมิ้นต์ ผมยอมรับว่าผมขอมันมาเอง แต่นี้ก็เรื่องงานไงครับ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผมจะจีบคุณเสียหน่อย จริงไหม' เขาโน้มหน้าไปใกล้หญิงสาว เอ่ยด้วยน้ำเสียงท้าทาย 'หรือคุณไม่กล้าทำงานกับผม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียใจมากที่คนแบบคุณไม่สามารถแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้'
เพราะคำพูดของเหล็กเพชรทำให้มินตราซึ่งพยายามขยับหนีกลับยืนนิ่งกับที่ ใบหน้าที่ก้มหลบสายตาเชิดขึ้น สบสายตากับอีกฝ่ายด้วยความถือดีไม่น้อย
'ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น ฉันแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกเสมอ' พูดแล้วขยับเบี่ยงจากชายหนุ่มเบื้องหน้า ก้าวเดินไปนั่งยังเก้าอี้ตำแหน่งหัวโต๊ะพร้อมกวาดสายตามองไปยังชายหนุ่มทั้งสอง ซึ่งทำให้ชลธีขนลุกเกรียวประหลาดต่างกับเหล็กเพชรที่สบตาคู่งามอย่างท้าทาย
'เชิญคุณทั้งสองนั่งเถอะค่ะ เรารีบคุยธุระกันให้จบ จะได้เริ่มทำงานกันเสียที' พูดแล้วสายตามองเพ่งไปยังเหล็กเพชร 'เพราะเวลาดิฉันมีค่ามากกว่าจะมาเสียเวลาให้กับบางอย่างที่มันอาจจะเสียเวลาไปเปล่าๆ โดยใช่เหตุ'
---------------------------------------------------
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นดึงสติให้มินตราหลุดจากภวังค์พร้อมหันไปมองทางต้นเสียง หญิงสาวเห็นวรวุธก้าวเข้ามาจึงหันไปยิ้มให้เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ยังว้าวุ่นภายในใจ แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของชายหนุ่มไปได้
"คุณมิ้นต์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย"
"สีหน้ามิ้นต์ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอคะพี่วุธ"
เขาพยักหน้า
"ครับ คุณมิ้นต์มีอะไรก็บอกผมได้นะครับ"
มินตรายกมือขึ้นกอดอกพลางถอนหายใจ
"วันนี้คุณชลธี ว่าที่คู่หมั้นรตีมาหามิ้นต์ที่บริษัทเพื่อติดต่อเรื่องโฆษณาของบริษัทเขาค่ะ แต่ที่น่าตกใจกว่าคือเหล็กเพชรมาที่นี่ด้วย เขาบอกว่าเป็นหุ้นส่วนบริษัทกัน และเขาก็จะมาช่วยดูการถ่ายทำโฆษณาครั้งนี้ด้วยตัวเอง"
ชื่อของเหล็กเพชรทำให้รอยยิ้มจางหายจากใบหน้าวรวุธ ความเคร่งเครียดเข้ามาแทนที่
"นี่เขาจะไม่เลิกตามรังควานจริงเหรอครับ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะทำไปเพื่ออะไร เขาควรสำนึกได้ว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณมิ้นต์ต้องเสียใจและเลิกยุ่งกับชีวิตคุณมิ้นต์โดยถาวร"
มินตราสะบัดใบหน้าจนผมยาวปลิวตามแรงสะบัด หญิงสาวยกมือขึ้นเพื่อระงับโทสะที่เกิดขึ้นของอีกฝ่าย
