บทที่ 655 เสียใจ
ใบหน้าของเฝิงจงเหลียงเคร่งขรึม แต่ก็อ่อนลงเพราะคำพูดของเจียงเซ่อ
เขากระตุกมุมปาก อยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่ก็รู้สึกว่าพูดอะไรไม่ออกเลย
เฝิงหนานเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ถ้าใส่ใจบ้างก็คงจะดูออก แต่สองสามีภรรยานี้กลับสนใจแต่เรื่องของตนเอง ลูกสาวเปลี่ยนไปอย่างไรก็ยังคงไม่รู้
“หลานคิดได้ก็ดีแล้ว” เขาฝืนยิ้มและตบมือของเจียงเซ่อ
“ใครทำให้ไม่สบายใจปู่จะปลอบเอง”
หลังจากคุยกันได้ไม่กี่คำ ข้างนอกก็มีเสียงดังขึ้น ไต้เจียอยู่ในชุดเพื่อนเจ้าสาวสีชมพูเดินเข้าและพูดพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าบ่าวมาแล้ว”
เฝิงจงเหลียงได้ยินคำพูดนี้ ความไม่พอใจเพราะเฝิงชินหลุนและภรรยาก็หายไปจนหมดสิ้น พลันลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม
สายตาของเขาหยุดที่ไต้เจียครู่หนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนออกอย่างไม่ทิ้งร่องรอย พร้อมดึงเจียงเซ่อให้ลุกขึ้น
“อาอี้มาเช้าจัง”
เผยอี้ขับรถออกจากบ้านตระกูลเผย ตามหลักแล้วควรจะช้ากว่าที่เฝิงจงเหลียงคาดการณ์เอาไว้
สองปู่หลานคุยกันอยู่ชั้นบน ชั้นล่างพลันมีเสียงบรรยากาศอันคึกคักขึ้นมา
โม่อานฉีและคนอื่นๆ ขวางประตูเอาไว้ไม่ให้เข้ามา ให้พวกเขาวางอั่งเปาพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม วุ่นกันอยู่ครู่หนึ่ง พวกของเนี่ยต้านก็เริ่มช่วยกันอ้อนวอน เผยอี้เหมือนรอไม่ไหวแล้ว ไปยืนอยู่ในสวน เงยหน้าขึ้นมองบนชั้นสองแล้วตะโกนเสียงดังว่า
“เซ่อเซ่อ เมียจ๋า! ไปกับผมเถอะ!”
เขาตื่นเต้นมากแล้วจริงๆ หลังจากกำหนดการคงที่แล้ว ทั้งตามประเพณีและก่อนงานแต่งทั้งสองยุ่งมาก เขาไม่ได้เห็นเจียงเซ่อมาหลายวันแล้ว ทุกวันนั้นจะติดต่อกันผ่านโทรศัพท์
วันนี้เป็นวันแต่งงานของทั้งสอง เขารอวันนี้มานานมากแล้ว แถมเมื่อคืนก็นอนไม่หลับทั้งคืน เร่งให้พวกของเนี่ยต้านแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมพร้อมออกจากบ้าน
พอเขาตะโกน พวกของเนี่ยต้านก็หัวเราะ
“พี่อี้รอไม่ไหวแล้ว”
หลายปีมานี้ เขาเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เรียนจบก็ทำงาน หน้าที่การงานมั่นคง ผู้ใหญ่ชื่นชมเป็นอย่างมาก ไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่กลัวฟ้าดินไม่เชื่อฟังคำพูดใครอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้พอเขาตื่นเต้นขึ้นมา ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยอยู่บ้าง
