webnovel

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป... วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม...

เพียนฟางฟาง · History
Not enough ratings
867 Chs

009 กิจการเฟื่องฟู

บทที่ 9 กิจการเฟื่องฟู

ทางบ้านเดิมนั้น ป้าสะใภ้ใหญ่และบุตรคนรองอวี๋ซงกำลังจะออกเดินทางไปตลาด ในกระบุงที่พวกเขาตระเตรียมไว้มีทั้งมันเทศและผักกาดขาวที่ปลูกเองในแปลง รวมไปถึงปลาจี้อวี๋อีกด้วย

เมื่อวาน หลังจากที่ได้ชิมปลาของอาหวั่น ทั้งบ้านก็หยุดกินเสียไม่ได้ สองพี่น้องจึงถือคันเบ็ดไปตกปลาจากบ่อเก็บน้ำของหมู่บ้านมาห้าตัว หนึ่งตัวนำไปทำน้ำแกงปลาให้น้องสาวคนเล็ก ส่วนที่เหลือจะนำไปขาย

ทว่า ในขณะที่อวี๋ซงเปิดประตูบ้านนั้น ก็บังเอิญเห็นอวี๋หวั่นที่ยืนอยู่หน้าบ้าน

อวี๋หวั่นได้ยินมาจากเถี่ยตั้นน้อย จึงรู้ว่าครอบครัวของลุงใหญ่มีทั้งหมดห้าคน ได้แก่ ลุงใหญ่ที่ขาแข้งไม่ค่อยดี ป้าสะใภ้ใหญ่ผู้ซึ่งร่างใหญ่และใจกว้าง พี่น้องสกุลอวี๋ทั้งสองที่ขยันทำมาหากิน และน้องสาวคนเล็กซึ่งยังไม่เต็มสามขวบดี

เธอเคยพบกับอวี๋เฟิงแล้ว เด็กหนุ่มที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับอวี๋เฟิงหลายส่วนผู้นี้ ต้องเป็นอวี๋ซง น้องชายของเขาอย่างแน่นอน

มาคิดดูแล้ว อวี๋ซงก็อายุมากกว่าเธอสามวัน

“พี่รอง”

อวี๋หวั่นเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม

อวี๋ซงรู้สึกตกตะลึง

“ใครนั่น เช้าเช่นนี้…” ป้าสะใภ้ใหญ่ถือกระบุงเดินออกมา

“ป้าสะใภ้ใหญ่” อวี๋หวั่นเรียกอย่างยิ้มแย้ม

ครั้งนี้ เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่ตะลึงงันอีกเช่นกัน

‘ป้าสะใภ้ใหญ่’ คำนี้ นางไม่ได้ยินมาสักเจ็ดแปดปีจะเห็นได้…

“พี่รองจะออกไปข้างนอกหรือ วันนี้ที่บ้านมีใครอยู่หรือไม่ ข้าจะพาเถี่ยตั้นน้อยไปตลาด รบกวนป้าสะใภ้ใหญ่ดูแลท่านแม่ให้สักหน่อยจะได้หรือไม่”

น้ำเสียงของเธอช่างแผ่วเบา นัยน์ตาสดใส รอยยิ้มพิมพ์ใจทำให้มองเห็นความงามของดรุณีตรงหน้า

ป้าสะใภ้ใหญ่รู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ามองเห็นทารกน้อยคนนั้นที่อยู่ในอ้อมอกของนาง นางเกือบตอบตกลงไปอย่างไม่รู้ตัว แต่สติสัมปชัญญะก็ดึงนางกลับมา

นางวางสีหน้าราบเรียบ เตรียมจะเอ่ยปากตอบปฏิเสธ

ตอนนั้นเอง ก็มีเสียงพูดในคอทุ้มต่ำดังมาจากในบ้าน “เจ้าวางใจเถิด ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าจะคอยดูท่านแม่แทนเจ้าเอง”

อวี๋หวั่นมองไปในบ้าน เธอกล่าวว่า “ขอบคุณท่านลุงใหญ่ ขอบคุณป้าสะใภ้ใหญ่” และหันหลังเดินออกไป

ดังนั้น ป้าสะใภ้ใหญ่จึงอยู่ที่บ้าน ส่วนอวี๋เฟิงและอวี๋ซงไปตลาด

ป้าสะใภ้ใหญ่เดินกลับเข้าบ้านด้วยความโกรธ นางทอดสายตาไปยังไม้เท้าที่วางอยู่ข้างเตียง กล่าวว่า “เหตุใดท่านจึงตอบรับนาง ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าใครที่ทำร้ายท่านจนเป็นเช่นนี้?”

