บทที่ 316 เกี่ยวกับ
มันเขียนด้วย ‘เสี่ยวเหวย’ ด้วยลายมือของจางเจิน
เวลาที่เขาเขียนชื่อของเธอ เขามักจะชอบให้ฟ้อนต์ลายมือที่มีศิลปะเสมอ เขายืนยันความคิดของตัวเองว่า เขามีเธอคนเดียวในหัวใจ แม้แต่ตอนที่เขาเขียนชื่อเธอ เขาก็จะตั้งใจเขียนเสมอ ไม่ใช่แค่เขียนไปชุ่ยๆ
ดูจากตัวหนังสือแล้วเขาน่าจะออกแบบขึ้นมาใหม่ มันเหมือนว่าเขาเขียนย้ำซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ เมื่อลองเทียบกับสีฝ้าเพดานที่มันซีดไปหมดแล้ว ทำให้มันยิ่งดูชัดเจนกว่าจุดไหนๆ
ตรงนี้เป็นที่นั่งของจางเจิน ที่ที่เขาแค่เงยหน้าขึ้นก็เห็นชื่อของโจวเหวย
ในขณะที่เธอไม่พอใจที่เขาเอาแต่ใช้เวลาไปกับการนั่งใน ‘ห้องหนังสือ’ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง แต่กลับไม่รู้เลยว่าแค่เขาเงยหน้าก็เห็นชื่อของเธออยู่บนนั้นแล้ว นี่อาจจะเป็นเพราะว่าเขาต้องนั่งอยู่ในห้องที่คับแคบแห่งนี้ และเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้นอกเหนือจากการขยับตัวไปมา
ท่าทางของโจวเหวยดูผ่อนคลายในแค่ไม่กี่วินาที เธอนิ่งไปอยู่ครู่ใหญ่ และจู่ๆ มือถือขอเธอที่ตั้งไว้อยู่บนโต๊ะก็สั่นขึ้น
คนที่โทรมาคือแม่ของจางเจิน พวกเขาถามกับเธอว่าจะเก็บของลูกชายของพวกเขาเสร็จเมื่อไหร่ และเตรียมที่มาเอามันไปแล้ว
หลังจากวางสายไปแล้ว โจวเหวยก็เริ่มเก็บของที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมด และพบว่าใต้กระดาษสเก็ตซ์มากมายนั่นมีจดหมายฉบับหนึ่งที่ไม่มีชื่อจ่าหน้าซองซ่อนเอาไว้ และไม่มีชื่อผู้รับด้วย
เธอเปิดซองออกอย่างสงสัย และจดหมายฉบับนั้นก็เป็นจางเจินเขียนให้กับเธอเอง
มันเป็นจดหมายบอกลาเธอนั่นเอง
แต่ก่อนงานที่เขารับคืองานวาดรูปประกอบ มันเป็นงานที่เขาจะได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบและสนใจไปในพร้อมกัน แต่มันก็ทำให้เขามีเวลาให้เธอน้อยลง
เขาเป็นคนที่มีความพยายามมากกว่าคนอื่น แค่กองกระดาษสเก็ตซ์หนาๆ ที่ตั้งเป็นกองแบบนี้ก็พอจะรู้ได้แล้ว เขามีความหวังกับงาน และหวังว่าโจวเหวยจะได้มีชีวิตที่ดีมากกว่านี้ ทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกที่ยากลำบาก บางครั้งที่รู้สึกอ่อนล้าจากงานและเจอความเบื่อหน่าย เขาก็มักชอบเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูชื่อของโจวเหวยที่เขาเขียนมันเองกับมือ มันเหมือนทำให้เขาได้รับพลังมากมายมหาศาล ราวกับว่าเธอมานั่งอยู่ข้างๆเขา มันเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เขาได้มีแรงก้าวเดินต่อไป ทำให้เขาไม่ยอมที่จะยอมแพ้
แต่ความฝันกับความจริงช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ความตั้งใจมันทำให้เขาเข้าใกล้ความฝันแล้ว มันก็กลับเป็นตัวที่ทำให้เขาออกห่างจากโจวเหวยเช่นกัน
กระทั่งมีวันหนึ่ง ที่เขาพบว่าแฟนสาวของตัวเองไม่มีเรื่องอะไรที่จะคุยกับเขาแล้ว ก็ใช่ว่าตัวเขาจะไม่เห็นถึงปมปัญหานั้น
เธอเป็นคนโรแมนติก ชอบการเซอร์ไพรส์และความประทับใจ แต่เขากลับเป็นที่ชอบเก็บงำและไม่ถนัดที่จะพูดออกมา
กระทั่งมีวันหนึ่ง ที่วันเวลามันทำให้ความรักที่หอมหวานระหว่างเราสองคนเริ่มจางหายไป กลายเป็นแค่น้ำนิ่งที่เงียบสงบ และเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำให้เธอต้องรู้สึกเสียใจมากแค่ไหน