"ช่างมันเถอะค่ะพี่วุธ มิ้นต์แยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันได้ ในเมื่อเขามาในนามลูกค้า เราก็ต้องต้องรับเขาเป็นอย่างดี ไม่ใช่เหรอคะ"
สิ่งที่มินตราพูดช่วยฉุดรั้งให้วรวุธสงบอารมณ์ลงได้แม้จะยังขุ่นเคืองชายหนุ่มที่มินตราเพิ่งเอ่ยถึงก็ตาม เขาทรุดตัวนั่งลงเก้าอี้ตรงหน้าเช่นเดียวกับที่มินตราเดินมานั่งยังเก้าอี้ตัวเองเช่นกัน
"แล้วคุณมิ้นต์มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ"
หญิงสาวหันหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อีกฝ่ายมองเห็นข้อมูลบนหน้าจอพลางอธิบายถึงรายละเอียดงานที่ต้องการให้เขาช่วย
"มิ้นต์อยากให้พี่วุธช่วยติดต่อรีสอร์ทริมทะเลให้หน่อยค่ะ มิ้นต์คุยเรื่องโฆษณาแล้ว คุณธีอยากได้แนวธรรมชาติ ถ้าเป็นที่ทะเลได้จะดีมาก ถ้าเป็นไปได้อยากได้ถ่ายทำช่วงเสาร์ อาทิตย์นี้เลยค่ะ ครั้งนี้งบเท่าไหร่คุณธีจ่ายไม่อั้น พี่วุธอาจต้องเร่งติดต่อให้หน่อยนะคะ"
"ได้ครับ แล้วงานนี้คุณมิ้นต์จะให้ใครไปช่วยคุมงานดีครับ"
หญิงสาวนิ่งไปสักพักพร้อมเอ่ยออกมา
"มิ้นต์ไปเองค่ะ"
วรวุธหันมองหน้าหญิงสาวเต็มไปด้วยความสงสัย ปกติมินตราไม่เคยต้องลงไปคุมงานเองด้วยมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากพอแล้ว อาจมีบ้างที่ไปดูความเรียบร้อยแต่ไม่ถึงขนาดลงไปนั่งดูด้วยตัวเอง เพราะเหตุนี้วรวุธจึงค่อนข้างแปลกใจ
"จำเป็นที่คุณมิ้นต์ต้องไปด้วยตัวเองเลยเหรอครับ"
"ค่ะ คุณธีขอร้องให้มิ้นต์ไป แล้วรตีเองก็จะไปด้วย"
"แต่คุณเหล็กเพชรก็ต้องไปด้วยสิครับ"
"ก็คงเป็นอย่างนั้นค่ะ แต่มิ้นต์ก็คงพยายามเลี่ยงที่จะพบเจอเขาให้มากที่สุด ห่างกันได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี เสร็จงานนี้ก็คงไม่ต้องพบต้องเจอกันอีก"
แม้สิ่งที่มินตราพูดค่อนข้างหนักแน่น แต่วรวุธหาได้คลายความกังวลใจเพราะรู้ว่าต่อให้มินตราจะเลี่ยงแค่ไหน แต่อีกฝ่ายก็ต้องวิ่งตามอยู่ดี
---------------------------------------------------
ชายหนุ่มนำรถจอดยังโรงเก็บรถหลังจากส่งมินตราเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ขณะก้าวเดินออกมาลานบริเวณบ้านจึงได้พบกับประมุขของบ้าน วรวุธยกมือทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายรับไหว้เขาพร้อมเอ่ยทัก
"เพิ่งกลับมาถึงสินะ วุธพอมีเวลาคุยกับฉันหรือเปล่า"
"ได้ครับคุณไมตรี มีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ"
ชายสูงวัยกว่าเดินมาขนาบข้างวรวุธพร้อมพาชายหนุ่มเดินไปยังเก้าอี้สนามหน้าบ้านซึ่งห่างจากบริเวณตัวบ้านออกไป ไมตรีเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