“เมียจ๋า ออกมาได้แล้ว”
เขายังคงอ้อนวอน ทุกคนต่างรู้ว่าเขารักเจียงเซ่อ เพราะฉะนั้นแม้จะรักกันมานาน ในสถานการณ์ที่น้อยมากที่จะได้เจอกันยังคงเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ จนในที่สุดก็ได้เดินเข้าสู่ประตูวิวาห์
เฝิงจงเหลียงยิ้มอย่างมีความสุข เจียงเซ่อเดินไปตรงหน้าต่าง เปิดหน้าม่านและหน้าต่างออก ตอนที่โน้มตัวไปดู เห็นเผยอี้ยืนอยู่บนสนามหญ้าข้างล่าง ท่ามกลางหญ้าอันเขียวขจี พวกของเนี่ยต้านอยู่ในชุดสูทสีดำ ยืนอยู่สองข้างของเขา พอได้ยินเสียงดังจากด้านบนก็เงยหน้าขึ้นมอง
ตอนที่เจียงเซ่อโน้มตัวออกมา เผยอี้เหมือนหยุดหายใจ เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งและชูมือทั้งสองข้างขึ้น
แสงอาทิตย์แรกในยามเช้าส่องสว่างบนตัวเธอ เธออยู่ในชุดเดรสสีฟ้าอ่อน บนไหล่มีผ้าคลุมหลายชั้น ภาพที่แต่งเติมมาเพื่อเขางดงามกว่าที่เขาคิดอยู่มาก
ความจริงเมื่อคืนฝนตกปรอยๆ บนหลังคาที่เป็นตัว ‘人’ ยังมีน้ำค้างอยู่บ้าง ภาพที่เธอยืนอยู่ข้างหน้าต่างแล้วยิ้มให้ตนเอง เผยอี้รู้สึกว่าเป็นภาพที่ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่อาจลืมลง
“ให้ฉันลงไปเหรอ?”
เธอยิ้มอย่างเบิกบาน เผยอี้พยักหน้าเหมือนคนโง่
เธอแกล้งวางมือที่หน้าต่างกระจก เหมือนจะรวบกระโปรงขึ้นพร้อมกระโดดลงมาจากชั้นสอง
“ไม่!”
ตอนแรกเขาพยักหน้าไม่หยุด แต่หลังจากเห็นท่าทางของเธอก็ตกใจและรีบส่ายหน้าอย่างรุนแรง “อย่ากระโดดลงมา ผมจะไปขอร้องให้พวกเขาเปิดประตูเอง”
แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าความสูงเพียงเท่านี้สามารถรับเธอเอาไว้ได้ แต่เพราะเป็นเธอ เขาจึงไม่สามารถเสี่ยงได้เลยแม้แต่น้อย ยอมไปอ้อนวอนให้พวกโม่อานฉีเปิดประตู
เจียงเซ่อยิ้ม
“ล้อเล่นน่ะ”
รอยยิ้มของเธอไม่ได้มีความรู้สึกอื่นแฝงเข้ามาเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากใจและออกมาผ่านดวงตาของเธอ
“ซนนัก”
เฝิงจงเหลียงส่ายหน้าอย่างเหลืออด น้อยมากที่เขาจะเห็นเจียงเซ่อเหมือนเด็กน้อย ชั้นล่างเสียงเคาะประตูอีกครั้ง เขาพยายามอ้อนวอน ที่ผ่านมาตอนที่พวกของโม่อานฉีเจอเขาเพราะฐานะของเขาจึงต้องเรียกว่า ‘พี่เผย’ ทุกครั้ง แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ตอนที่เจียงเซ่อลงมาจากชั้นสอง พวกของโม่อานฉีคิดว่าได้เวลาแล้วจึงเปิดประตู
เขาถือดอกไม้เอาไว้ช่อหนึ่ง ทันทีที่เข้าประตูไปก็เจอเจียงเซ่อทันทีและไม่คิดที่จะหยุดเดินเข้าไปหาเจียงเซ่อแล้วยัดดอกไม้ใส่มือของเธอและก้มลงอุ้มเธอขึ้นมา
“โอ้ว้าว...”
