webnovel

22. หนี!!!

" หากที่คุณพูดออกมานั้นมันคือความรู้สึกจากใจฉันก็ขอให้คุณทำตามที่พูดด้วย!!! ระหว่างนั้นฉันกับยัยดาวจะยอมรออยู่ที่โรงแรมเฉยๆ...แต่ฉันจะให้เวลาคุณแค่วันนี้เท่านั้น!!! ฉันได้ผ้าผืนนี้มาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเดาว่าพวกนั้นคงจะอยู่ไม่ไกลหรอก!!!" นภัทธาพูดพลางหันหลังเดินจากไปแต่ก็ยังแวะขอขมาเชคหนุ่มกับพระชายาก่อนจะเดินขึ้นรถไปทั้งอย่างนั้น ทั้งพระราชวังเงียบกริบไปชั่วครู่ก่อนจะมีคนที่ดึงสติของทุกคนขึ้นมานั่นก็คือไลอาร์

" ท่านพี่...เซลซิลนั้นบาดเจ็บอยู่ข้าขอยืมทหารของพระองค์ได้หรือไม่"

" เอาไปตามสบายเลย..."

" เอฮาซาน...อยู่ดูแลมิสทั้งสองด้วย"

" รับทราบครับ!!! "

ทุกคนไม่เสียเวลาให้เปล่าประโยชน์ ไลอาร์และเชคซีอาร์ออกคำสั่งอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพียงไม่กี่นาที กลุ่มของไลอาร์ก็พร้อมที่จะออกตามหาอัญชันทันที

รถหลายคันแล่นออกจากพระราชวังไปทางเหนือที่เป็นเขตแดนต่อกับจอร์แดนพวกเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงจุดที่นภัทธาบอก แน่นอนว่าเกิดความโกลาหลขึ้นจนเมืองทั้งเมืองแทบจะถูกปิดเสียด้วยซ้ำ

ในที่สุด อัญชันก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ทว่าก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดีเพราะทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นน่ากลัวไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน อีกทั้งราญายืนยันว่ายังไม่ควรหลบหนีตอนนี้

"ตรงนี้มีโอเอซิสที่กว้างก็จริงอยู่แต่เราจะรีบหนีไปตอนนี้ยังไม่ได้มันเสี่ยงเกินไป...ตรงจุดพักครั้งที่สามที่ตรงนั้นมีที่ให้หลบมาก...เราควรหนีตอนนั้น " ราญาที่ศึกษาภูมิศาสตร์ของแคว้นฮาลันมาตั้งแต่เด็กๆ เธอรู้จักแถบนี้ดีเพราะเป็นเส้นทางที่พ่อของเธอใช้เดินทางไปค้าขายอยู่บ่อยๆ

ผืนทรายที่ทองประกายเปลวแดด เกลียวทรายสุดลูกหูลูกตามองไปก็แทบไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ อัญชันรู้สึกเหมือนเป็นเรือที่ลอยเคว้งอยู่กลางทะเลอันกว้างใหญ่ เเม้เธอไม่ได้เหนื่อยจากการเดินทางเท่าไหร่แต่เธอก็รู้สึกอ่อนเพลียอยู่ดีเพราะเปลวแดด พวกพ่อค้าทาสได้นำพวกเธอขึ้นรถมาจนถึงจุดพักแรกเท่านั้นจากนั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นรถม้าเพื่อเดินทางต่อจนสุดชายแดน อัญชันเคยถามถึงเหตุผลที่เปลี่ยนวิธีเดินทาง ราญาเล่าว่าเพราะจากจุดพักครั้งแรกไปนั้นจะเป็นเส้นทางที่ถูกเรียกว่าทางสายไหม มันมักจะมีพายุทรายและการแปรปรวนของอากาศบ่อยๆหากใช้เครื่องยนต์เดินทางคงจะพังลงไปก่อนที่จะถึงจุดหมาย