"หมู่นี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย เป็นไงบ้างล่ะ"
"ผมก็สบายดีครับ เรื่องงานก็ไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วงครับ"
"อย่างนั้นเหรอ... แล้วมิ้นต์ล่ะ เป็นไงบ้าง วุธเห็นมิ้นต์มีปัญหาอะไรที่ทำงานบ้างไหม"
"ก็ไม่มีนะครับ... จริงสิ อาจจะมีวันนี้นิดหน่อยตรงที่คุณชลธีที่คุณรตีแนะนำมาเข้ามาติดต่อให้บริษัทเราช่วยทำโฆษณาครับ แต่ที่น่าแปลกใจคือคุณเหล็กเพชรเป็นหุ้นส่วนกับคุณชลธีและจะเข้ามาดูแลงานนี้ด้วย นี่ก็เตรียมตัวไปถ่ายโฆษณากันวันเสาร์นี้แล้วครับและคุณมิ้นต์ต้องไปคุมงานด้วยตัวเอง ท่าทางคุณมิ้นต์หนักใจไม่น้อยเลย"
ไมตรีพยักหน้ารับทราบ เขายกมือแตะบ่าวรวุธ มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
"วุธ รู้ใช่ไหมว่ามิ้นต์กับเหล็กเพชรเคยเป็นคู่ที่ฉันกับคุณพรต พ่อของเหล็กเพชรต้องการให้เกี่ยวดองกันมาก่อน จนเกือบจะเกิดงานหมั้นขึ้น"
ฝ่ายที่ถูกเอ่ยถามพยักหน้าตอบรับ
"ครับ ผมทราบ"
"ฉันรู้นะว่ามิ้นต์เองเสียใจจากเรื่องที่เกิดขึ้นคราวนั้นมาก แต่เมื่อเขากลับเข้ามาวันนี้ด้วยความพร้อมที่จะดูแลมิ้นต์ด้วยตัวเขาเอง ฉันว่าก็ควรให้โอกาสเขาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ฉันคงไม่ไปช่วยเขาแต่ก็ยังหวังว่าเขาจะทำได้สำเร็จ ก็ถือว่าให้เวลาเขาได้พิสูจน์ตัวเอง"
วรวุธเอ่ยขึ้นแทบทันควัน
"จะดีเหรอครับคุณท่าน ในเมื่อเขาเป็นคนที่ทำให้คุณมิ้นต์ต้องเสียใจ เราควรกีดกันเขาจากคุณมิ้นต์มากกว่าไม่เหรอครับ"
ไมตรีลอบถอนหายใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับลูกสาวเขา ยอมรับว่าวรวุธเป็นคนดีไม่น้อย แต่เขาก็เห็นว่าชายหนุ่มไม่คู่ควรกับมินตราเท่าเหล็กเพชร หากมินตราสมหวังกับเด็กในบ้าน ไมตรีนึกรู้ได้ทันทีว่าเสียงนินทาคงยากจางหาย แม้กระทั่งเหล็กเพชรเองเขาก็ยังเห็นว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องลูกสาวเคยถูกเขาทิ้งกลางงานหมั้น แต่ไมตรีก็ยังเห็นว่าคงถูกกลบเกลื่อนได้ด้วยความเหมาะสม คู่ควรของฐานะสองครอบครัว
เขาสบตาฝ่ายตรงข้าม เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่ซ่อนความนัยด้วยการสั่ง
"วุธเองก็เปรียบเสมือนพี่ชายของมิ้นต์ เป็นคนที่ฉันไว้ใจ ฉันอยากให้วุธช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลมิ้นต์ให้เหมือนน้องสาว คอยเฝ้ามองให้เขาได้ลองเปิดโอกาสให้คนที่เหมาะสมและคู่ควรจะได้ไหม อย่างน้อยเหล็กเพชรก็เป็นคนที่ฉันเห็นว่าจะดูแลมิ้นต์ได้ตลอดชีวิต"
คำพูดของไมตรีราวมีมนต์สะกดให้วรวุธยืนนิ่งราวถูกสาปให้กลายเป็นหินด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้นคืออะไร