เฉิงหรูหนิงตะโกนเสียงดังยิ้ม เนี่ยต้านยิ้ม
“นี่ก็รีบจัง”
เขาอุ้มขึ้นมาแล้วก็เดินออกไปเลย ภาพนี้ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
คุณนายเฝิงก็กำลังยิ้มเช่นกัน แต่รอยยิ้มนี้แฝงความไม่อยากจะเชื่อ เธอดึงเซี่ยเชาฉวินเข้ามาและถามด้วยความแปลกใจ
“เผยอี้ชอบแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
เธอเป็นสะใภ้บ้านตระกูลเฝิงมาสิบกว่าปีแล้ว ช่วงที่รักกับเฝิงชินหลุนมากที่สุดก็ยังไม่เคยร้อนแรงขนาดนี้มาก่อน
สำหรับคุณนายเฝิงแล้ว ครอบครัวอย่างพวกเขาถ้าสามารถรักษาความสัมพันธ์เบื้องหน้าเอาไว้ได้ ก็เรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดีแล้ว
การแต่งสะใภ้ของตระกูลใหญ่ๆ จะต้องได้ผลประโยชน์ สืบทอดกิจการและสามารถควบคุมภาพลักษณ์ได้ ชาติตระกูล ฐานะล้วนสำคัญและรูปลักษณ์เป็นสิ่งที่รองลงมา
“ทำไมถึงจะไม่ชอบล่ะค่ะ?”
เซี่ยเชาฉวินยิ้ม สำหรับภาพที่อยู่ตรงหน้า เธอเห็นมามากและชินไปแล้ว คุณนายเฝิงกลับยังไม่ได้สติจากสิ่งที่เกิดขึ้น เธอตบมือคุณนายเฝิงเบาๆ เพื่อเรียกสติ
“คุณนายเฝิง ไปกันเถอะค่ะ”
ครั้งนี้เจียงเซ่อต้องกลับไปไหว้ผู้ใหญ่ พ่อแม่ของเผยอี้ที่บ้านตระกูลเผย งานแต่งถูกแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงเช้าจะเป็นพิธีแบบดั้งเดิมที่บ้านตระกูลเผยก่อน หลังจากนั้นจึงนั่งรถไปที่ฮอลล์เพื่อพบปะแขกที่มาร่วมงาน ตอนเย็นเป็นงานแต่งสไตล์ตะวันตก
วันนี้ที่จงเจิ้งฮอลล์เต็มไปด้วยผู้คน พนักงานรักษาความปลอดภัยตรวจแขกผู้มีเกียรติทุกคนที่มาร่วมงานอย่างจริงจัง
ภายในสวนถูกตกแต่งด้วยดอกกุหลาบจำนวนมากและล้วนเป็นดอกที่ขนส่งทางอากาศมาจากต่างประเทศที่ส่งกลิ่นหอมบริสุทธิ์ พรมแดงที่เตรียมไว้ให้แขกผู้มีเกียรติยาวตั้งแต่นอกสวนเข้าไปในประตูฮอลล์
หลังจากพบปะแขกผู้มีเกียรติแล้ว ลำดับต่อไปจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของงานแต่ง
ด้านนอก ท่ามกลางหญ้าอันเขียวขจีถูกดอกไม้สดล้อมรอบเอาไว้ บนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางมีใบทะเบียนสมรสที่ทั้งสองจะต้องเซ็นเพื่อเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ
ภายในงานได้เชิญวงดนตรีมาบรรเลง คนของตระกูลตู้ก็ถูกเชิญมาด้วยและนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่ให้ความรู้สึกเหมือนไม่เข้ากับคนในงานนัก
ท่ามกลางเสียงเพลงอันผ่อนคลาย คนรอบข้างพูดคุยกันเบาๆ ข้างหน้าบริเวณจุดสิ้นสุดของพรมแดง คนของตระกูลเผยดูเหมือนกำลังเจรจาอะไรสักอย่างกันอยู่
ทางที่เจ้าสาวจะเดินมาเต็มไปด้วยดอกกุหลาบ ตู้หงหงเห็นแล้วอิจฉาไม่น้อย
เธอมีแม่คนเดียวกับเจียงเซ่อ แต่รูปลักษณ์และฐานะของทั้งสองกลับไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง
