บทที่ 47 ขอบคุณด้วยตัวเอง
อะไรที่เรียกว่าเป็ดต้มสุกบินหนีไป[footnoteRef:1]ก็คือตอนนี้ [1: เป็ดต้มสุกบินหนีไป เป็นสำนวนหมายถึงของที่อยู่ในมือบังเอิญหายไป]
เห็นเยี่ยนจิ่วเฉาหอบเด็กทั้งสามที่ลำบากกว่าจะหาตัวเจอไปราวกับลมพายุ เหยียนหรูอวี้ก็เหมือนถูกฟ้าผ่าเปรี้ยง
แม่หลินที่อยู่ด้านข้างก็ทำตัวไม่ถูก แม้จะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วคุณชายเยี่ยนต้องทราบข่าว แต่มิคาดคิดเลยสักนิดว่าเขาจะมาเร็วดั่งสายฟ้าพายุเช่นนี้ ทั้งยังพาบุตรของคุณหนูไปโดยไม่ถามอะไรสักคำ
แน่นอนว่าเป็นบุตรของเขาเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรก็เลี้ยงดูอยู่ข้างกายคุณหนู อย่างน้อยไม่ควรถามคุณหนูสักหน่อยหรือ?
จะมาพาลและตัดสินใจโดยพลการเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?!
แม้ความเคืองและน้อยเนื้อต่ำใจจะสุมอยู่เต็มอกของแม่หลิน แต่นางก็ไม่กล้าเผยท่าทางไม่พอใจต่อหน้าเยี่ยนจิ่วเฉาแม้แต่น้อย
องครักษ์ของเยี่ยนจิ่วเฉารุดตัวเข้ามา แต่ละคนอุ้มเด็กน้อยหนึ่งคน
เจ้าตัวน้อยทั้งสามแม้แต่โอกาสดิ้นรนก็ยังไม่มี ล้วนถูกอุ้มขึ้นรถม้าของบิดาไปแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาจากไปอย่างสมหวัง
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้พูดอะไรกับเหยียนหรูอวี้แม้แต่ประโยคเดียว กระทั่งไม่ได้มองนางตรงๆ ด้วยซ้ำ
ไม่ว่าเหยียนหรูอวี้จะสุขุมเพียงไหนก็อดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว ถูกสาวชาวบ้านที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าพูดฉีกหน้าก็ยังไม่สนได้ เหตุใดแม้แต่บิดาของบุตรตนถึงดูถูกนางเยี่ยงนี้เช่นกัน?!
ในขณะที่เหยียนหรูอวี้ใกล้จะโกรธจนร้องไห้ออกมา เยี่ยนจิ่วเฉาที่เดินก้าวใหญ่ออกไปก็หันกลับมามองด้วยสายตาแปลกประหลาด
ครานี้เขาพุ่งเข้ามาหาดรุณีในห้อง
เห็นเยี่ยนจิ่วเฉาเดินมาหาตน เหยียนหรูอวี้ก็ปีติยินดี
ใน...ในที่สุดเขาก็จำนางได้แล้ว!
แต่วินาทีต่อมา เยี่ยนจิ่วเฉากลับเดินเฉียดไหล่นางไป
ราวกับมีฟ้าผ่าใส่เหยียนหรูอวี้อีกครั้ง “...”
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปทางอวี๋หวั่นกับไป๋ถัง
หนังตาของไป๋ถังกระตุกทันที!
คุณชายวิกลจริตผู้นี้จะทำอะไรกัน?!
ไป๋ถังดึงตัวอวี๋หวั่นให้ถอยหลังไปด้วยกัน แต่ด้านหลังนั้นเป็นเตียง เข่าของนางชนเข้ากับขอบเตียง เกิดเสียงดังตึงพร้อมกับนางนั่งลงบนฟูกอันอ่อนนุ่มพอดี
คุณหนูไป๋ผู้มีฉายายิ่งใหญ่ในตำบลเหลียนฮวามาตลอด มิเคยต้องจนตรอกเช่นนี้เลย
ทว่าอวี๋หวั่นกลับไม่ลนลานแม้แต่น้อย เธอมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่ทำให้ไป๋ถังตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อหยุดอยู่ตรงที่ห่างจากตัวเองไปหนึ่งก้าวด้วยสายตาสงบนิ่ง
รูปร่างของอวี๋หวั่นในหมู่สตรีนับว่าสูงแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยนจิ่วเฉากลับให้ความรู้สึกตัวเล็กน่ารักเสียอย่างนั้น
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบเข้ากับสายตาค้นหาของเขา
“ข้าเคยเจอเจ้าที่ไหนหรือไม่” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถาม
ตอนนั้นเอง ลุงวั่นที่หายใจหอบก็ตามเข้ามา เขาอธิบายเสียงต่ำ “นางก็คือแม่นางที่เข้าใจผิดจนมาขึ้นรถม้าของพวกเราในวันนั้นอย่างไรเล่า”
รถม้าในวันนั้น...เป็นเขา?
