บิดามังกรเคร่งเครียดจริงจังกับการฝึกฝน หลังได้รับสารสำคัญจากราชาแห่งสวรรค์ เรื่องบุตรชายของท่านกับสตรีนางหนึ่ง เทพอู่เฉินจำเป็นต้องได้รับการอบรมทั้งร่างกายและจิตใจ ให้สามารถเข้าถึงเวทเซียนของเมืองเทพอีกครั้ง ทั้งหมดนั้นให้เป็นหน้าที่ของเทพฮ่าวหรานผู้ไม่เคยได้ทำหน้าที่บิดา
"เจ้าต้องเรียนรู้การควบคุมเวทหยินให้ได้ หากเจ้าสามารถควบคุมพลังของเจ้าอย่างมีสติ คำทำนายของแม่เฒ่าในทางร้ายไม่มีวันเป็นจริง นี่คือภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของข้า ในฐานะที่ข้าเป็นพ่อของเจ้า... ข้าทอดทิ้งเจ้ามาโดยตลอด อู่เฉิน"
อาเป้ยพยายามเงี่ยหูฟังทั้งสองสนทนากัน นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สนแดงภายในเรือน ไม่ไกลจากลานกว้างมากนัก เมื่อแหงนหน้ามองอสรพิษสีดำและมังกรสีฟ้าครามขึ้นสู่เวหา โดยรอบบริเวณถูกล้อมเอาไว้ด้วยเกราะเวท
เวทเซียนสีเหลืองทองลักษณะครึ่งวงกลม เป็นฝีมือของบุรุษเทพในเรือนร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อไม่ให้พรรณพฤกษาได้รับผลกระทบจากการประลองยุทธ์ หรือนอกอาณาเขตได้รับความเสียหาย สังเกตได้ว่ากว่าสิบเทพตรงนั้นเป็นเทพบุรุษเสียมากกว่าเซียนสตรีมีเพียงสอง ต่างล้วนสวมอาภรณ์สีขาวถักทอด้วยลวดลายมังกร
บ่าวเทพในเรือนบอกกับนางว่าเทพอู่เฉินอาจต้องอยู่กับบิดาสักพักหนึ่ง วันก่อนท่านก็อุตส่าห์ลำบากไปนำอาภรณ์อันสวยงามสีดำสนิท และบางตัวที่ไม่ได้มีสีสันสดใสนักมาวางไว้ในห้องพักของนาง
"ปีศาจอสรพิษจะปลดปล่อยพลังออกมาได้ดีที่สุดในร่างเดิมของปีศาจ"
พยัคฆ์อัคคีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากเดิม มันนอนหมอบอยู่ข้างเก้าอี้ไม้สนสีแดง เจ้าเหลียนเหลียนเติบใหญ่ขึ้นเป็นสัตว์อสูรขนาดกลาง มันไม่ได้มีช่วงเวลาในวัยเด็กนานนัก
อาเป้ยจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสอบถามเรื่องราวมากมายจากเจ้าเหลียนเหลียนผู้รู้เรื่องของเทวโลกดีกว่า ขณะเฝ้ามองทั้งเทพมังกรและเทพปีศาจผาดโผนโจนทะยานในเวหา แม้ท้องนภาแปรปรวน หยาดน้ำฟ้าร่วงหล่นลงมาเป็นระยะจนเกิดไอเย็นไปทั่ว ตัวนางเองยังหายใจออกมาเป็นไอควันสีขาว
เป็นเรื่องน่าชื่นชมยิ่งนัก...
เทพอู่เฉินไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ถึงแม้ว่านัยน์ตาสีแดงฉานจะยังสอดส่องสายตามองกลับมาในเรือนเป็นระยะ จนถูกตะคอกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังลั่นว่ามองอะไร! เจ้ามองไปที่ใดเทพอู่เฉิน!
ขนาดว่าไม่มีสมาธิเพราะมัวแต่ห่วงนาง หากเทพปีศาจปลดปล่อยเพลิงอัคคีออกมาจากนัยน์ตารุธิระ ยังฝีมือสูสีกับบิดามังกร นั่นทำให้บุรุษเทพในเรือนผู้ทำหน้าที่ปกป้องต้นไม้ใบหญ้าล้มระเนระนาด
สักพักหนึ่ง ต่างฝ่ายจึงกลับคืนร่างบุรุษเทพ ฟาดวิชาเวทใส่กันยังกับว่าไม่ใช่พ่อลูก... ราวเคียดแค้นชิงชังต่อกันมาปางก่อน... โดยที่ยังระมัดระวังไม่ให้เป็นภาระบ่าวในเรือนมากนัก
หลังจากนั้น เหล่าเทพก็เริ่มนั่งรอทั้งสองประลองยุทธ์ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
"เทียนเซียน ตี้เซียน กุ่ยเซียน ปาเซียน... ข้าอ่านตำราเรื่องเทพเซียนมาตั้งมากมาย ยามนี้ข้าได้นั่งชมเทพประลองฝีมือกันบนเทวโลกชั้นดินด้วยสองตาตนเอง นับเป็นบุญวาสนาของข้า..." พูดพลางหันไปทางพยัคฆ์อัคคี อาเป้ยนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ "เจ้าบอกว่าเทพอู่เฉินเติบโตมากับท่านแม่ของท่านหรือ? ไยท่านจึงใช้เวทหยินได้ไม่ดีเล่า..."