หลายปีมานี้ ฐานะทางบ้านดีขึ้นมาก แต่เมื่อเทียบกับเหล่าสังคมชั้นสูงที่อยู่รอบข้างแล้วฐานะของบ้านตระกูลตู้ก็ยังไม่เพียงพอ ถึงแม้จะเป็นญาติของเจียงเซ่อ แต่เพราะหลายปีมานี้ ไม่ได้สนิทสนมกันมากนักเพราะฉะนั้นตระกูลตู้จึงถูกจัดให้นั่งโต๊ะเดียวกัน ในตำแหน่งที่ไม่ใกล้และไม่ไกลมากนัก
เผยอี้ยืนอยู่บนเวทีที่เต็มไปด้วยดอกไม้สดและรอมานานมากแล้ว
ตอนที่เฝิงจงเหลียงถูกเจียงเซ่อคล้องแขนออกมา ผู้คนที่พูดคุยกันในตอนแรกเงียบลงมาก
เธออยู่ในชุดแต่งงานลากยาว กระโปรงแผ่ออกกว้างไปด้านหลัง เพชรที่อยู่ด้านบนส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางอาทิตย์ เพิ่มสง่าราศีให้กับเจ้าสาวในวันนี้มากขึ้นกว่าเดิม
ชุดแต่งงานชุดนี้เป็นชุดที่คุณนายเผยสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษให้เธอถึงฝรั่งเศสด้วยตนเอง ผ้าคลุมชีฟองอันประณีตถูกปล่อยลงมาบดบังหน้าของเธอเอาไว้เล็กน้อยและส่ายไหวไปมาเพราะการเคลื่อนไหวของเธอ
ความกังวลและร้อนใจของเผยอี้วินาทีที่เจียงเซ่อปรากฏตัวก็หายไปทั้งหมด
เฝิงจงเหลีงจูงมือเจียงเซ่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขาของเขาเคยได้บาดเจ็บหรือเพราะอย่างอื่น ทำให้เขาเดินช้ามาก ทุกก้าวเดินที่ผ่านไปล้วนแฝงความอาลัยอาวรณ์
ญาติพี่น้องตระกูลเผยยืนดูอยู่ข้างๆ เผยอี้รอเธออยู่ในบริเวณที่ไกลออกไป วินาทีนี้เจียงเซ่อเหมือนพอจะเข้าใจความรู้สึกในตอนนี้ของคุณปู่ไม่น้อย
กลีบดอกไม้ถูกโรยออกมาจากตะกร้าของเด็กผู้หญิงที่อยู่สองข้างทาง จนเต็มพรมแดงเส้นนี้
คนรอบข้างต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ฐานะของเฝิงจงเหลียง ตู้หงหงก้มหน้าลงอย่างไม่พอใจ
“หล่อนคิดว่าพ่อฉันต้อยต่ำ ถ้ามาจูงมือหล่อนตอนนี้จะทำให้หล่อนขายหน้าใช่ไหม”
โจวฮุ่ยไม่ได้พูดอะไร หลายปีมานี้ชีวิตของเธอดีขึ้น มีเจียงเซ่อคอยเลี้ยงดู ไม่ต้องทุกข์ใจเพราะเรื่องเงินอีกต่อไป สีหน้าจึงดูดีขึ้นมากและเริ่มแต่งตัวให้มีสง่าราศีมากขึ้น
แต่พอมาอยู่ท่ามกลางหญิงสาวจากตระกูลขั้นสูง ก็ยังเห็นได้ชัดว่ายังดูแตกต่าง
เธอรู้ดีว่าถึงแม้หลายปีมานี้ เจียงเซ่อจะยังคงให้ค่าเลี้ยงดูกับตระกูลตู้ แต่ความจริงความสัมพันธ์ห่างเหินกันไปนานแล้ว บาดแผลที่สั่งสมมานาน ใช่ว่าจะสามารถชดเชยได้ ตอนนี้ตู้หงหงยังจะมาแสดงความไม่พอใจอีก เพราะคำพูดของเธอ ทำให้สีหน้าของตู้ชางฉวินดูแย่ไม่น้อย
ความจริงแล้วทั้งชีวิตของโจวฮุ่ยยอมมาตลอดจนชินซะแล้ว แต่ก็ยังได้ยินตู้หงหงพูดไม่หยุด
“...ก็ได้ดีแล้วลืมกำพืด ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะพ่อฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปตายอยู่ที่ไหน...”
“พอได้แล้ว!”