---------------------------------------------------
เครื่องดื่มสีอำพันถูกส่งเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่า ความขมปร่าของมันเข้าไปแผ่ซ่านทั่งร่างชายหนุ่มที่นั่งอยู่บริเวณเคาน์เตอร์ที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่ เขานั่งอยู่ในร้านมานานนับหลายชั่วโมงโดยไม่สนใจสิ่งรอบด้านซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟวิบวับและเหล่าคนที่ต่างโยกย้ายไปตามเสียงเพลง
เขาเพ่งมองเครื่องดื่มที่ถูกรินลงในแล้วโดยพนักงาน ดวงตาเขาเพ่งมองน้ำสีอำพันที่ไหลลงในแล้วพลางนึกเปรียบถึงชีวิตเขาที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยความเมตตาอันล้นปรี่คอยหลั่งรดชีวิตเขาและมารดาทุกวัน แต่สิ่งที่เขาได้รับนั้นกลับเป็นเสมือนไฟที่คอยแผดเผาร่างของเขาให้ร้อนรุ่มได้ตลอดเวลา
คุณไมตรีและคุณติรกาให้ความเมตตากับเขามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ทั้งสองรดน้ำพรวนดินเขาด้วนคำว่าบุญคุณทุกวัน เขาเปรียบเสมือนต้นไม้ที่เจริญในกระถางใบสวยสามารถแผ่รากได้อยู่ภายในวงจำกัดที่ท่านทั้งสองกำหนดให้เท่านั้น เพียงแค่เขาคิดหวังจะแผ่รากหยั่งลึกไปใกล้กุหลาบงามดังเช่นมินตราคงยากที่จะเป็นไปได้เมื่อกระถางใบใหญ่ช่างแน่นหนายิ่งนักด้วยคำพูดที่ท่านทั้งสองมักพูดเสมอ
'วุธเป็นเหมือนพี่ชายของมิ้นต์ ต้องดูแลมิ้นต์ให้เหมือนพี่ชายดูแลน้องสาวนะ'
คำว่าพี่ชาย กับน้องสาว วรวุธรู้ดีว่าเป็นเสมือนการปิดกั้นและไม่ให้สิทธิ์ให้เขาได้รักมินตราเกินกว่าคำว่าพี่ชาย แต่กุหลาบงามเช่นนั้นยากยิ่งจะหักใจได้ มินตราช่างแสนดี แสนน่ารัก จึงไม่แปลกนักที่เขาหมายปองจะดูแลกุหลาบนั้นด้วยตัวเอง เขาพยายามสร้างตัวให้แข็งแกร่ง เท่าเทียมเพื่อให้บุพการีหญิงสาวที่รักมองเห็นเขาว่าคู่ควรแก่การยกหญิงสาวให้เขาดูแล แต่จากคำพูดของไมตรีวันนี้เขาก็พอเข้าใจได้ว่ากว่าจะถึงวันที่เขาคิดไว้มันยังอีกไกลกว่าที่เขาคิดนัก
เขาควรจะปลงว่าถึงอย่างไรมินตราก็ไม่มีวันเป็นของเขา แต่กลับทำไม่ได้ ยิ่งเป็นผู้ชายคนนั้นเขายิ่งไม่ต้องการให้มินตรากลับไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกครั้ง ซึ่งการจะดึงมินตราออกมาก็คงทำได้ไม่ยาก แต่การจะป้องกันไม่ให้อดีตคู่หมั้นหญิงสาวเขามาเกี่ยวพันนั้นยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไร
เขามองเครื่องดื่มที่ถูกเติมจนเต็มแก้วแล้วเตรียมยกขึ้นดื่ม พลันเสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้เขาชะงัก
"มาคนเดียวเหรอคะพี่วุธ"