"ท่านแม่ไม่ได้เล่าเรื่องนางเฟยอี๋ให้ข้าฟังมากนัก ข้ารู้เพียงว่าเทพอู่เฉินเป็นบุตรชายของผู้ใด ตอนที่นาง..." เหลียนเหลียนเงียบไปครู่อย่างลังเลกว่าจะยอมเอ่ย "พูดถึงเรื่องหยกพันปี"
"ตกลงว่าแม่ของเจ้าต้องการหยกพันปีไปให้นางเฟยอี๋ ไม่ได้จะเอามารักษาเจ้า เจ้าก็นั่งฟังแม่ของเจ้าสนทนากับนางเฟยอี๋อย่างนั้นหรือ?"
"..."
อาเป้ยพอคาดเดาเหตุการณ์ได้ ด้วยความที่พยัคฆ์อัคคีแทบไม่เคยพูดถึงมารดาของมันเลย นางคิดว่ามารดาพยัคฆ์โกหกพวกนางเรื่องบุตรชายถูกพิษของป๋ายเซี่ยซึ่งมันไม่ได้โกหก และคงอยากได้หยกพันปีไปทำอะไรสักอย่าง เพียงเอาบุตรติดกระเป๋ามาด้วยโดยบังเอิญ เมื่อเทพอู่เฉินยื่นเงื่อนไขเรื่องดอกบัวสีทองแทนหยกพันปี มันจึงบอกว่ารอไม่ได้แถมยังเสียหน้าอยู่ไม่น้อย
นางอาจคิดผิดไปทั้งหมดก็ได้
อาเป้ยก้มหน้าลงมองเปลวเพลิงสีน้ำเงินอีกครั้งหนึ่ง ปลอบประโลมมันด้วยแววตาอ่อนโยน
"ไม่เป็นไรนะเหลียนเหลียน อย่างไรเสียเจ้ายังมีข้า เรื่องที่ผ่านมาเหล่านั้นลืมมันไปเสียเถอะ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องที่ไม่อยากจะคิด"
พยัคฆ์อัคคีได้รับการปลอบใจจากอาเป้ยอย่างสม่ำเสมอ มันสบนัยน์ตาคู่สว่างใสด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แถมไม่อยากจะทรยศนางอีกต่อไป
"ข้ายอมบอกเจ้าก็ได้อาเป้ย ท่านแม่ส่งสารมาไถ่ถามข้าในระหว่างทิ้งข้าเอาไว้ให้สอดแนมพวกเจ้า ข้าจึงแจ้งกลับไปว่าพวกท่านไม่รู้เรื่องหยกพันปี มันไม่ได้อยู่กับเทพอู่เฉิน ส่วนตัวข้าก็กิน ๆ นอน ๆ ข้าสุขสบายนัก อาเป้ยทำให้ข้ากลายเป็นอสูรเกียจคร้าน"
"อืม... ข้าเข้าใจเจ้า เจ้าคงมีเหตุผลของเจ้า ข้าขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องนี้กับข้า"
อาเป้ยยิ้ม ด้วยความเชื่อว่านางเอาชนะใจเจ้าเหลียนเหลียนได้ และใช่ ความเมตตาของนางสามารถเอาชนะใจทั้งปีศาจและอสูร
"ทั้งมนุษย์ เทพ ปีศาจล้วนมีพลังหยินหยางในตนเอง มีด้านมืดด้านลบตรงกันข้ามกับด้านสว่างไสว ไม่ว่าจะด้านไหนก็เกิดประโยชน์ได้ เมื่อสามารถทำให้เกิดสมดุลเช่นกำไลหยินหยางของนาง ข้าได้ยินว่าเคยเป็นกำไลหยาง..."
บิดามังกรก้มหน้าลงมองของล้ำค่าบนข้อมือเรียวเล็ก ทว่าคงไม่ได้เห็นมันบ่อยนัก ด้วยความที่นางสวมอาภรณ์เรียบร้อยมิดชิดคลุมถึงหลังมือเสมอ
เทพฮ่าวหรานได้หาเวลานอกเหนือจากการฝึกฝนบุตรชายไปปรึกษาหารือกับใต้เท้าจีกง จึงรู้ว่าอาเป้ยเคยบาดเจ็บเพราะอะไร ท่านยังเดินทางข้ามภพภูมิไปส่งรายงานต่อราชาแห่งสวรรค์ว่าการฝึกฝนเป็นไปได้ด้วยดี เทพอู่เฉินสามารถควบคุมพลังปีศาจได้
"แต่การจะร่วมหอนอนห้องเดียวกับสตรี ทั้งที่ยังไม่ได้ตบแต่งไม่ใช่เรื่องเหมาะสม เทวโลกเราก็ถือธรรมเนียม ถึงข้าเองไม่ได้เข้าพิธีใดกับแม่เจ้า... ไม่ควรนำแบบอย่างไม่ดีไปปฏิบัติ..."
"เมื่อใดข้าอยู่ในร่างอสรพิษ ขอให้พวกท่านคิดเสียว่าข้าเป็นงูดำในทุ่งนาสักตัวก็แล้วกัน"
เทพอู่เฉินดื้อรั้นกับบิดาเพียงเรื่องเดียว ด้วยความเป็นกังวล ก็มักขดตัวนอนอยู่ปลายเตียงของนางในยามราตรี เจ้าของเรือนเคาะประตูห้องมาพบงูในผ้าห่มทีไร ได้เอะอะโวยวาย
'เทพอู่เฉิน! เจ้ามานอนร่วมเตียงกับนางได้อย่างไร!? คิดหรือว่าข้าไม่รู้!'