บนจดหมายของเขา ยังพูดถึงเกี่ยวกับตอนที่ทั้งสองคนรักกันในช่วงแรกๆ รอยยิ้มของเธอที่ทั้งอ่อนโยนและแสนหวาน รอยยิ้มแบบนั้น สำหรับเขาแล้วเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ ที่มันสาดส่องเข้ามาในใจจนเขาไม่สามารถที่จะลืมมันได้
จนกระทั่งวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์เหล่านั้นเริ่มโดนก้อนเมฆสีเทาบดบัง แววตาของเธอกลับแปรเปลี่ยนเหลือเพียงความทุกข์และความเหนื่อยล้า
ดังนั้นเขาเลยคิดที่จะลองแก้ไขตัวเอง ก็เหมือนอย่างที่โจวเหวยคิดเอาไว้ในช่วงๆ แรกๆ หางานทำ และเราสองคนก็จะพยายามมันไปด้วยกัน
แค่นี้ก็อธิบายได้แล้ว ว่าไม่กี่วันก่อนที่จะเกิดเรื่องกับเขา ทำไปเขาถึงชอบหายตัวไป
ในคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าของเขา มันมีข้อมูลประวัติย่อๆ เอาไว้มากมาย
เขาเก็บดินสอวาดรูปที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าของเขาเอาไว้ และไม่ได้มีการสั่งซื้อกระดาษสเก็ตซ์บนอินเทอร์เน็ตอีก แต่กลับเป็นลิสต์รายชื่อสิ่งที่เธอชื่นชอบ แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่อยากจะทำยังไม่ทันได้เป็นจริง เขากลับต้องมาจากโลกไปแบบนี้
เธอพยายามอย่างมากในการหาสิ่งของอย่างอื่นที่เขาเหลือทิ้งเอาไว้ เธอเปิดดูสิ่งต่างๆ ที่เขาทิ้งเอาไว้ ก็พบกับมือถือเครื่องหนึ่งที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋ามาโดยตลอด หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น ทางตำรวจก็พบเจ้าสิ่งนี้ในสถานที่เกิดเหตุ หน้าจอมันแตกละเอียดแล้ว แต่มันก็ยังใช้ได้อยู่
รหัสเปิดมือถือของเขายังคงเป็นเลขเดิมมาโดยตลอด เลขวันเกิดของเธอ
พอเปิดมือถือขึ้นมาได้ โจวเหวยก็พบว่ามือถือของเขาได้รับข้อความบางอย่างก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นก่อนหน้าสองวัน เห็นได้ชัดว่าหลายวันก่อนหน้านี้เขาได้มีการโอนเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งไป ซึ่งไม่รู้ว่ามันถูกโอนไปที่ไหน
ช่วงที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้มีการซื้อของอะไรมากมาย ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะพูดถึงเรื่องที่ต้องใช้เงินมากขนาดนี้ และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
เธอเคยถามพอแม่ของจางเจินแล้ว แต่หญิงชายชราที่กำลังเสียใจก็ไม่รู้อะไรเช่นกัน
เธอเดาว่าหรือจะเกิดเรื่องอะไรกับจางเจินหรือเปล่า เรื่องที่ทำให้เขาต้องรีบใช้เงินขนาดนั้น หรือเอาเงินไปให้เพื่อนคนไหนหยิบยืม
โจวเหวยคิดอยู่นานพอสมควร แต่ก็คิดไม่ออก
และเธอก็คิดว่าเธอจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ และคิดว่าต้องทำให้เรื่องนี้มันกระจ่างเสียที
ในตอนที่โจวเหวยเดินมาถึงที่ทะเลสาบซีหูที่ทั้งสองคนเคยมาด้วยกันบ่อยๆ ในช่วงเริ่มคบกัน เธอยังจำความสวยงามของแสงไฟที่ค่อยๆ สว่างขึ้นตรงบริเวณนี้ได้ และทั้งสองคนก็เคยทะเลาะกันตรงนี้ด้วย
ตอนนั้นเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ระหว่างเราสองคนทะเลาะกันหนักมาก นิสัยของเขามันนิ่งเกินไป แม้แต่คำพูดก็ไม่มีหลุดออกมาจากปากสักคำ และนั่นก็ทำให้เป็นอยากจะเป็นโรคประสาทเสียให้ได้
