บทที่ 351 ใจบุญ
เทียบกับดารานักแสดงทั่วๆ ไปแล้ว ถ้าเจียงเซ่อรับแสดงหนังของฮั่วจือหมิงก็ถือว่ายังได้เปรียบอยู่มาก อยากแรกเลยคือชื่อเสียงของเธอก็เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแรงดึงดูดยอดขายบัตรด้วย ถึงพวกนักลงทุนจะไม่ชอบฮั่วจือหมิง แต่อย่างน้อยพวกนักลงทุนก็ชอบเจียงเซ่อ
ถ้าลดลงมาอีกนิด ถึงแม้ว่าหนังของเจียงเซ่อจะเป็นตัวฉุดรั้งฮั่วจือหมิง จนทำให้พวกนักลงทุนเกิดความลังเลใจแล้วละก็ แต่อย่างไรเจียงเซ่อก็ยังมีเผยอี้อยู่ คนอื่นไม่คิดจะลงทุน แต่อย่างไรเผยอี้ก็ต้องช่วยสนับสนุนเธออยู่แล้วแน่ๆ
เรื่องของเงินลงทุน เธอไม่มีขาดอยู่แล้ว และนี่ก็ถือว่าเป็นความได้เปรียบของเธออย่างหนึ่ง และมันก็เป็นอีกสิ่งที่เซี่ยเชาฉวินจะลองให้เจียงเซ่อได้ลองพนันดู
เจียงเซ่อเองก็เข้าใจว่าเซี่ยเชาฉวินอยากจะทำอะไร เข้าใจว่าหล่อนนั้นมีการวางแผน บวกกับที่เชื่อในตัวเธอเองด้วย ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เซี่ยเชาฉวินรู้สึกเป็นสุขใจไม่น้อย การที่ได้พูดคุยกับคนฉลาด หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความก็สามารถเข้าใจกันได้ แค่พูดถึงจุดสำคัญไม่ต้องขยายความอะไรให้มาก
หลังจากที่ส่งรายงานไปให้ศาสตราจารย์เถียนและผ่านเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เจียงเซ่อหาเวลาว่างๆ กลับไปที่มหาวิทยาลัยนั้น ศาสตราจารย์เถียนเองก็แสดงท่าทางเสียดายต่อเธออย่างไม่ปิดบัง
ถ้าหากว่าเธอไม่เข้าวงการบันเทิง เธอก็อาจสามารถสอบเข้าเรียนสาขาโบราณคดีได้ เพราะเธอดูจริงจังและตั้งใจในทางด้านนี้มากๆ ในเวลาครึ่งปีที่ไปฝึกงานมานี้เธอก็ไม่เคยใช้เวลาสิ้นเปลืองเลยแม้สักวินาทีเดียว และรูปรายงานก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในช่วงเวลาที่ได้รู้จักกัน ทำให้ศาสตราจารย์เถียนก็พอที่จะรู้ถึงนิสัยของเจียงเซ่อแล้ว เธอมีความหนักแน่นมากๆ ความอดทนของเธอก็ดี แม้จะเป็นงานที่ดูน่าเบื่อแค่ไหนเธอก็ยังตั้งใจทำอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่มีการ ไม่มีอิดออดไม่มีข้ามขั้นตอนใดๆ ทั้งนั้น
“ถ้าหากว่าความตั้งใจของเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้ ฉันก็คงจะเสนอให้เธอมาอยู่ที่สาขาโบราณคดีแล้ว วันหลังจบออกมา ก็ยังสามารถก้าวขึ้นไปได้อีกขั้น”
ศาสตราจารย์เถียนถอนหายใจออกมา เธอเรียนอยู่สาขาประวัติศาสตร์ พื้นฐานความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ถือว่าดีมาก ถ้าหากว่าความตั้งใจของเธออยู่ในจุดนี้แล้วละก็ เธอก็ถือว่าเป็นบุคคลวัยหนุ่มสาวอีกคนที่มีอนาคตไม่น้อย แต่ก็น่าเสียดาย ที่เธอไม่ได้ให้ความสนใจทางด้านนี้อย่างจริงๆ จังๆ
“สำหรับหนูแล้ว การที่ได้เรียนรู้กับอาจารย์ในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากๆ เลยค่ะ ขั้นตอนการเรียนรู้ต่างๆ ถือว่าสนุกและน่าสนใจมากๆ” เจียงเซ่อพูดคุยกับศาสตราจารย์เถียนอยู่หลายประโยค พอสอบซ่อมประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว ตารางชีวิตของเธอก็รัดตัวไปหมด