เธอต่อว่าเบาๆ ทันทีที่พูดจบตู้หงหงก็อึ้งไป
“แม่ แม่พูดว่าอะไรนะ”
“ฉันบอกว่าพอได้แล้ว”
คนทั้งบ้านกำลังทะเลาะกันเบาๆ ในช่วงเวลาแบบนี้ จึงกลายเป็นจุดสนใจของคนจำนวนไม่น้อย โจวฮุ่ยพลันกำหมัดแน่นและหน้าแดง
“พี่สาวเธอไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อเรา หยุดพูดได้แล้ว”
หลังจากเธอเป็นสะใภ้บ้านตระกูลตู้ แม้ตอนแรกตู้ชางฉวินบอกว่าจะยอมรับพวกเธอทั้งสองแม่ลูก แต่ก็รังเกียจกำพืดและไม่ชอบลูกเลี้ยงคนนี้
ในบ้านตระกูลตู้ ห้องที่เธออยู่เป็นห้องเล็กที่กันออกมาอีกที ลมไม่สามารถพัดเข้าได้ ไม่ว่าจะฤดูร้อนหรือหนาวก็ไม่กล้าเปิดไฟ ถ้าใช้น้ำใช้ไฟมากเกินไป บางทีก็จะถูกตู้ชางฉวินทำร้ายหรือด่าว่า เพื่อเอาใจสามี โจวฮุ่ยก็จะคอยไปตักเตือนก่อนทุกครั้ง
สถานการณ์แบบนี้หล่อหลอมให้ลูกสาวกลายเป็นคนที่มีนิสัยแปลกประหลาด ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน ถูกทำร้ายร่างกายอยู่เป็นประจำ เอาแต่วาดฝันว่าจะทำงานให้ได้เงินเยอะๆ จึงทำให้ทุกคนรอบข้างต่างหัวเราะเยาะและเสียดสี
เพราะเธอไม่เชื่อฟัง ทำให้ถูกตู้ชางฉวินสั่งสอนอยู่ตลอดเวลา จนครั้งสุดท้ายที่ตู้ชางฉวินลงมือหนักที่สุด ก็ราวกับจะเธอจะว่าง่ายขึ้น ตั้งแต่นั้นมาเธอเหมือนจะเข้าอกเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น
เข้าวงการบันเทิง กลายเป็นดาราดัง สร้างตัวและมีสามีที่ดี ความฝันในตอนนั้นของเธอ ตอนนี้ได้ค่อยๆ เป็นจริงแล้ว
เธอยังคงเลี้ยงดูบ้านตระกูลตู้ เลี้ยงโจวฮุ่ยและพ่อเลี้ยง สำหรับโจวฮุ่ยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจียงเซ่อทำเหมือนเป็นหน้าที่ ความสนิทชิดเชื้อเหลือไม่มากนัก สิ่งเดียวที่มีคือความสัมพันธ์ที่ใช้เงินทองเป็นเครื่องเยียวยา
เมื่อก่อนตอนยากจน เธอเอาแต่ทุกข์กับชีวิต จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ตอนนี้ชีวิตไม่ลำบากแล้ว โจวฮุ่ยนึกถึงหลายปีมานี้ที่ความสัมพันธ์กับลูกสาวห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
แม้ว่าเธออยากจะชดใช้แล้วจะชดใช้อย่างไรเล่า จนถึงตอนนี้แม้กระทั่งเงินที่ส่งมาในทุกๆ เดือนก็ผ่านมือผู้จัดการทรัพย์สิน แม้กระทั่งเบอร์ของเจียงเซ่อเธอยังไม่กล้าโทรไปด้วยซ้ำ
ความจริงตอนที่ลูกสาวคนนี้คลอดออกมา ความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นแบบนี้ เธอเคยหวัง หวังว่าอนาคตก็จะรักเธอ แต่ความรักแบบนั้นได้พ่ายแพ้ให้กับชะตาชีวิต
คำพูดพวกนี้ของตู้หงหงพูดออกมาโดยไม่ได้คิด ตอนที่เจียงเซ่อยังอยู่บ้านตระกูลตู้ เธอก็พูดจนชินไปแล้ว แต่ตอนนี้โจวฮุ่ยได้ยินกลับรู้สึกแทงใจดำมาก อดคิดไม่ได้ว่าตอนนั้นเจียงเซ่อทนมาได้อย่างไรและมีสภาพจิตใจอย่างไรกับการที่เธอคอยย้ำให้ลูกสาวอดทนอดกลั้นเหมือนกับเธอ