เจ้าของชื่อที่ถูกทักทายพระยามประคองร่างหันกลับไปยังต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา
"คุณลี มาได้ไงครับ"
---------------------------------------------------
"พอดีลีมากับเพื่อนพยาบาลค่ะ วันนี้พวกเราว่างพอดีก็เลยนัดกันออกมาสังสรรค์นิดหน่อย พี่วุธล่ะคะ มาคนเดียวแต่ทำไมดื่มเสียหนักเลย"
วราลีเอ่ยพลางใช้มือขยับดึงแก้วจากมือชายหนุ่มเมื่อเห็นว่าสภาพเขาย่ำแย่เต็มที ฝ่ายตรงข้ามมองตามแก้วที่ถูกดึงไปแต่ไม่สามารถดึงกลับคืนมาได้
"พอดีผมมีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อย"
หญิงสาวจ้องมองอีกฝ่ายพร้อมซ่อนคำถามไว้ในแววตา เธอส่งยิ้มบางแล้วใช้มืออีกข้างแตะลงบนหลังมืออีกฝ่าย
"ไม่น่าใช่เรื่องเล็กแล้วค่ะ ปกติลีไม่เคยเห็นพี่วุธเมาเละขนาดนี้เลย มีอะไรเล่าให้ลีฟังได้นะคะเผื่อลีจะช่วยได้"
วรวุธจ้องหน้าหญิงสาวซึ่งนั่งยิ้มให้ เขาไม่อยากจะแพร่งพรายเรื่องในใจให้ใครรู้แต่เพราะความเมาทำให้ความสามารถในการคุมสติของเขาถดถอยลงไป
"คุณลีรู้เรื่องที่อดีตคู่หมั้นคุณมิ้นต์กลับมาแล้วไหมครับ"
เพียงเท่านั้นหน้าของวราลีเริ่มเจื่อนลง แต่หญิงสาวรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติจนวรวุธมองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอันเกิดจากความรู้สึกในใจ
"ค่ะ รตีก็พอเล่าให้ฟังบ้างค่ะ แต่มิ้นต์ก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมกลับไปคืนดีด้วยไม่ใช่หรือคะ"
"ใช่ครับ คุณมิ้นต์ไม่มีท่าที แต่ผู้ชายคนนั้นก็พยายามหาวิธีเข้ามาขอโอกาสจากคุณมิ้นต์ให้ได้เหลือเกิน ไหนจะแรงสนับสนุนจากคุณไมตรี และพ่อของเขาอีก... ผมไม่อยากให้มันเข้ามายุ่งกับคุณมิ้นต์เลยแม้แต่น้อย"
"พี่วุธใจเย็นก่อนไหมคะ อย่าเพิ่งกังวลถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นเลย"
"คุณลีไม่ใช่ผม คงไม่รู้ว่าผมเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องทนเห็นคนที่ผมรักต้องถูกผู้ชายคนอื่นเข้ามายุ่งโดยที่ทุกคนรอบข้างเขาไม่เคยเปิดโอกาสให้ผมเลยสักครั้ง แต่กลับไปให้โอกาสไอ้บ้านั่น มันไม่ยุติธรรม... ผมจะไม่มีทางยอมให้มันกลับเข้ามาในชีวิตคุณมิ้นต์เด็ดขาด"
วราลีมองชายหนุ่มพร่ำพรรณนาด้วยความปวดร้าวจนต้องลอบเบือนหน้าออกมาเพื่อซ่อนน้ำตาที่เริ่มรื้นมาที่ขอบตา อยากตอกกลับเหลือเกินว่าเหตุใดเธอจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดในตอนนี้ ในเมื่อเธอก็กำลังเป็นเช่นเดียวกัน แอบรักเขาแต่ไม่เคยบอกได้เพราะรู้ดีกว่าเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอแม้แต่น้อย เธอพยายามจะเอ่ยปลอบแต่เมื่อหันกลับไปมองพบว่าเขาฟุบหลับคาโต๊ะไปเสียแล้ว วราลีพยายามสะกิดเรียกเขาแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายคงไม่รู้ตัว