อย่างแรกเลยคือเธอต้องไปเข้าร่วมงานสินค้าตามที่เซี่ยเชาฉวินได้จัดไว้ให้ ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมตัวที่จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลด้วย
ตั้งแต่ที่เข้าวงการมาจนถึงตอนนี้ น้อยมากที่เธอจะมาออกงานเลี้ยงแบบนี้ และในงานเลี้ยงในครั้งนี้เธอก็ได้มีการเตรียมของที่จะนำไปบริจาคด้วย
พอลองมีพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ถึงแม้ว่าเจียงเซ่อจะไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าอะไรมากมาย แต่ของที่มีอยู่ก็ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
ในตอนที่เตรียมของที่จะนำไปบริจาคนั้น เซี่ยเชาฉวินก็ได้จัดการหาคนสองคนมาช่วยเธอจัดการแทน บ้านพักตากอากาศที่โม่อานฉีจัดการเช่าให้เธอทั้งสองชั้น พร้อมกับโรงจอดรถอีกหนึ่ง เนื้อที่ทั้งหมดก็เกือบจะสามร้อยตารางเมตรแล้ว แต่ของที่มีอยู่ก็เรียกว่าใส่ได้ไม่พอ
ตามที่ชื่อเสียงของเธอค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ้นค้าจากหลายๆ แบรนด์ก็เริ่มที่จะเข้ามาช่วยส่งเสริมเธอ ทั้งรองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ ก็ได้เข้าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ไปแล้ว เซี่ยเชาฉวินจึงตั้งใจว่าจะให้เธอเปลี่ยนห้องด้วย
นักจัดการบัญชียวี๋เว่ยกำลังรายงานถึงทรัพย์สินที่เธอมีอยู่ในครอบครอง หล่อนคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
“หลังจากนี้คุณเจียงมีหนังที่จะรับเล่นใช่ไหมละคะ?”
เจียงเซ่อพยักหน้า ยวี๋เว่ยก็หยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมา
“ในตอนนี้ค่าตัวของคุณต่อหนังหนึ่งเรื่องอยู่ที่ห้าสิบล้านนะคะ”
ตอนที่รับเล่นหนังเรื่อง ‘Evil’ ค่าตอบแทนของเจียงเซ่อยังอยู่ที่สามสิบล้านเท่านั้น แต่หลังจากที่หนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับฉันที่รักเธอ’ ออกฉายไป เจียงเซ่อก็ถูกยกให้เป็นนางเอกแนวหน้าแล้ว ค่าตอบแทนของเธอก็พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ประมาณห้าสิบล้าน ถือว่าสูงมาก สำหรับดาราสาวของซื่อจี้หยินเหอ
ยวี๋เว่ยดูรายการทรัพย์สินของเธอ “ค่าตอบแทนก้อนสุดท้ายเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้วนะคะ หลังจากที่หักส่วนของบริษัทไป ตอนนี้ยอดในบัญชีของคุณเจียงเซ่ออยู่ที่ประมาณแปดล้านค่ะ” หล่อนใช้ปากกาชี้ๆ บนเอกสาร “แต่ว่าก่อนหน้านี้คุณได้เบิกเงินไปเป็นจำนวนหนึ่งล้าน จึงเหลืออยู่ที่ประมาณเจ็ดล้านนะคะ”
หนึ่งล้านที่เธอขอเบิกออกมานั้นก็คือเอาไปจ่ายค่าหินหวงเถียนให้กับเฝิงจงเหลียงนั่นเอง ยวี๋เว่ยเองก็ไม่มีมีการสงสัยหรือแปลกใจว่าเธอเอาเงินเหล่านั้นไปทำอะไร เพียงแค่พูดว่า
“คุณเคยคิดเอาไว้ไหมคะ ว่าหลังจากที่รับแสดงหนังเรื่องต่อไปเสร็จแล้ว มีแผนที่จะซื้อบ้านเป็นทรัพย์สินของตัวเองบ้างไหม?”