อวี๋หวั่นตกใจ
“เช่นนั้นหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉามองอวี๋หวั่นแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย
ลุงวั่นเอ่ยต่อ “ก็ต้องเป็นเช่นนั้นสิ ก่อนหน้านี้คุณชายเคยพบแม่นางผู้นี้รึ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีความทรงจำนั้นอยู่เลย
แต่เยี่ยนจิ่วเฉาพอจะรู้สึกว่าไม่ใช่บนรถม้านั้น บนรถม้านางเพียงแค่เผยแก้มเล็กขึ้นสีแดงเท่านั้น แทบไม่เหมือนกับที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เลย
พูดตามตรง ครั้งแรกที่เห็นเขา อวี๋หวั่นก็มีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างเช่นกัน แต่ไม่นานนักอวี๋หวั่นก็เข้าใจ นั่นเป็นเพราะเขาเหมือนกับเด็กน้อยทั้งสามมากเกินไป คนทำไร่ทำนาในชนบทอย่างเธอจะไปเคยเจอคุณชายแห่งเมืองเยี่ยนที่สูงส่งก่อนหน้านี้ได้อย่างไร?
“นะ...นางก็คือผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตบุตรของท่าน! เป็นนางที่ชิงตัวบุตรของท่านกลับมาจากเงื้อมมือของเหล่าโจร! ระหว่างทางนางยังเจอมือสังหารอีกด้วย! นางเสี่ยงครึ่งชีวิตช่วยพาบุตรของท่านกลับมาเลยนะ!” ไป๋ถังกลัวว่าคุณชายที่อารมณ์ไม่แน่ไม่นอนผู้นี้จะคลุ้มคลั่งขึ้นมา นางจึงเสี่ยงเสนอหน้าพูดดีๆ ให้อวี๋หวั่นสักสองสามประโยค!
“เช่นนั้นหรือ?”
ประโยคเช่นนั้นหรืออีกแล้ว เพียงแต่ครานี้น้ำเสียงของเยี่ยนจิ่วเฉาดูมีความหมายแฝงอยู่มากกว่าเดิมเล็กน้อย
“แซ่อะไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาจับจ้องอวี๋หวั่นพร้อมกับถาม
ลุงวั่น ‘อย่าจ้องมองแม่นางเช่นนี้สิ ท่านไม่ไร้ยางอาย แต่ข้ายังมียางอายอยู่นะ!’
“อวี๋” อวี๋หวั่นตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าไร้ซึ่งความสับสนหรือเขินอาย
“อวี๋จากอวี๋(虞)เหม่ยเหริน[footnoteRef:2]หรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาเดินหน้าไปครึ่งก้าวพลางถามอย่างดูถูกเหยียดหยาม [2: อวี๋เหม่ยเหริน (虞美人) หรือสาวงามแซ่อวี๋ คือบทกวีโบราณเชิงอุปมาอุปไมยของฮ่องเต้ไร้บัลลังก์ กล่าวถึงชีวิตของตนในอดีตที่เคยเป็นเจ้าแผ่นดิน เมื่อรำลึกถึงอดีตที่ผ่านพ้นไปก็พาให้ใจเศร้าโศก สุดท้ายก็จบชีวิตลงเพราะบทกวีนี้เนื่องจากเหมือนมีใจคิดกบฏต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน]
“อวี๋จากอวี๋(俞)ป๋อหยา[footnoteRef:3]” อวี๋หวั่นตอบอย่างซื่อตรง [3: อวี๋ป๋อหยา (俞伯牙) คือนักดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการดีดกู่ฉิน ซึ่งมีตำนานเรื่องมิตรภาพระหว่างเขากับจงจื่อฉี สหายผู้ซึ่งอ่านใจของอวี๋ป๋อหยาออกเพียงแค่ได้ยินเสียงกู่ฉินเท่านั้น]
เยี่ยนจิ่วเฉาแสยะยิ้ม “อย่างไรกัน? เจ้ายังอยากหาสหายรู้ใจหรือ?”
