webnovel

บทที่ 22 ป้อนยา

บทที่ 22 ป้อนยา

ความร้ายแรงของเรื่องนี้ทั้งสี่คนต่างรู้ดีแก่ใจ ไม่เอ่ยปากออกมา ต่างคนต่างเก็บซ่อนเอาไว้ในใจโดยไม่ต้องพูดก็รู้

กู้เจียวไม่ให้กู้เสี่ยวซุ่นมาที่นี่สักระยะ การแพร่เชื้อของโรคเรื้อนในระยะแรกแม้จะไม่ได้มีมาก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่

กู้เจียวไม่ได้ขึ้นเขาไปเก็บเห็ด อยู่บ้านดูแลหญิงชราสองสามวันอย่างสบายใจ

คาดว่านางคงจะพยาบาลได้ไม่เลว ยามเที่ยงของวันที่สาม หญิงชราได้สติฟื้นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่สะลึมสะลืออีกต่อไป แต่สมองยังดูเหมือนจะผิดปกติอยู่เล็กน้อย

กู้เจียวถามว่านางเป็นใคร นางเบิกตาโตมองกู้เจียว กู้เจียวถามว่าบ้านนางอยู่ไหน นางก็ยังเบิกตาโตมองกู้เจียว

คงไม่ใช่ภาวะสมองเสื่อมของผู้สูงอายุหรอกกระมัง

“ท่านยังจำได้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไรหรือไม่” กู้เจียวถามต่อ

หญิงชรายังคงลืมตาโตทั้งสองข้างจิกใส่

กู้เจียวหมดหนทาง

ดูท่าแล้ว หญิงชราผู้นี้จะไม่เพียงแต่ลืมว่าตัวเองเป็นใครเท่านั้น กระทั่งเรื่องการป่วยก็ลืมเลือนไปจนหมดสิ้นแล้ว

อันที่จริงลืมไปก็ดี กู้เจียวสามารถเฝ้านางไว้ไม่ให้นางออกไปได้ แต่ไม่อาจป้องกันคนในหมู่บ้านมาหาถึงที่ เกิดหญิงชราไม่ทันระวังเผลอหลุดปากเรื่องโรคเรื้อนออกไป นางกับเซียวลิ่วหลังรวมถึงกู้เสี่ยวซุ่นที่เป็นผู้ใกล้ชิดคงได้โดนหางเลขไปด้วย

ส่วนต่อไปจะจัดการกับนางอย่างไร นั่นเป็นเรื่องในอนาคต เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือช่วยรักษานางให้หายก่อน อย่าได้ให้ใครรู้ว่านางเคยเป็นโรคเรื้อนมาก่อน

คิดเช่นนี้แล้ว กู้เจียวก็ยกยาที่ต้มเรียบร้อยขึ้นป้อนให้หญิงชรา

ยาในกล่องยานั้นต้องกิน ยาสมุนไพรก็ต้องกิน มิฉะนั้นความลับเรื่องกล่องยาได้เปิดเผยแน่

หญิงชราพอเห็นกู้เจียวยกขวดยาขึ้น ก็หันหน้าหนีด้วยความไม่ชอบใจ

กู้เจียวได้ยินเสียงเฮอะอย่างคับแค้นใจแว่วๆ หญิงชรานางนี้อารมณ์ร้ายไม่เบา

ยาต้องวางไว้บนไฟอ่อนครึ่งชั่วยาม ในขณะที่รอยานั้น กู้เจียวเอากล่องยาใบเล็กออกมาตรวจดูรอบหนึ่ง

หมู่นี้ใช้ยาไปไม่น้อยแล้ว ไม่มีโอกาสได้ตรวจดูให้ดีเลย นางต้องดูว่ายาของตัวเองยังเหลืออยู่เท่าใด อันไหนที่เอามาใช้ตามใจไม่ได้อีก

สุดท้ายพอตรวจเสร็จค่อนข้างมึนงง

ยาแก้อักเสบที่เดิมทีถูกนางกินไปแล้วนึกไม่ถึงว่าจะมีขวดใหม่อีกขวด ครีมทาต้านเชื้อแบคทีเรียก็เพิ่มมาอีกหลอด แล้วก็ยาอีกหลายหลอดที่นางจำไม่ได้ว่าเอามาใส่ไว้ตั้งแต่เมื่อใด

กู้เจียวมองกล่องยาใบเล็กนิ่ง ลูบคางพลางตกสู่ภวังค์ความคิด

...

