บทที่ 650-1 สิ่งที่ต้องการ
เจียงจื้อหยวนไม่มีเพื่อน ไม่มีอะไรต้องห่วง หลังจากที่หายไปแล้ว เสี่ยวหลิวก็ใช้เวลาตามหาเบาะแสอยู่ระยะหนึ่ง แต่ก็พบว่าไม่มีใครสักคนที่สามารถให้ข้อมูลหรือเบาะแสอะไรได้เลย
“เขาเปลี่ยนห้องเช่าหลายที่มากครับ ดูท่าทางแล้วเหมือนต้องการจะหลบพวกเรา” นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เสี่ยวหลิวสืบออกมาได้ เพราะหลังจากนั้นก็ไม่สามารถหาเบาะแสอะไรที่เกี่ยวกับเจียงจื้อหยวนได้อีกเลย
นอกจากจะเป็นเพราะความชะล่าใจแล้ว ก็เป็นเพราะตัวเจียงจื้อหยวนเองมีความสามารถทางด้านการหลบหนีด้วย
ตัวของเขาเองก็เป็นคนที่มีนิสัยน่ากลัวมากอยู่แล้ว หลังจากการลักพาตัวเฝิงหนานในครั้งนั้นล้มเหลว นิสัยที่ต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาก็เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว
ที่พักที่ไหนที่เจียงจื้อหยวนเช่าพักอยู่นาน เสี่ยวหลิวก็ได้มีการจัดคนไปสืบค้นเพื่อหาเบาะแส ค้นหาทุกซอกทุกมุม ที่ตรงนั้นเขาใช้อาศัยอยู่นาน แต่กลับไม่มีการทิ้งร่องรอยหลักฐานที่บ่งบอกว่าเจียงจื้อหยวนเคยอยู่ที่นี่เลยสักนิดเดียว
ไม่มีเส้นผมสักเส้น ไม่มีใยผ้า ไม่มีร่องรอยการสูบบุหรี่ หรือกระดาษชำระอะไรเลยสักอย่าง ของทุกอย่างทุกจัดการและเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ทำเอาเสี่ยวหลิวรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปในทันที
เขาทำงานสะเพร่าเพราะเพียงแค่เห็นท่าทางที่ยอมโอนอ่อนของเจียงจื้อหยวนในตอนแรก จนหลงลืมไปว่าจริงๆ แล้วหมอนั่นก็เป็นคนที่อันตรายมากแค่ไหน
“ขอโทษนะครับ คุณท่าน”
เสี่ยวหลิวกัดฟันแน่นก่อนจะเอ่ยขอโทษออกมา “เป็นเพราะว่าผมประมาทเลินเล่อเกินไป”
เฝิงจงเหลียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ราวกับว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
“ไม่เกี่ยวกับเธอหรอก”
ในใจของเฝิงจงเหลียงนิ่งสงบ แต่พอฟังสิ่งที่เสี่ยวหลิวพูดแล้ว ก็ส่ายหน้าให้เขา
“เขาตั้งใจทำแบบนั้น ไม่ต้องการให้พวกเราหาตัวเจอ มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
คนอย่างเจียงจื้อหยวน เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก แถมยังเป็นคนฉลาด เคยถูกจับเข้าคุก ได้รับฝึกฝนหล่อหลอมจิตใจในแบบที่คนทั่วไปไม่มีทางนึกถึง
เคยมีประวัติติดคุกที่ฮ่องกง สำหรับคนอื่นแล้ว มันก็คงจะเป็นฝันร้ายที่ไม่มีทางลืมไปได้ตลอดชาติ แต่สำหรับเจียงจื้อหยวนแล้ว มันเหมือนเป็นแค่สถานที่สำหรับบ่มเพาะการ ‘เรียนรู้’ และ ‘เติบโต’ ของเขาเท่านั้น
ท่ามกลางผู้คนเป็นหมื่นเป็นล้าน อยากจะหาสักคนที่กำลังหลีกหนีกบดานตัว อย่างเจียงจื้อหยวนที่มีความรอบคอบและมีการเตรียมตัวมาอย่างดีแล้วนั้น นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะทำได้
จากในมุมนี้ ก็เหมือนเป็นการสะท้อนให้เห็นแล้วว่าการกระทำของเฝิงหนานนั้น ได้ ‘ยั่วโมโห’ เจียงจื้อหยวนเข้าให้แล้วจริงๆ
แค่ฟังสถานการณ์จากที่เสี่ยวหลิวพูด ก็พอจะเดาได้แล้วว่าการที่เจียงจื้อหยวนตัดสินใจทำแบบนี้ เป็นสิ่งที่ผ่านการวางแผนมานานแล้ว
มากพอที่จะยืนยันได้ว่าเจียงจื้อหยวนตั้งใจที่จะ ‘จัดการ’ เฝิงหนาน ต้องมีความคิดความตั้งใจแบบนั้นมานานแล้วแน่ๆ แต่ตอนนั้นเขารู้ได้อย่างไร ว่าเฝิงหนานต้องการที่จะเล่นงานเจียงเซ่อ?