ในตอนที่เธอนั่งรถแท็กซี่หนีออกมาจากตรงนั้น เขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ด้วยใบหน้าที่ไร้กำลัง
ยิ่งหวนนึกถึงมากเท่าไหร่ ภาพของจางเจินที่คิดว่ามันจางหายไปแล้วก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาในความทรงจำของโจวเหวยทุกที ราวกับว่าเธอกำลังตามหาความรู้สึกหอมหวานในวันเก่าๆ เธอลืมว่าตัวเองเคยปฏิเสธที่จะมายังทะเลสาบซีหู ที่ที่เคยเป็นจุดที่ทั้งสองคนมาบ่อยที่สุดในตอนคบกันช่วงแรกๆ
เธอเดินมาถึงที่ทะเลสาบซีหู มายังที่ที่เขาเคยให้คำสัญญา ว่าจะเอาผลงานของตัวเองมาจัดโชว์ที่แกลลอรี่ อาร์ตแห่งนี้ให้ได้
ตอนที่เดินไปตามก้อนหินบนทางเดินไปเรื่อยๆ เดินมาจนถึงหน้าแกลลอรี่ อาร์ต เธอก็หวนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ระหว่างเธอกับจางเจิน
ตอนนั้นเขายังเป็นวัยรุ่น ไม่มีท่าทางของความเหนื่อยล้าเหมือนอย่างพักหลังมา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา และความใฝ่ฝัน
“ฉันหวังว่าจะมีสักวัน ที่ที่นี่จะเต็มไปด้วยผลงานของฉัน และให้ทุกคนได้เข้าไปชื่นชม”
เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ผลงานของปรมาจารย์ ต่างก็เป็นปรมาจารย์ที่จากโลกนี้ไปแล้วทั้งนั้น ถึงจะได้รับการยกย่องว่ามันมีค่าที่สุด” พอเธอพูดจบ ก็หัวเราะขำให้กับเขาอีก
“แต่ก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเลยนะ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่ดู แต่เมื่อถึงวันนั้นแล้วฉันจะมาดูมันกับนายเอง”
พวกเขาทั้งสองคนต่างหัวเราหยอกล้อให้แก่กัน ตอนนั้นทั้งสองคนยังเปรียบเสมือนเงาตามตัวของกันและกัน แต่หลังๆ มาก็แทบจะไม่พูดถึงความฝันเหล่านั้นอีกแล้ว เพราะว่าเธอต่อต้านมัน
และแน่นอนจางเจินก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่อยากจะให้แกลลอรี่ อาร์ตแห่งนั้นเต็มไปด้วยผลงานของตนเองอีก และทั้งสองคนก็ไม่ได้ไปที่แกลลอรี่ อาร์ตด้วยกันอย่างที่เคยอีกแล้วด้วย
และคำสัญญาที่เธอเคยพูดเอาไว้ก็ไม่รักษามันอีกต่อไป
คนที่เดินออกมาจากแกลลอรี่ อาร์ตมองเธอด้วยสายตาที่แปลกใจระคนตกตะลึง เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ความทรงจำของตัวเอง สำหรับสายตาของคนอื่นนั้นเลยไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
ในตอนที่เธอก้าวเท้าเข้าไปในแกลลอรี่ อาร์ต โจวเหวยก็นิ่งไปในทันที
เพราะรูปเล็กรูปใหญ่ที่แขวนโชว์อยู่บนผนังเหล่านั้น ล้วนแล้วเป็นรูปวาดเธอทั้งสิ้น
มีทั้งตอนที่เธอกำลังหลับ ตอนที่เธอยิ้มหัวเราะ มีตอนที่เธอไม่สบอารมณ์ด้วย และตอนที่เธอเหมือนกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง
ราวกับว่าเธอได้เดินเข้ามายังโลกที่แสนแปลกประหลาด ที่นี่มันเต็มไปด้วยเงาของเธอ ราวกับว่าทั่วทุกด้านของห้องเป็นกระจก สะท้อนตัวเธอในมุมที่แตกต่างกันออกไป
รูปพวกนี้เป็นรูปที่จางเจินวาดทั้งหมด แต่เธอกลับไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าเขาจะวาดเธอเอาไว้มากมายขนาดนี้ มากจนขนาดที่เต็มแกลลอรี่ อาร์ตไปหมด
และทุกรูปก็ล้วนแล้วเขียนชื่อเอาไว้ว่า : ที่รักของผมตลอดกาล แต่งงานเป็นภรรยาของผมเถอะนะ!