---------------------------------------------------
ประตูห้องถูกเปิดอ้าออกกว้างพร้อมหญิงสาวผู้ทั้งลากและประคองชายหนุ่มซึ่งหมดสภาพจากฤทธิ์สุราที่ถูกส่งเข้าปากนับครั้งไม่ถ้วน โชคดีว่าผับแห่งนี้ตั้งอยู่ใต้โรงแรม เธอจึงขอเปิดห้องพักเพื่อให้เขาได้พักผ่อนก่อนกลับบ้าน ครั้นเธอจะขับรถเขาเพื่อไปส่งก็ไม่พบ จนเมื่อเขาได้สติจึงเงยหน้าขึ้นตอบเธอก่อนที่สติจะดับไปอีกครั้ง
'ผมนั่งแท็กซี่มา ไม่อยากเอารถที่บ้านมาใช้ อีกอย่าง เมาไม่ขับ คุณลีช่วยเปิดห้องให้ผมนอนพักทีเถอะ ถ้าสร่างเมาแล้วผมจะกลับเอง'
ด้วยเหตุนี้วราลีจึงต้องช่วยติดต่อขอเปิดห้องและประคองชายหนุ่มมาจนถึงห้องพัก เธอวางเขาลงนอนแผ่บนเตียงอันอ่อนนุ่ม ขณะนี้เขาหลับใหลไร้สติ หญิงสาวมองแล้วถอนหายใจก่อนหันกลับเข้าไปในห้องน้ำ สักพักจึงออกมาพร้อมอ่างแก้วและผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆ ในมือ
หญิงสาวใช้ผ้าขนหนูเช็ดไปตามใบหน้าและซอกคอหวังให้เขาผ่อนคลายมากขึ้น ครั้งเห็นว่าผ้าที่เช็ดเริ่มแห้งหญิงสาวเตรียมหันไปชุบน้ำเพิ่ม แต่ไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด มือข้างที่ถือผ้าขนหนูถูกดึงรั้งไว้เสียก่อน
วราลีมองตามแรงดึงจึงเห็นว่าฝ่ายที่หลับเมื่อครู่กำลังจับแขนของเธออยู่พร้อมศีรษะของเขายกขึ้นมองมายังเธอด้วยแววตาเปี่ยมด้วยความรักความหวงแหน เสียงอันอ่อนนุ่มดังออกมาจากร่างที่นอนอยู่บนเตียง
"อย่าทิ้งผมไปไหนเลย อยู่กับผมเถอะนะครับ"
พร้อมกับเจ้าของร่างค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นจนนั่งมองสบสายตาหญิงสาว มือของเขาเลื่อนดึงผ้าขนหนูออกจากมืออีกฝ่าย วราลีจ้องตอบเราราวต้องมนต์สะกด ไม่ทันที่จะได้เอ่ยถาม ชายหนุ่มเลื่อนตัวใช้ริมฝีปากประกบปากอีกฝ่ายไว้เพื่อดูดดื่มความหวานจากริมฝีปากงามคู่นั้น วราลีอยากหักห้ามไม่ให้เขาทำเช่นนี้แต่ความปรารถนาในใจที่มีมากกว่าผลักดันให้หญิงสาวยกแขนทั้งสองข้างโอบรัดร่างแกร่งเอาไว้
วรวุธประคองร่างหญิงสาวให้นอนลงบนเตียงพร้อมกับร่างเขาเคลื่อนตามลงไป เขาเฝ้าจุมพิตหญิงสาวโดยทั่วเหมือนผีเสื้อที่ดอมดมน้ำหวานจากดอกไม้งาม วราลีเองก็เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสจากชายคนรักจนลืมนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสองร่างร่วมบรรเลงเพลงแห่งความปรารถนาโดยที่ตลอดเวลาวรวุธไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายมีความสุขปนความทุกข์จนน้ำตารินไหลเมื่อเขาเอ่ยแต่ประโยคเดิมซ้ำๆ
"คุณมิ้นต์ ผมรักคุณ"