ปัจจุบันราคาบ้านในตี้ตูนั้นมันสูงจนน่าตกใจ ถึงแม้ว่าเจียงเซ่อจะเดินมาถึงตรงจุดนี้แล้ว แต่ก็ยากอยู่ดีที่จะซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง ส่วนห้องพักที่เธอเช่าอยู่ ราคาก็ประมาณสี่สิบล้านขึ้นไปแล้ว
ความคิดแบบนี้เคยโผล่เข้าในหัวของเจียงเซ่อ แต่ก็หายออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะซื้อบ้านสักหลัง ยวี๋เว่ยยังคงพูดถึงเรื่องนี้กับเธอ เหตุผลที่ยวี๋เว่ยพูดแบบนั้นเธอเองก็เข้าใจดี เพราะค่าเช่าที่นี่ก็ไม่ใช้ถูกๆ ถ้าหากว่าเปลี่ยนใหม่ที่ใหญ่กว่านี้ ค่าเช่าก็จะแพงขึ้นด้วย แต่เธอแค่ยังซื้อไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
หลังจากปฏิเสธยวี๋เว่ยไปแล้ว เซี่ยเชาฉวินพูดคุยกับเจียงเซ่อถึงเรื่องของที่จะเอาไปบริจาค
นอกจากเครื่องประดับและเสื้อผ้าบางส่วนแล้ว ก็ยังต้องมีของอีกสักสองชิ้นที่เป็นแบรนด์เล็กๆ มาเป็นอันดับรั้งท้ายด้วย
ของเล็กๆ น้อยๆ ของเธอก็ใช่ว่าจะมีน้อยๆ แต่อันที่มันเหมาะสมกับเจียงเซ่อจริงๆ ก็มีไม่มาก ของพวกนี้ได้มาในตอนที่เธอยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายอะไรนัก ชื่อเสียงในวงการไม่ได้มั่นคงเท่าไหร่
นอกจากเครื่องประดับบางส่วนที่ทาง Gang Hua Jewelry ส่งมาให้แล้ว เจียงเซ่อก็ไม่ได้มีเครื่องประดับราคาแพงอย่างอื่นอีก และไม่มีของอะไรที่รู้สึกว่าเป็นที่ระลึกหรือมีความหมายอะไรด้วย
โม่อานฉียังคงนั่งคิดไม่ตก เจียงเซ่อคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกถึงของบางอย่างที่คิดว่าเหมาะที่จะนำไปบริจาคขึ้นมาได้ และไม่ได้เป็นของที่ดูด้อยค่าเกินชื่อเสียงของตัวเองด้วย
“อานฉี พี่ช่วยไปหยิบชุดราตรีสองชุดที่ทาง Julien ตัดให้ ในตอนที่ไปถ่ายแบบที่ปารีสให้หน่อยสิคะ”
เซี่ยเชาฉวินพยักหน้า และรู้สึกชื่นชมในการตัดสินใจของเจียงเซ่อ
ชุดราตรีสองชุดนั่นถูกตัดเย็บโดยฝีมือของ Julien ฝีมือถือว่าไม่เลวเลย ที่สำคัญก็คือ มันเป็นสองชุดที่เธอให้ถ่ายโฆษณา Gang Hua Jewelry แล้วเกิดมีชื่อเสียงขึ้นมานั้นเอง
พวกเหล่าแฟชั่นนิสต้าเองก็ชื่นชมในเสื้อผ้าของเธอไม่น้อย หลายๆ คนก็ได้รับกระแสนิยมจากตอนนั้น บนอินเทอร์เน็ตเองก็มีการลอกเลียนแบบเสื้อผ้ามาขายด้วย