เธอสั่นไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่อยู่ ในขณะที่คิดว่าความรักที่ค่อยๆ หายไปกำลังทรมานตัวเธอขึ้นทุกวันๆ ในขณะที่คิดว่าเขาช่างไม่รู้จักที่จะแสดงความโรแมนติกและความรักออกมา ในขณะที่คิดว่าระหว่างเราสองคนมันเหลือแค่เพียงความเคยชินและไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกต่อไป ในขณะที่คิดว่าความรักมันเหลือเพียงแค่เศษซาก จนลืมเลือนความหอมหวานที่เคยได้ลิ้มลองในตอนแรกไป
ตอนที่ทั้งสองคนเริ่มรักกันแรกๆ เขาบอกว่าเขาจะใช้วิธีที่พิเศษที่สุดในการขอเธอแต่งงาน แต่ในระหว่างที่คบกันมาเรื่อยๆ แม้แต่คำพูดโรงแมนติกสักคำก็ไม่มี เธอเลยคิดว่าเขามันโกหก คิดว่าเขาลืมคำสัญญานั่นไปหมดแล้ว แต่เธอกลับไม่ได้นึกถึงจิตใจของเขาเลย
ที่จริงแล้วความรักมันไม่ได้จางหายไปไหน มันก็แค่โดนเธอซ่อนเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของตัวเองก็เท่านั้น กดเอาไว้ไม่ให้มันออกมาได้
นั่นเป็นเรื่องราวความรักที่เขามีต่อเธอ ไม่เคยแสดงออกให้เธอได้รู้ ไม่เคยพูดให้เธอได้ฟัง แต่มันค่อยๆถูกกลั่นออกมาจากเขาทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เผยออกมาผ่านชีวิตประจำวันและเรื่องจิปาถะทั้งหลาย
ในขณะที่เอาแต่ตำหนิโทษเขา เรื่องราวต่างๆ กลับค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมาชัดเจนมากขึ้น
เขาทำอาหารเช้าให้เธอทุกวัน เวลาที่เธอต้องทำโอทีเขาก็ชงกาแฟให้ หนังสือที่เธออ่านไปได้แค่ครึ่งเขาก็ช่วยคั่นไว้ให้ เวลาที่เธอกลับมาถึงบ้าน เธอมักจะถอดรองเท้าเอาไว้ตรงจุดเดิมอย่างเคยชิน และในบ้านก็มักจะมีน้ำอุ่นแก้วหนึ่งตั้งรอเธอไว้เสมอ
ในตอนที่ผู้ดูแลเดินเข้ามาหา ก็จำเธอได้ เขาบอกว่าจางเจินได้กำชับบางอย่างเอาไว้ และบอกว่ามีคนต้องการที่จะซื้อภาพวาดเหล่านี้
แต่โจวเหวยกลับฟังอะไรไม่ชัดสักอย่าง หลังวันงานศพวันนั้น น้ำตาที่กลั้นเอาไว้มาตลอด จู่ๆ มันก็ระเบิดออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เธอร้องไห้โฮออกมา ร้องราวกับว่าเป็นเด็กคนหนึ่งที่กำลังเสียใจอย่างถึงที่สุด