เฝิงจงเหลียงใจกระตุกวาบ ก่อนจะสั่งเสี่ยงหลิวออกไป
“ไปตรวจสอบหาคนที่เคยติดต่อกับเฝิงหนานมาให้หมด”
การที่เฝิงหนานพุ่งเป้าไปที่เจียงเซ่อ สืบค้นประวัติของเธอจนเป็นการชักนำความแค้นของเจียงจื้อหยวนมาสู่ตัวนั้น นอกจากเฝิงจงเหลียงและคนที่คอยเฝ้าดูเฝิงหนานก่อนหน้านี้แล้ว เจียงจื้อหยวนเองก็เหมือนพอจะรู้แล้วเช่นกัน แต่หลังจากที่เรื่องทุกอย่างถูกเฝิงจงเหลียงสั่งเก็บเอาไว้ให้เป็นความลับ เฝิงหนานจึงไม่สามารถสืบค้นเบาะแสหรือข้อมูลอะไรที่ใช้การได้อีก
การสืบหาในครั้งนั้น ไม่น่าจะมากพอจนทำให้เจียงจื้อหยวนเกิดโมโหขึ้นมาได้แน่ๆ เขาเป็นคนฉลาด จากการที่ได้คุยกันต่อหน้าในครั้งนั้นแล้ว เขาก็น่าจะรู้อยู่แล้วการที่ให้เสี่ยวหลิวคอยเก็บกวาดให้เป็นเพราะอะไร
จะต้องเป็นเพราะว่าการกระทำของเฝิงหนานในภายหลังแน่ๆ ที่ทำให้เขาเกิดโมโหขึ้นมา ทำให้เขาเข้าใจว่าเฝิงหนานคือ ‘หายนะ’ เขาถึงได้ทุ่มสุดตัวขนาดนั้น
และการที่จะสามารถได้ยินหรือรับรู้ เรื่องราวการเป็นไปต่างๆ ของเฝิงหนานได้ จะต้องมีคนสนิทข้างตัวเธอที่เป็นคนคอยบอกแน่ๆ
บางทีข้างตัวเฝิงหนานอาจจะมีคนของเจียงจื้อหยวนอยู่ เลยทำให้สามารถรู้ถึงการกระทำของเฝิงหนานได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้เจียงจื้อหยวนรู้ว่าหล่อนเกลียดเจียงเซ่อ ถึงได้ทำให้เขาต้องทำแบบนั้น
ถึงแม้หลายปีมานี้เฝิงจงเหลียงจะไม่ค่อยสนิทกับเฝิงหนานเท่าไหร่แล้ว แต่ตัวเสี่ยวหลิวนั้นยังคงติดตามดูเฝิงหนานอยู่ตลอดเวลา ข้างตัวเฝิงหนานมีใครบ้างเสี่ยวหลิวเองก็มีข้อมูลเก็บเอาไว้หมด มันเป็นสิ่งที่ตระกูลเฝิงต้องทำเป็นประจำอยู่แล้วตั้งแต่ที่ ‘เธอ’ ถูกลักพาตัวไปในครั้งนั้น
ตอนนี้เสี่ยวหลิวสามารถที่จะหาข้อมูลให้ได้เลย แต่เมื่อลองก้มดูเวลาแล้ว “ดึกมากแล้วนะครับ คุณท่าน ควรที่จะพักผ่อนได้แล้วนะครับ”
ช่วงนี้อากาศเริ่มที่จะเย็นลงอีกแล้ว แถมคืนนี้ก็เป็นคืนที่พิเศษ ข้างนอกมีแต่ผู้คนเต็มไปหมด ในวันที่หนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ เข้าฉายแบบนี้ จะต้องยุ่งวุ่นวายมากแน่ๆ เพราะเขาได้ดูมาแล้วล่วงหน้า ดังนั้นจึงไม่ต้องไปเฉียดเข้าใกล้ความครึกครื้นเหล่านั้น
แต่การที่ได้อยู่ในบ้านแบบนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้สบายใจเลยสักนิดเดียว เรื่องพวกนี้มันเหมือนประเดประดังเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เขารู้สึกสิ้นเปลืองความคิดเป็นอย่างมาก หลังจากที่คุยโทรศัพท์กับเฝิงชินหลุนเสร็จแล้ว จิตใจของเฝิงจงเหลียงก็ดูจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว ดึกขนาดนี้ยังไม่ได้เข้านอน แถมยังต้องมาคอยทุ่มเทความคิดจัดการเรื่องพวกนี้ของเฝิงหนานอีก เสี่ยวหลิวเองก็เป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเขา
แต่ในเมื่อเฝิงจงเหลียงยืนยันที่จะดูมันตอนนี้ให้ได้ เสี่ยงหลิวก็จนใจที่จะห้าม จึงทำได้แค่รีบหาประวัติและข้อมูลคนที่อยู่รอบตัวเฝิงหนานมาให้
“ที่ดูผิดแปลก ก็คงจะมีแค่คนนี้นะครับ”
เขาหยิบข้อมูลประวัติของไต้เจียขึ้นมา “เด็กสาวคนนี้เคยรู้จักกับคุณหนูเจียงมาตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อน เมื่ออายุยี่สิบสองถูกต้องโทษคดีฆาตกรรม ถูกส่งเข้าเรือนจำหญิงชานเมืองตะวันตก และได้คุณชายเนี่ยเป็นคนช่วยหาทนายความเพื่อให้รอดพ้นออกมาได้”