ไป๋ถัง ‘คนผู้นี้วิปลาสใช่หรือไม่?!’
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก แม้แต่ลมหายใจก็ยังหลอมรวมเข้าด้วยกัน ผู้คนโดยรอบมองจนหัวใจเต้นรัว ทว่าพวกเขาทั้งสองกลับสงบนิ่งยิ่งกว่าใคร
“คุณชายเยี่ยน” เหยียนหรูอวี้รวบรวมความกล้าเปิดปากพูดแล้ว นางยืนอยู่ไกลจึงได้ยินไม่ชัดว่าทั้งคนพูดอะไรกัน แต่พอคิดดูก็น่าจะเป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตบุตรทั้งสามไว้ ไม่มีทางเป็นการสนใจนางแน่ สาวชาวบ้านที่ต่ำต้อย? จะเป็นไปได้อย่างไร?
คนหยิ่งทระนงเช่นเหยียนหรูอวี้ แทบไม่คิดว่าจะมีความเป็นไปได้เช่นนี้ แต่นางก็ไม่พอใจที่กลายเป็นเยี่ยงอากาศ นางเป็นมารดาของเด็กน้อยทั้งสาม เป็นคู่หมั้นของเยี่ยนจิ่วเฉา นางต่างหากที่เป็นสตรีเพียงคนเดียวในห้องนี้ที่สมควรถูกเยี่ยนจิ่วเฉาปฏิบัติดีด้วย
นางเดินไปยังข้างกายเยี่ยนจิ่วเฉา มองใบหน้าหล่อเหลาที่สมบูรณ์แบบนั้นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ของขวัญขอบคุณข้าเตรียมไว้แล้ว ข้าต้องตอบแทนแม่นางอวี๋”
คำพูดนี้ดูมีนัยบางอย่าง เยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามาในห้องก็ไม่ได้เหลือบมองนางเลยแม้แต่น้อย มากกว่าครึ่งคือจำตัวนางไม่ได้ ได้ยินคำพูดของนางเมื่อครู่ก็ควรต้องถามประโยคหนึ่งว่า เจ้าเป็นใคร? เหตุใดต้องให้เจ้าขอบคุณ?
“มิจำเป็น” ใครจะรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะปฏิเสธโดยไม่คิดสักนิด
เหยียนหรูอวี้อึ้งไปทันที
เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องอวี๋หวั่นอย่างลึกซึ้งไปที ก่อนจะเอ่ยอย่างแฝงความหมาย “ผู้มีบุญคุณของบุตรข้า ข้าจะขอบคุณด้วยตัวเอง”
แต่ไม่เอ่ยว่าจะขอบคุณอย่างไร เขากลับหมุนตัวออกไป ทิ้งให้คนที่เหลือในห้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ใบหน้าของเหยียนหรูอวี้ดำทะมึนอย่างถึงที่สุด นางมีน้ำโหจนจิกเล็บเข้าเนื้อ ตัวก็สั่นเทาเบาๆ
แม่หลินเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็รีบดึงนางออกไป
ในห้องเหลือเพียงแต่ไป๋ถังกับอวี๋หวั่น
ไป๋ถังตบหน้าอกเบาๆ ด้วยความโล่งใจ นางมองไปที่อวี๋หวั่นอย่างแปลกใจ “เหตุใดเจ้าถึงไม่กลัวเลยสักนิด”
อวี๋หวั่นให้นางลองจับมือของเธอ
ไป๋ถังตกใจทันที “ไอ้หยา เหงื่อออกเต็มเลย!”
อวี๋หวั่นผงกศีรษะ ถึงแม้ภายนอกจะสงบนิ่ง แต่มีเพียงเธอที่รู้ว่าเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้น เธอก็อารมณ์ไม่มั่นคงเล็กน้อย ทว่าไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะอะไรนั้นเธอก็ตอบไม่ได้
...........................................................