ลุงใหญ่นิ่งเงียบ

ผ่านไปพักหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ข้าเคยบอกไปแล้ว ที่ข้าขาเจ็บ...ไม่เกี่ยวกับอาหวั่น”

ป้าสะใภ้ใหญ่ปิดประตูดังโครม!

……

คนที่ไปตลาดมีไม่น้อย พี่ชายน้องชายสกุลอวี๋เดินอยู่ด้านหน้า อวี๋หวั่นเดินอยู่ข้างเกวียน

เธอไม่มีเงิน จึงนำปลาสดไปแลกหนึ่งตัวให้เถี่ยตั้นน้อยและนำถังใส่ปลาของที่บ้านไปจับจองที่ตั้งแผง ส่วนหน่อไม้นั้น เธอแบกเอาไว้เอง

เป็นครั้งแรกที่เถี่ยตั้นน้อยมาตลาด เขาตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดเสียแล้ว

ฟ้ายังไม่สว่าง เขาชี้ไปยังท้องฟ้าเหนือศีรษะ “ท่านพี่ ดูสิ! บนฟ้ามีดาวสิบดวง!”

และชี้ไปยังชาวบ้านที่อยู่ด้านหน้า พร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ พวกเรามีกันทั้งหมดสิบคน!”

อีกทั้งยังชี้ไปยังหมู่บ้านที่อยู่ด้านหลัง “พวกเราเดินมาสิบหลี่แล้ว!”

ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเถี่ยตั้นน้อย แสงสีเงินจางๆ ปรากฏบนเส้นขอบฟ้า และแล้วพวกเขาก็มาถึงตลาด

พวกเขามิใช่กลุ่มแรกที่มาถึงเร็วที่สุด พื้นที่บริเวณใจกลางตลาด มีพ่อค้าแม่ขายจำนวนหนึ่งมาจัดแผงอยู่ก่อนแล้ว

ผู้คนต่างง่วนกับการตั้งแผงทั้งสองข้างทาง ครอบครองทำเลที่ตนพึงพอใจ

ค่าเช่าแผงที่นี่ย่อมเยายิ่งนัก หากไม่มีเงินเหรียญ ก็สามารถใช้สินค้ามาแลกเปลี่ยนแทนได้

อวี๋หวั่นใช้หน่อไม้สองหน่อแลกกับพื้นที่ตั้งแผงที่ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดี

แผงทางซ้ายของเธอขายหัวไชเท้า ทางขวาขายไข่ไก่ ส่วนพี่น้องสกุลอวี๋ช่วงชิงได้ทำเลที่ใกล้กับทางเข้าหมู่บ้านเหลียนฮวามากที่สุด ผู้คนที่เข้ามาในตัวตำบล ก็จะมองเห็นแผงของพวกเขาได้ทันที

เมื่ออวี๋ซงเห็นว่าอวี๋หวั่นมองมาทางพวกเขา จึงกล่าวด้วยเสียงเบากับพี่ชายว่า “นางต้องการที่ของพวกเราใช่หรือไม่”

อวี๋เฟิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่ต้องสนใจนาง ขายเสร็จก็กลับบ้านกัน”

“อื้อ!” อวี๋ซงก็คิดเช่นนั้นอยู่ในใจ เขานำถังไม้ใส่ปลาจี้อวี๋มาวางไว้ด้านหน้าแผง

อวี๋หวั่นกลับมิได้สนใจเกี่ยวกับทำเลขายของเลยแม้แต่น้อย เธอคิดเพียงว่า พี่ใหญ่และพี่รองก็น่าจะจับปลามาเช่นเดียวกัน เธอควรช่วยพวกเขาขายดีหรือไม่…