เริ่มจากไต้เจียเคยรู้จักกับเจียงเซ่อมาก่อน มาถึงตอนหลังที่ได้เนี่ยต้านมาช่วยหาทนายความเพื่อมาดูแลคดีให้ คอยเป็นผู้ไกล่เกลี่ย “อาจเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้มีคุณหนูเจียงเป็นคนขอให้ช่วยเหลือครับ”
แต่หลังจากที่ไต้เจียออกมาจากคุกแล้ว กลับไม่ได้ติดต่อพบเจอกับเจียงเซ่ออีกเลย หลังจากนั้นหล่อนก็ยังหางานทำไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มาทำงานกับเฝิงหนาน จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่เฝิงหนานถูกเฝิงจงเหลียงส่งตัวกลับไปที่ฮ่องกง เจียงหนานบันเทิงที่ก่อตั้งขึ้นมาก็ไม่มีหนทางที่จะอยู่ต่อไปได้ ประกาศปิดตัวไป ไต้เจียถึงได้ออกมาจากจุดนั้น
ถ้าหากว่าเฝิงจงเหลียงจะสงสัยใครสักคนที่อยู่ข้างเฝิงหนานและเป็นสายให้กับเจียงจื้อหยวนล่ะก็ ก็คงจะต้องเป็นไต้เจีย
เสี่ยวหลิวบอกว่าพรุ่งนี้จะลองไปหาประวัติการโทรของไต้เจียในปีนี้ดู มีบางเรื่องแค่ลองไปสืบหาก็พอที่จะเดาเรื่องทั้งหมดได้แล้ว
คืนนี้เรื่องวุ่นวายใจมันเยอะมากจริงๆ เฝิงจงเหลียงเปิดดูข้อมูล รู้สึกได้ทันทีว่าในใจมันรู้สึกแย่มากๆ
คุณท่านในคืนนี้ดูผอมและไร้เรี่ยวแรงจริงๆ ท่ามกลางแสงไฟทำให้ใบหน้าของเขายิ่งดูตอบลงมากทีเดียว เสี่ยวหลิวที่ได้เห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกกังวล พอกำลังจะพูดให้เขายอมไปพัก สายเรียกเข้าจากเจียงเซ่อก็ดังขึ้นมาพอดี
จากจิตใจที่กำลังดำดิ่งในตอนแรกของเฝิงจงเหลียง เพียงแค่ได้รับสายจากเจียงเซ่อ สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นมาก
“เซ่อเซ่อหรือ? ยังไม่เข้านอนอีกงั้นหรือ?”
ตอนที่เขาพูดคุย ในแววตาของเขาก็เป็นประกายวับราวกับว่าได้พบกับช่วงเวลาที่น่าบินดีอย่างไรอย่างนั้น “ปู่เองก็เห็นข่าวของอาอี้แล้ว”
ในนาทีนี้เสี่ยวหลิวเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า เหมือนกับตอนนี้เฝิงจงเหลียงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับคนสนิทชิดเชื้ออย่างไรอย่างนั้น แถมยังดูสนิทใจและคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าตอนที่คุยกับเฝิงชินหลุนเสียอีก
ก่อนหน้านี้เสี่ยวหลิวพยายามพูดให้เฝิงจงเหลียงไปพักผ่อนตั้งหลายรอบ แต่เขาก็ทำสีหน้ารำคาญใส่ แต่พอเจียงเซ่อแค่บอกว่าให้เขารักษาร่างกายและพักผ่อนเยอะๆ เขาก็ดันหัวเราะขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะทำเหมือนหงุดหงิด แต่เป็นใครก็คงรู้ว่าตอนนี้บนใบหน้าของเขากำลังมีแต่รอยยิ้ม
“ร่างกายของปู่เอง คิดว่าปู่จะไม่รู้หรืออย่างไร? เสี่ยวหลิวเองก็ทำให้ปู่รู้สึกรำคาญมาพอแล้ว เธอยังจะมาบ่นใส่ปู่อีกอย่างนั้นหรือ!”
หลังจากที่พูดคุยกับเจียงเซ่อเสร็จแล้ว ความวุ่นวายใจทั้งหลายที่อยู่ในตัวเฝิงจงเหลียงก็เหมือนจะสลายหายไปหมด พอรู้ว่าคืนนี้เจียงเซ่อเองก็ผ่านเรื่องราวมามาก ก็บอกให้เธอรีบๆ พักผ่อนได้แล้ว และตัวเขาเองก็ทนไม่ได้ที่จะให้เธอมาคอยกังวลเรื่องตัวเองอีก พอล้มตัวลงบนเตียงแล้ว ก็บอกให้เธอรีบๆ เข้านอนอีกครั้ง ถึงค่อยบอกราตรีสวัสดิ์แล้ววางสายไป