ใกล้สิ้นเดือนเข้ามา สำนักบัณฑิตมีการสอบขึ้นอีกครั้ง

กู้ต้าซุ่นอาศัยบารมีของบัณฑิตใหม่อันดับสองเข้าเรียนในห้องหนึ่งเทียนจื้อ จากนั้นเขาก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ แสดงความสามารถออกมาได้อย่างโดดเด่น การสอบครานี้ เขาคว้าที่สองมาได้อีกครั้ง

อาจารย์เฉินดีใจเป็นอย่างมาก หากแต่สีหน้ากู้ต้าซุ่นกลับไม่ค่อยเห็นความยินดีประดับอยู่เท่าใดนัก

อาจารย์เฉินคิดว่าเขากำลังโทษตัวเองที่ไม่กล้าแย่งชิงที่หนึ่งมา จึงปลอบใจอย่างอดทนว่า “เจ้ากับหันจือล้วนเป็นคนโดดเด่นท่ามกลางบัณฑิตใหม่ หันจือโตกว่าเจ้าสองปี ทั้งยังเริ่มเรียนเร็ว เรียนหนังสือก่อนเจ้าไปหลายปีแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลใจกับผลการเรียนตอนนี้หรอก”

แน่นอนกู้ต้าซุ่นไม่ได้กังวลในเรื่องนี้ บัณฑิตที่ชื่อสวี่หันจือนั่นก็แค่อาศัยว่าเรียนมานานกว่าเขาหลายปี จึงได้โดดเด่นขึ้นมาหน่อยก็เท่านั้น แต่พรสวรรค์ของอีกฝ่ายสู้ตนไม่ได้ เขามีความมั่นใจมากกว่าอีกฝ่ายนัก

ทว่าความทะเยอะทะยานของเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้

เขากำลังไล่ตามการเป็นศิษย์ที่เจ้าสำนักถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรงต่างหาก เขาหวังว่าเจ้าสำนักจะกลายเป็นอาจารย์ของเขาได้

ตั้งแต่คราวก่อนมา เขาก็เขียนบทความไปไม่น้อย อาจารย์เฉินก็ล้วนเอาไปให้เจ้าสำนักดูทุกฉบับ แต่เจ้าสำนักไม่เคยเรียกตัวเขาเข้าไปพบเลย

“เป็นอะไรไปรึ ยังมีเรื่องใดอีกหรือ” อาจารย์เฉินสังเกตเห็นท่าทางอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่พูดของเขา

กู้ต้าซุ่นครุ่นคิด สุดท้ายจึงเรียกความกล้าเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าคนที่ออกข้อสอบในการสอบเข้าครานี้เป็นเจ้าสำนัก ไม่ทราบว่าท่านเจ้าสำนักมีความคิดจะรับศิษย์หรือไม่”

“มีอยู่แล้วล่ะ” อาจารย์เฉินพอใคร่ครวญดูก็สบายใจขึ้น แต่น่าเสียดายนัก คนที่เจ้าสำนักหมายตาไว้กลับไม่ใช่กู้ต้าซุ่น กู้ต้าซุ่นเห็นความเสียดายในแววตาอาจารย์เฉิน จึงตกใจ “เป็นสวี่หันจือหรือขอรับ”

“ไม่ใช่เขา” อาจารย์เฉินส่ายหน้า “เรื่องนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจออกมาอย่างถึงที่สุด เจ้าอย่าเพิ่งถามเลย ต่อให้ไม่อาจเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักได้ เจ้าสำนักก็หาเวลามาชี้แนะบัณฑิตเก่งกาจในสำนักอยู่ดี”

นี่มันจะไปเหมือนกันได้อย่างไร คนหนึ่งเป็นศิษย์คนโปรดที่สืบทอดมาจากเจ้าสำนัก เป็นผู้สืบทอดของเจ้าสำนัก สิ่งที่ได้รับไม่เพียงแต่จะเป็นวิชาความรู้ ยังมีเส้นสายจากเจ้าสำนักอีก

ส่วนการชี้แนะตามอำเภอใจนั้นเสียเปรียบกว่ามาก

ศิษย์ครอบครัวยากจนอย่างเขา ในฝันยังคิดอยากจะโผบินขึ้นฟ้า หากตนไม่เก่งมากพอก็ช่างมันเถอะ แต่เขาดันมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะถูกเจ้าสำนักถูกใจนี่สิ

เขาจะยอมได้อย่างไร

กู้ต้าซุ่นยังอยากจะไล่ถามต่อ แต่อาจารย์เฉินกลับไม่อยากพูดแล้ว

ณ หอจงเจิ้ง

เจ้าสำนักมองเซียวลิ่วหลังที่หน้าตาเย็นชาพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าไตร่ตรองถึงไหนแล้ว”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบว่า “ที่สามนับจากท้ายท่านก็จะรับหรือ”

การสอบครั้งนี้ เซียวลิ่วหลังสอบได้ที่สามรั้งท้าย นี่ไม่ใช่เพราะเขาพัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาหนึ่งอันดับ แต่เป็นเพราะมีกู้เสี่ยวซุ่นมาเป็นที่โหล่แทน

เจ้าสำนักกลั้วคอให้โล่ง เอ่ยว่า “ข้าก็ไม่บังคับเจ้า เอาอย่างนี้ เจ้ากลับไปตรองดูอีกสองสามวันก่อน