อัญชันไม่รู้วันเวลาที่ผ่านไปเธอรู้เพียงว่าเธอผ่านค่ำคืนไปถึงสามคืนก่อนจะถึงจุดพักครั้งที่สามซึ่ง พวกพ่อค้าทาสตกลงว่าจะพักสักสองคืนก่อนจะเดินทางต่อเพื่อคลายความเมื่อยล้าของม้าและอูฐก่อนจะเดินทางต่อไปอีก

" แล้วเราจะทำตามแผนได้ไหมฉันขี่ม้าไม่เป็นนะ " อัญชันกระซิบถามขณะที่เธอกำลังอาบน้ำเพื่อรอเวลาทานข้างเย็นกันอยู่

" ไม่ต้องห่วงเราต้องรอด...หากผ่านตรงนี้ไปทางทิศเหนือแถวนั้นจะมีแนวหน้าผาและโอเอซิสเยอะกว่านี้ที่ตรงนั้นจะเหมาะกับการหลบหนี หากเราเข้าเขตแดนจอร์แดนเราก็จะปลอดภัย" ราญาปลอบ เดิมทีเธอนั้นเตรียมแผนเอาไว้เพื่อหลบหนีเพียงตนเดียวแต่เมื่อมีอัญชันมาด้วยเธอจึงคิดหาวิธีที่ตัวเองและอัญชันปลอดภัยที่สุด

" ถ้าไม่เป็นตามแผนล่ะ..." แม้จะถูกปลอบอัญชันก็ยังคงไม่หายกังวลใดๆ

" ก็จำเป็นต้องแยกกันหนี...เราคนใดคนหนึ่งต้องรอดให้ได้!!" ราญายังคงยืนยันหนักแน่นหญิงสาวหยัดกายขึ้นยืนเผยให้เห็นสัดส่วนที่สมส่วนและหน้าท้องที่สวยงาม เนินอกอวบอิ่มเข้ารูปร่าง จนอัญชันอดที่จะอิจฉาไม่ได้

" แล้วฤกษ์กี่โมงล่ะ " อัญชันถามย้ำ พลางทำสายตาที่แน่วแน่มากขึ้น แม้ว่าอยู่ก็ไม่รู้จะถูกขายไปให้คนแบบไหนจะรอดหรือไม่รอดก็ไม่อาจรู้แม้จะมีเพียงสิบเปอร์เซนต์ที่ตะมีชีวิตรอดเธอก็จะเลือกมัน

" สามทุ่ม..." ราญาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเดินอย่างมั่นคงไปยังส่วนเเต่งตัว

สองสาวแอบหยิบมีดสั้นขนาดพกพานำมาเหน็บเอาไว้ที่ต้นขา แอบหยิบถุงน้ำซ่อนเอาไว้พร้อมกับอาหารที่คาดว่าจะเพียงพอและแสร้งทำเป็นเข้านอนตามปกติราญาได้ยินเสียงจากข้างนอกกระโจมเริ่มส่งเสียงดัง เธอคาดเดาได้ว่าพวกนั้นคงกำลังเมามายจนได้ที่แล้ว หญิงสาวส่งซิกให้กับอัญชันและใช้มีดกรีดกระโจมขนาดพอดีที่คนสองคนจะลอดออกไปได้โดยไม่ลืมที่จะนำหมอนมาวางแล้วคลุมผ้าแสร้งว่าตนและอัญชันนอนอยู่ และปกปิดรูที่พวกเธอลอดออกมา

ร่างบางทั้งสองค่อยๆแฝงกายไปกับความมืดและคอยหลบหลีกชายฉกรรจ์ที่เมามายเดินมาทำธุระส่วนตัว ราญาใช้หญ้าสดหลอกล่อม้าตัวหนึ่งและพามันออกมา พวกเธอพากันเร่งฝีเท้าเดินไปยังทิศเหนือโดยราญาได้สอนให้อัญชันดูดวงดาวขั้นต้น เธอเรียกมันว่าดาวเหนือเมื่อแสงไฟจากกระโจมที่พวกเธอจากมานั้นหายลับไปกับ เกลียวคลื่นของเงาทรายยามค่ำคืนที่มืดสนิท ราญาจึงกระโดดขึ้นหลังม้าโดยมีอัญชันซ้อนท้ายเท้าบางกระแทกเข้ากับสีข้างม้าเพื่อเร่งให้มันออกวิ่งอัญชันกอดเอวบางนั้นเอาไว้แน่นด้วยความกลัวว่าจะตกม้าก่อนที่จะหนีรอดไปได้