ผ่านไปไม่นาน ผู้มาเยือนกลุ่มแรกจากในตำบลก็มาถึง อวี๋หวั่นไม่ทันนึกถึงเรื่องอื่น เธอจึงเริ่มลงมือทำหน้าที่ของตัวเอง

เธอมิได้รีบร้อนร้องเรียกลูกค้า แต่นำหน่อไม้หนึ่งหน่อไปแลกกับเต้าหู้เนื้อขาวนุ่มจากแผงขายเต้าหู้ฝั่งตรงข้าม ใช้ปลาสองตัวแลกกับน้ำมันหนึ่งช้อนและเกลือหนึ่งหยิบมือจากร้านขายชงโหยวปิ่ง[footnoteRef:1] [1: ชงโหยวปิ่ง อาหารประเภทหนึ่ง ทำจากแป้งผสมกับต้นหอม ทำเป็นแผ่นแบนและนำไปทอด ]

จากนั้น อวี๋หวั่นจึงหยิบอุปกรณ์ทำครัวที่เตรียมมา จุดไฟในเตา และนำหม้อใบเล็กไปตั้ง

ในระหว่างที่รอหม้อร้อนอยู่นั้น เธอก็ตักปลาขึ้นมาจากถังน้ำอย่างรวดเร็ว และใช้มีดจัดการอย่างคล่องแคล่ว

ท่าทางขณะที่เธอฆ่าปลานั้น ดูไม่เหมือนกับเด็กสาวอรชรอ้อนแอ้นแม้แต่น้อย ทำให้แผงทั้งสองข้างต่างรู้สึกทึ่งไปตามกัน

เมื่อหม้อร้อนแล้ว อวี๋หวั่นจึงใส่น้ำมันและวางปลาลงไป ทอดจนปลาทั้งสองกลายเป็นสีเหลืองทอง จากนั้นค่อยใส่ต้นหอมที่หั่นแล้วและขิงแผ่น กลิ่นหอมของน้ำมันต้นหอมและเนื้อปลาทอดกรอบลอยฟุ้งอบอวลไปในอากาศ

ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างมองมาที่เธอ

ตอนนี้ ปลาก็ทอดจนสุกได้ที่ อวี๋หวั่นจึงเทน้ำเปล่าลงไปชามใหญ่

“เถี่ยตั้น เติมฟืนทีสิ”

“ได้!”

เถี่ยตั้นน้อยวิ่งมาเติมฟืนสองท่อนเข้าไปในเตาไฟด้วยความตื่นเต้น

อวี๋หวั่นล้างหน่อไม้ หั่นให้เป็นแผ่นๆ และเทลงไปในน้ำแกงปลาพร้อมกับก้อนเต้าหู้

น้ำแกงปลายิ่งต้มนานยิ่งเข้มข้น จนในที่สุดก็กลายเป็นสีขาวดุจน้ำนม ดูน่ากินยิ่งนัก

อวี๋หวั่นทุบเกลือให้แหลก และค่อยๆ ใส่ลงไปในในน้ำแกง “เอาล่ะ กินได้แล้ว”

เถี่ยตั้นน้อยนั่งลงอย่างว่าง่าย

อวี๋หวั่นส่งช้อนไม้ให้น้องชาย ให้เขาตักกินเอง

เต้าหู้เนื้อนุ่มราวกับแทบจะละลายทันทีที่เข้าปาก ระคนกับน้ำแกงปลาสีน้ำนม กลิ่นหอมและรสชาติของน้ำเข้าไปผสมผสานกับรสหวานอ่อนๆ ของหน่อไม้ ทุกคำที่กลืนลงไปนั้นรสชาติดีจนมิอาจหาคำบรรยาย…ผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้เพียงมองดู และจินตนาการรสชาติอร่อยล้ำของน้ำแกงปลานี้

“น้ำ น้ำแกงปลานี่…...” มีผู้ที่ต้านทานไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากขึ้น

อวี๋หวั่นแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร และกล่าวตอบไปด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าใส่ปลาและหน่อไม้น่ะ น้องชายไม่ได้กินข้าวเช้ามา”

เมื่อได้ยินว่านี่คืออาหารของเด็ก อีกฝ่ายไหนเลยจะกล้าขอกินสักชามเล่า?