ไม่ต้องรีบร้อนให้คำตอบข้า ก่อนปีใหม่ข้าล้วนอยู่ที่สำนักทุกวัน เจ้าคิดตกเมื่อใดก็ค่อยมาตอบข้าเมื่อนั้น”

ถ้อยคำเหล่านี้ออกจากปากเจ้าสำนัก สามารถเรียกได้ว่าบริสุทธิ์ใจอย่างยิ่งแล้ว

อย่าเอาแต่คิดว่าสำนักบัณฑิตเทียนเซียงเป็นสำนักศึกษาของเมือง แต่เจ้าสำนักเคยติดอันดับหนึ่งในสี่ของผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมในเมืองหลวง ชื่อเสียงและความสามารถของเขานั้นไม่ต้องสงสัยเลย หากที่บ้านไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน เขาก็ไม่ถึงขั้นต้องจากเมืองหลวงมาสอนผู้คนที่หมู่บ้านชิงเฉวียนเล็กๆ นี้หรอก

เขาเจอบัณฑิตมากมายเพียงนี้ คนที่ทำให้เขาเกิดความพลุ่งพล่านอยากจะรับไว้เป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้โดยตรงนั้น เซียวลิ่วหลังเป็นคนแรก

“อยากได้เขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่กลัวว่าตัวเองจะไม่ยอมให้เสี้ยนหนามนี้หรือ”

หลังจากเซียวลิ่วหลังกลับไป ชายชราในอาภรณ์ผ้าหลังฉากบังลมก็แค่นเสียงเรียบออกมา

เจ้าสำนักคำนับให้แก่ฉากบังลม ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ากลัวว่าตัวเองจะไม่ยอมนะสิ ไม่สู้...ท่านอาจารย์รับเขาเป็นศิษย์ดีหรือไม่”

ด้านหลังฉากบังลมเงียบไป พักใหญ่ๆ ต่อมาจึงมีเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้น “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้าเคยบอกว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่รับศิษย์อีกแล้ว”

ท่านโหวเล็กตายไปแล้ว กั๋วจื่อเจียน[footnoteRef:1]ปิดตัวไปตลอดกาลแล้ว จิตใจของท่านอาจารย์ก็ดับมอดลงอย่างสิ้นเชิงแล้วเช่นกัน [1: กั๋วจื่อเจียน เป็นสถาบันที่ช่วยสนับสนุนกิจการสอบไล่ขุนนางของราชสำนัก มีหน้าที่จัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตสุดยอดบัณฑิตของแผ่นดิน]

หลังจากปิดภาคการศึกษา เซียวลิ่วหลังกับกู้เสี่ยวซุ่นก็นั่งเกวียนเทียมวัวของลุงหลัวเอ้อร์กลับมายังหมู่บ้าน ตอนออกจากเมืองมาพบว่าบนถนนหลวงมีจุดตรวจเพิ่มขึ้นมากมาย ล้วนกำลังตรวจหาคนป่วยโรคเรื้อนกันทั้งสิ้น ในใจทั้งคู่จึงยิ่งระแวดระวังกันขึ้นมา

หลังจากเซียวลิ่วหลังถึงบ้าน กู้เจียวก็เล่าอาการของหญิงชราให้เขาฟัง “...นางลืมสิ้นทุกสิ่งแล้ว”

เซียวลิ่วหลังก็ไม่ได้คิดว่านี่เป็นเรื่องแย่เช่นกัน อย่างน้อยยามนี้ก็ไม่ใช่ พอไม่รู้ก็จะไม่มีทางพลั้งปากได้

“นางโวยวายจะออกไปหรือไม่” เซียวลิ่วหลังถาม

กู้เจียวส่ายหน้า “เรื่องนี้กลับไม่มี ข้าบอกนางว่า นางป่วยเป็นวัณโรค ออกไปโดนลมไม่ได้ ผื่นแดงบนหน้านางมาจากการโดนอากาศหนาวจัด เพราะวัณโรคแพร่เชื้อได้ ดังนั้นทางที่ดีนางอยู่แต่ในห้องของตัวเองดีกว่า จะได้ไม่ไปแพร่เชื้อใส่คนอื่น ดูท่าทางนางแล้ว เหมือนจะรับฟังแล้ว ตลอดบ่ายนี้ล้วนสงบเสงี่ยม”

เซียวลิ่วหลังไปดูหญิงชราในห้อง อาการของนางพลิกผันเป็นดีมากนัก รอยบนผิวหนังจางลงไปมาก ไม่ตั้งใจมองให้ละเอียดก็แทบจะไม่เห็นผื่นแดงบนหน้าแล้ว

ที่กู้เจียวไม่ได้บอกก็คือ รักษาต่อไปอีกสองสามวัน โรคเรื้อนของนางก็ไม่มีการแพร่เชื้อต่อได้แล้ว

เพียงพริบตาก็มาถึงสิ้นเดือน และถึงวันที่เฝิงหลินกับ ‘หมอจาง’ นัดแนะกันว่าจะรักษาขาให้เซียวลิ่วหลัง