“ถ้าแกยังไม่หยุดพูด แกก็ออกไปเลย เงินที่พี่สาวแกโอนมาทุกเดือน แกก็ไม่ต้องเอา ตอนนี้พี่แกแต่งงานแค่เชิญเราก็มากพอแล้ว”
เธอยอมคนมานาน อยู่ๆ ก็พูดขึ้นแบบนี้จึงทำให้ตู้หงหงและตู้ชางฉวินต่างก็อึ้งไป
โจวฮุ่ยไม่สนใจสายตาของสามีและลูกสาว กัดริมฝีปากมองเฝิงจงเหลียงที่จูงมือเจียงเซ่อแล้วอดคิดถึงใครอีกคนไม่ได้
ในงานแต่งงาน พ่อแท้ๆ ของเธอไม่ได้ปรากฏตัว ด้วยความสำคัญที่เขามีให้ลูกสาว ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้เขาไม่สามารถมาร่วมงานได้ เรื่องนี้อาจจะทำให้เขาทรมานมากที่สุดแล้ว
หลังจากที่เขาออกจากคุก เธอเคยไปเจอเขาครั้งหนึ่ง เขาเปลี่ยนไปไม่น้อย แต่แววตาก็ยังเป็นเอกลักษณ์เหมือนตอนที่ทำให้เธอหวั่นไหวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ จนในสายตาไม่สามารถมีผู้ชายคนไหนได้อีก
เจียงเซ่อเป็นลูกสาวของเขา หน้าตาเหมือนเขามาก ตอนสาวๆ เธอเห็นเจียงจื้อหยวนก็หลงใหล รู้สึกว่าตนเองโดนหลอกจึงได้เลือกตู้ชางฉวินที่รูปลักษณ์ไม่ได้งดงามมากนัก หลายปีมานี้เธอปลอบใจตนเองว่า สิ่งที่ตนเองเลือกดีที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้พอมองย้อนกลับไปแล้ว เธอคิดถึงความรู้สึกตอนที่เจอชายหนุ่มคนนั้นครั้งแรกแล้วอดน้ำตาไหลไม่ได้
ถ้าตอนนั้นเธอเข้มแข็งกว่านี้ ไม่ได้เลือกที่จะฝากอนาคตของตนเองไว้กับใครอีกคน ถ้าเธอยืนยันที่จะเลี้ยงลูกสาวและขยันทำงาน ชีวิตของเธอจะแตกต่างจากตอนนี้ใช่หรือไม่?
ไม่ต้องอดทนอดกลั้นมายี่สิบกว่าปี ไม่ต้องห่างเหินกับลูกสาว บางทีหลังจากเจียงจื้อหยวนชดใช้ความผิดจนหมดแล้ว ในวินาทีนี้ ผู้ชายคนนั้นอาจจะเป็นคนจูงมือเจียงเซ่อ
เธอคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งควบคุมตนเองไม่ได้ น้ำตาพลันไหลไม่หยุด
คนรอบข้างและคนตระกูลตู้คิดว่าเธอตื้นตันใจเพราะเจียงเซ่อแต่งงาน ไม่รู้เลยว่าวินาทีนี้ในใจของเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ปู่คิดถึงตอนที่จูงมือหลานออกจากฮ่องกง ตอนนั้นหลานสูงแค่นี้”
อยู่ๆ เฝิงจงเหลียงก็พูดขึ้น ดึงเจียงเซ่อเข้าไปในความทรงจำทันที
ตอนนั้นเธอยังเด็กและพึ่งถูกกระทบกระเทือนจิตใจจนต้องออกจากบ้านที่คุ้นเคย ออกจากฮ่องกงและไปใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่ตี้ตูกับคุณปู่ที่เป็นคนที่เข้มงวดในสายตาของเธอ
ความจริงตอนนั้นเธอกระวนกระวาย สำหรับความหวาดกลัวที่ไม่มีสาเหตุและความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ถูกคนในครอบครัวทอดทิ้งวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ ทำให้เธอจับมือเฝิงจงเหลียงแน่นตลอดทาง “เหมือนตอนนี้ที่คิดว่าปู่เป็นพึ่งเดียวที่หลานมี”