ปลาที่อวี๋หวั่นขายนั้นมีหัวที่ใหญ่ ยังเป็นๆ อยู่ ทั้งยังล้วนเป็นปลาที่อยู่ตามธรรมชาติ ปลาจี้อวี๋ที่เลี้ยงตามบ้านราคาหกเหรียญต่อหนึ่งจิน แต่เธอกลับตะโกนว่าสิบห้าเหรียญทองแดง ไม่ลดราคา

คนจำนวนไม่น้อยที่ถึงกับผงะถอยเพราะราคาอันสูงลิบ ทว่ากลับถูกเถี่ยตั้นน้อยที่กินอย่างเอร็ดอร่อยดึงดูดให้กลับมา

น้ำแกงที่เด็กคนนี้กิน…พวกเขาไม่เคยเห็นอาหารใดหอมเช่นนี้มาก่อน!

คำแล้วคำเล่า ช้อนแล้วช้อนเล่า เต้าหู้แล้วตามด้วยหน่อไม้ ซดเข้าไปเต็มปากเต็มคำ!

เด็กคนนี้! แล้วก็น้ำแกงร้อนนี่!

“ฟู่ว ฟู่ว ฟู่ว” เถี่ยตั้นน้อยใช้ช้อนตักท้องปลานุ่มๆ ขึ้นมา แล้วเป่าสองสามครั้ง เนื้อปลาในน้ำแกงสีน้ำนม แล้วกินเข้าปากในคำเดียว!

ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ถึงกับกลืนน้ำลาย…

ทว่า กลับมีผู้เชี่ยวชาญส่ายหน้าและกล่าวว่า “เมื่อครู่ น้ำแกงปลาของเด็กคนนั้นทำผิดวิธีแล้ว หลังจากทอดปลาแล้ว จะใส่น้ำเย็นตามลงไปไม่ได้ เพราะจะทำให้รสชาติถูกกักเก็บไว้ในน้ำปลา”

“เช่นนั้น เพราะเหตุใดเขาถึงกินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนั้นเล่า” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยถาม พลางมองไปทางเถี่ยตั้นน้อย

บุรุษผู้นั้นกล่าวว่า “วัตถุดิบดี ทำอย่างไรก็ไม่แย่”

มีคนจำได้ว่าบุรุษผู้นี้ เป็นพ่อครัวจากหอหยกขาว

หอหยกขาวนับว่าเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในตำบลเหลียนฮวา พ่อครัวผู้นั้นก็เคยทำอาหารให้ขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงกิน! หากแม้แต่เขายังกล่าวว่าวัตถุดิบดี นั่นก็หมายความว่าต้องดีมากเป็นแน่!

“ข้าเอาสองตัว!” สตรีวัยกลางคนตัดสินใจซื้อ

อวี๋หวั่นเลือกปลามาสองตัว ใช้เชือกซึ่งทำจากหญ้ามัดให้แน่น เธอส่งปลาให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าวว่า “แม่นาง ปลาสดกินกับหน่อไม้อร่อยนัก หากท่านซื้อหน่อไม้อย่างเดียว หนึ่งจิน หกเหรียญทองแดง ท่านซื้อปลาแล้ว ข้าลดให้ท่านเหลือเพียงห้าเหรียญ”

ที่นี่ไม่มีร้านใดขายหน่อไม้ และเธอก็ไม่รู้ราคาในตลาด จึงนำราคาปลาจี้อวี๋เลี้ยงมาเปรียบเทียบ และตั้งราคาเอาเอง

สตรีผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกับคิดว่าไม่แพง จึงซื้อหน่อไม้ไปพร้อมกัน

เมื่อมีคนเปิดประเดิมแล้ว หลังจากนั้นกิจการการค้าของเธอก็ง่ายขึ้นมาก

ปลาเป็นๆ กับหน่อไม้ ไม่นานก็ขายหมดเกลี้ยง

พ่อครัวจากหอหยกขาวนั้นมิได้ซื้อสินค้าของอวี๋หวั่น สำหรับเขาแล้ว วัตถุดิบเหล่านี้สดใหม่ก็จริง แต่ก็มิได้อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย

....................................................