หนทางข้างหน้านั้นมืดสนิทไร้แสงไฟใดๆมีเพียงเเสงของดวงจันทร์และแสงของดวงดาวที่พาดผ่านผืนฟ้าสีกำมะหยี อัญชันรู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปอย่างเนิบช้า เธอจ้องมองดวงดาวที่ระยับพรายฟ้าด้วยหัวใจที่ตึกตักไปด้วยความตื่นเต้นและลุ้นอยู่ทุกวินาที

" ปรี๊ดดดดด!!!!!"

เสียงหวีดดังขึ้นไกลๆราญาชะงักม้าด้วยความตื่นตระหนก

" บ้าจริง!!!พวกมันรู้ตัวแล้ว!!! " ไม่รอให้เสียเวลาเปล่าราญารีบห้อตะบึงไปตามทิศที่ดาวเหนือส่องสกาวอยู่บนฟากฟ้าอันไกลพ้น อัญชันหัวใจเต้นระรัวราวกับมันจะร่วงไปอยู่ตรงตาตุ่มเสียให้ได้เธอกระชับอ้อมแขนที่เกาะเอาราญาเอาไว้จนแน่น

" ตั้งสติไว้อัญชัน!!!อย่าลืมแผนที่เราวางเอาไว้เราต้องรอด!!!" ราญาร้องเตือนสติเมื่อรับรู้ถึงร่างบางที่อยู่ข้างหลังนั้นสั่นจนรู้สึกได้

" ย่าห์!!!!ย่าห์!!! " ราญาร้องเร่งม้าเธอเร่งความเร็วที่เร็วพอๆกับรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขึ้นไปอีก อัญชันมองเห็นเงาทะมึนที่พาดตัดขอบฟ้า และภูผาที่สูงชะลูดอยู่ไกลๆ ทว่าจู่ๆเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงไหล่ข้างขวากลิ่นเนื้อที่ไหม้และกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด เธอรับรู้ได้ถึงเลือดอุ่นๆที่เริ่มไหลอาบแขนของเธอจนชาไปหมด เสียงฝีเท้าม้าสามสี่ตัววิ่งตามหลังนั้นมาติดๆ

" ปัง...ปัง...ปัง!!!!!"

เสียงกัมปนาทของปืนแผดขึ้นในเงามืดคมกระสุนแหวกฝ่าอากาศกระทบกับผิวทรายจนแตกซ่าน ราญายังคงยืนหยัดคุมบังเหียนม้าเอาไว้แน่นไม่หวั่นไหวเธอเหลือบไปมองกลุ่มควันที่ตามอยู่ด้านหลังถึงกับใจหาย เธอมองหลายต่อหลายครั้งก็ยังคงฟันธงได้ว่าเธอเห็นม้ากลุ่มใหญ่ตามมาอีกเป็นขบวนจากด้านหลังพวกพ่อค้าที่ตามมา

" ย่าห์!!!!ย่าห์!!!! "

ราญายังคงกระทุ้งเร่งฝีเท้าม้าให้เร็วขึ้นอีกเธอมองเห็นเขาทะมึนสูงของหุบเขาตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกลหากเธอผ่านตรงนี้ไปได้พวกเธอก็จะปลอดภัยไปได้ในระดับหนึ่ง

" ปังๆๆๆๆ"

เสียงปืนระรัวตามหลังราวกับห่าฝน ลูกตะกั่วสีเงินแหวกผ่านอากาศกระทบทรายราวกับเกลียวคลื่นที่กำลังบ้าคลั่ง

"ฮรี้!!!!!!!"