อีกทั้งยังมีขนาดที่ว่ามีบางคนที่เห็นชุดราตรีที่เจียงเซ่อใส่ในโฆษณาแล้ว ก็พากันบินไปปารีสด้วยตัวเอง และขอให้ Julien ช่วยตัดเย็บเสื้อแบบเดียวกันให้ แต่ก็โดน Julien ปฏิเสธมา
เขาจะไม่ปักเย็บเสื้อราตรีซ้ำกันหลายๆ ตัว ถ้าเขาลงมือตัดเย็บไปชุดหนึ่งแล้ว ก็จะไม่มีตัวที่สองอีก
และเพราะกฎเกณฑ์แบบนั้นจึงทำให้ชุดราตรีสองชุดนี้ดูมีความพิเศษขึ้นมาเป็นเท่าตัว บวกกับที่มันเป็นของที่เจียงเซ่อเคยสวมใส่ แน่นอนว่ามันจะต้องช่วยเพิ่มมูลค่าของมันขึ้นอีก ถ้านำไปบริจาค ก็คงจะไม่ใช่สินค้าที่อยู่ปลายแถวอีกต่อไป
แต่ทว่าโม่อานฉีกลับรู้สึกเสียดาย ชุดราตรีสองชุดนี้เก็บเอาไว้มาตั้งนานแล้ว แต่เพราะวิธีเก็บรักษา จึงทำให้มันยังดูเหมือนกับตอนแรกไม่มีเปลี่ยน
ของที่มีชิ้นเดียวในโลกแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นชุดแรกที่เจียงเซ่อได้ใส่มันโฆษณาสินค้าอีก สำหรับเจียงเซ่อก็น่าจะเป็นของที่อยากจะเก็บรักษาไว้มากกว่าไม่ใช่หรือ ถ้าจะเอาไปบริจาคก็ดูจะน่าเสียดายเกินไปหน่อย
“ก็ไม่มีอะไรให้น่าเสียดายนี่คะ”
ถ้าเทียบกับผู้ช่วยตัวเองที่กำลังทำหน้าเสียดายแล้ว เจียงเซ่อเองที่ถึงแม้จะเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดดีแล้วเช่นกัน
“ของขวัญแบบนี้ ก็ทำได้แค่เก็บเอาไว้เท่านั้นเอง”
การที่ดาราใส่ชุดซ้ำกันนั้นเป็นเรื่องที่พวกสื่อชอบเอามาลงข่าวกันอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชุดที่มีเพียงแค่ตัวเดียวในโลกเลย
ก็เหมือนกับเสื้อของดาราที่มีชื่อเสียง ใส่ออกมาให้เห็นได้แค่ครั้งเดียว เก็บเอาไว้เฉยๆ ก็ไม่เท่ากับการที่ได้บริจาคออกไป ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาได้ดีด้วย
พอกำหนดแล้วว่าจะเอาของชิ้นไหนไปบริจาคบ้าง เจียงเซ่อก็เข้าสู่การเรียนเสริมในทุกๆ วัน ทั้งเปียโน บัลเล่ต์ จนรวมไปถึงการเรียนในชั้นมหาวิทยาลัยของตัวเองด้วย ทำเอาเจียงเซ่อคิดว่าเวลาวันๆ หนึ่งของเธอมันไม่เพียงพอที่จะใช้เสียแล้ว
แต่ก็มีบางทีที่คุยโทรศัพท์กับเผยอี้ เจียงเซ่อก็พบว่าดูเหมือนเผยอี้จะยุ่งกว่าเธอเสียอีก บางครั้งที่โทรคุยกัน ก็มักจะได้ยินเสียงใครบางคนคอยเรียกเขาอยู่เสมอ