ลูกกระสุนจากปืนอันใดกระบอกหนึ่งเฉียดผ่านขาของเจ้าม้าที่กำลังห้อตะบึง เจ้าม้าตกใจสุดขีดร้องพยศสุดตัว ราญาเองก็พยายามเกาะกุมบังเหียนเอาไว้จนแน่น ทว่าอัญชันที่เหนื่อยอ่อนเพราะถูกยิงที่แขนจึงไม่มีแรงมากพอจะเกาะกุมเอวบางนั้นเอาไว้อีก

อัญชันผลัดตกจากหลังม้าที่กำลังพยศ ร่างบางกระแทกพื้นทรายอย่างแรงก่อนจะกลิ้งลงเนินทรายจนหายไปกับเงามืด

" อัญชัน!!!"

ราญาตะโกนเรียกทว่ากลุ่มม้าที่ตามเธอมานั้นยังคงวิ่งมาอยู่เธอจึงจำใจทิ้งหญิงสาวเอาไว้พลางภาวนาให้เธอรอดพ้นจากภัยทั้งปวง

อัญชันกลิ้งไปบนผืนทรายหลายต่อหลายตลบ เธอรู้สึกว่าทรายนั้นมีอยู่เต็มปาก หญิงสาวระบมไปทั้งร่างแต่เธอก็พยายามครองสติตนเองตามคำแนะนำของราญาเอาไว้ให้มั่นและลากสังขารที่ปวดร้าวนั้นวิ่งไปตามทิศที่ดาวเหนือชี้อยู่บนฟากฟ้ายามมืดสนิทเธอเห็นเงาร่างทะมึนบนหลังม้าที่ตามเธอมา หญิงสาวยิ่งเกิดอาการกลัวจนตัวสั่นขวัญผวา ร่างบางออกแรงทั้งหมดที่มีวิ่งสุดกำลังมือบางคว้ามีดสั้นที่พกไว้แนบกายพร้อมที่จะสู้จนตัวตาย ในหัวของเธอนึกถึงนภัทธา เพียงจันทร์ และ บิดาของเธอ แม้ชีวิตของเธอจะถูกทำร้ายด้วยบิดาของเธอแต่เธอก็มีแค่เขาที่เป็นญาติเพียงคนเดียว

" ชัน!!!!! "

เธอได้ยินเสียงคุ้นหูดังแว่วๆมาแต่ไกลๆนี่เธอคงเหนื่อยล้าจนได้ยินเสียงหลอนแน่ๆ ราญาเคยเล่าให้ฟังถึงอาการหลอนที่คนป่วยแพนิคขั้นรุนแรงอย่างเธอต้องเจอ

" อัญชัน!!!...ผมเอง!!!"

เธอได้ยินเสียงนั้นอีกแล้วเสียงที่เธอพยายามไม่คิดถึง

" อัญชัน...อย่าไปทางนั้น!!! "

เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆอัญชันหันไปมองข้างหลังอีกครั้งเธอเห็นว่าม้าตัวนั้นที่ตามเธอมามันไกล้เข้ามาทุกทีๆ อัญชันไม่ฟังเสียงนั้นเธอกลัวเกินกว่าจะเชื่อสิ่งใด ตอนนี้แขนข้างขวาเธอไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้วมีดที่เธอกอดเอาไว้จึงหลุดมือ

" อย่าเข้ามานะ!!!"

อัญชันกรีดร้อง ขาของเธอรู้สึกหนักอึ้งจนแทบก้าวขาไม่ออกร่าบางล้มลุกคลุกคลาน เธอเห็นเงาร่างบนหลังม้ากระโดดลงมาบนพื้นทราย เงาร่างนั้นวิ่งตามเธอมาอีกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นก็ถึงตัวเธอ

" กรี๊ดดดดด!!!อย่าเข้ามานะ!!!!ช่วยด้วย!!!!"