บทที่ 275 เสียใจ
พอเขาเริ่มแก่ตัวลง คนที่เป็นคนดูแลเรื่องทุกอย่างในตระกูลเฝิงก็คือเขา บวกกับที่ตัวเขาเองก็เป็นคนที่เข้มงวดอยู่แล้ว ลูกหลานในบ้านก็ล้วนแต่กลัวเขากันทั้งนั้น ในบ้านเขาเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นฐานะของตัวเขาเอง หรือจะเป็นนิสัยส่วนตัวของเขา ทำให้ทุกครั้งที่ลูกๆ หลานๆ เจอเขา ต่างก็ต้องทั้งเคารพทั้งยำเกรง น้อยมากที่จะมีท่าทางไม่กลัวเขาอย่างเจียงเซ่อ ที่ยังยื่นมือมาหวังดูแผลของตนให้ได้แบบนี้
ที่จริงเขาเองก็มีความประทับใจในตัวเจียงเซ่ออยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นวันที่ได้เจอกันที่บ้านตระกูลเผย เขาก็คงไม่มีทางที่จะนั่งคุยกับเธอในสวนดอกไม้ แถมยังคุยกันหลายเรื่องอีกด้วย
เขาชอบเด็กสาวที่รู้จักปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผน และเจียงเซ่อก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเธอคล้ายกับเฝิงหนานหลานสาวของตนในสมัยก่อน ไม่ดื้อ และเชื่อฟังคำสอน
“หนูแค่ขอดู”
เจียงเซ่อยังยืนยันคำเดิม แล้วจ้องมองรอยช้ำเขียวๆ บนหน้าผากของเขา ก่อนจะพูดออกมาด้วยความไม่พอใจนัก
“เฝิงหนานล่ะคะ? ทำไมเธอถึงไม่อยู่บ้านดูแลคุณ?”
เขาหกล้มในบ้าน และลูกหลานส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ฮ่องกง ญาติคนสนิทคนเดียวที่อยู่ในตี้ตูก็คือเฝิงหนาน ในเวลาแบบนี้ เฝิงหนานก็ควรที่จะอยู่ในบ้านดูแลเขาไม่ใช่หรือ
แต่ว่าเธอกับเผยอี้ก็มาถึงที่นี่ได้สักพักแล้ว เฝิงหนานกลับไม่โผล่หน้ามาเลยสักนิด ดูท่าว่าจะไม่อยู่บ้านด้วย
พอเธอถามออกไป เฝิงจงเหลียงก็ตีหน้าขรึมทันที
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?”
ท่าทางของเขาดูเด็ดขาดไม่น้อย พอเขาพูดแบบนั้นออกมา มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังเหยียดอย่างบอกไม่ถูก
จากที่คิดว่าถ้าตัวเองพูดแบบนั้นออกไปแล้ว เธอก็คงจะรีบกลับไปนั่งที่ตัวเองตามเดิมแน่ๆ และคงไม่กล้ามาทำสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก แต่ที่ไหนกัน พอตนพูดออกไปแล้ว เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับเม้มปากแน่น และจ้องมองมาที่ตน ด้วยใบหน้าที่ดูเสียใจอยู่ไม่น้อยเลย ขอบตาของเธอเหมือนจะมีหยาดน้ำคลอ ดูท่าว่ากำลังจะร้องไห้เสียแล้ว
เฝิงจงเหลียงเองก็เหมือนจะหลุดจากมาด เขาเกิดลนขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งชีวิตของตน เคยชินแค่กับการทำหน้านิ่งๆ และเข้มงวดกับคนอื่น และยังเข้มงวดต่อตัวเองอีกด้วย ตำหนิคนอื่นก็เคย ตำหนิลูกหลานก็ทำมาแล้วหลายครั้ง ตนคิดไม่ถึงว่าคนที่ทำทีไม่เห็นว่าตัวเองอยากจะปฏิเสธ คนที่ชอบยื่นมือมาช่วยพยุงเขา แถมยังดึงดันที่จะดูแผลบนหน้าผากของตนให้ได้ทั้งๆ ที่ตนก็มีสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างเจียงเซ่อ จู่ๆ ก็จะมาร้องไห้เพียงเพราะประโยคเดียวของตน
พอเห็นว่าเจียงเซ่อจะร้องไห้ เฝิงจงเหลียงเองก็รู้สึกผิดขึ้นมา เพราะอย่างไรก็ตาม เจียงเซ่อก็แค่หวังดีเท่านั้น แต่เขากลับตีหน้าขรึมใส่ ก็คงจะตกใจกระมัง
เขาเกิดทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ ในสถานการณ์แบบนี้ ส่วนมากก็จะเป็นลูกๆ หลานๆ นั่นแหละที่คล้อยตามตน น้อยมากที่จะมาต่อต้านความตั้งใจของตนแบบนี้ เขาไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการปลอบเด็กเท่าไหร่ เพราะว่าเฝิงหนานหลานสาวที่ตามเขามาตั้งแต่เด็กเป็นเด็กที่เชื่อฟังมาก ไม่เคยทำให้ตนต้องทุกข์ใจเลย
จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เจียงเซ่อร้องไห้ เฝิงจงเหลียงเองก็จนปัญญา จึงทำได้ก็แค่ตีหน้านิ่งแล้วพูดกลับไป
“เธอย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว แล้วเธอมีอะไรจะพูดกับเฝิงหนานหรือเปล่า?”
สำหรับเขาแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นการลดตัวลงมาขอโทษแล้วล่ะนะ
พอเจียงเซ่อได้ยินว่าเฝิงหนานย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว คิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที แต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่ายหน้า และนั่งลงบนโซฟาอย่างเงียบๆ
“หน้าผากของคุณมีแผลฟกช้ำ ต้องรีบเรียกหมอมาดูให้นะคะ แล้วก็ต้องทายาด้วย”
เธอพูดออกมาด้วยเสียงอ่อนนุ่มและแผ่วเบา ทำเอาเฝิงจงเหลียงรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อยากทานอะไรหรือเปล่าล่ะ บอกกับคนรับใช้ได้เลย” เขาจึงไถ่โทษโดยการให้แม่บ้านจงไปล้างผลไม้แล้วนำมาให้เธอทาน ในบ้านตระกูลเฝิงที่แสนใหญ่โตนี้ นอกจากจะมีคนรับใช้แล้ว ก็มีแค่เขาคนเดียวที่อาศัยอยู่ที่นี่ และเขาก็เป็นคนที่ควบคุมทุกอย่างอย่างกวดขัน ในบ้านแทบจะไม่มีพวกขนมหรือของหวานเลยสักอย่าง ที่พอจะเอาออกมาได้ก็มีแค่ผลไม้เท่านั้น
จนตนเห็นว่าเจียงเซ่อหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมา ตนถึงค่อยๆ ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เธอสวมถุงมือพลาสติกข้างหนึ่ง เปลือกแอปเปิ้ลค่อยๆ กลิ้งผ่านไปตามนิ้วของเธอและคมมีด เธอผ่าแอปเปิ้ลออกมาซีกหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลงบนถ้วยผลไม้ จากนั้นก็เสียบส้อมลงไป แล้วดันมาตรงหน้าเฝิงจงเหลียง
และนั่นก็เป็นสิ่งที่เฝิงหนานเคยทำอยู่บ่อยครั้ง เฝิงจงเหลียงที่เห็นภาพนั้นแล้ว ก็นิ่งไปจนแทบจะทนไม่ไหว
เขาคิดถึงหลานสาวของตนเองขึ้นมา ตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาที่ไปอยู่กับจ้าวจวินฮั่น หลานของตนก็เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เคยทำเรื่องที่สนิทสนมกันแบบนี้อีกเลย แต่ในตอนนี้กลับมีเด็กสาวแปลกหน้ามาทำสิ่งที่เฝิงหนานเคยทำเสียอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นิสัยของคนๆ หนึ่งจึงเปลี่ยนไปได้ราวฟ้ากับเหวเพียงเพราะแค่ผู้ชายคนเดียว เปลี่ยนไปจนเหมือนเป็นคนที่ตนไม่รู้จัก
สีหน้าเขาดูเคร่งขรึมอีกครั้ง เขาคว้าหาไม้เท้าตัวเองอย่างรีบร้อน แล้วหยัดตัวขึ้นจะเดินออกไป
เจียงเซ่อรับดึงถุงมือออก แล้วมองดูท่าทางของเขาที่ดูสั่นไปหมด เขากำไม้เท้าตัวเองแน่นแล้วเคาะลงไปบนพื้นอย่างหนักแน่นจนเกิดเสียงดังไปทั่ว ก่อนจะตะโกนออกไปเสียงดัง “เสี่ยวหลิว เสี่ยวหลิว!”
เสี่ยวหลิวรีบเข้ามาพยุงเขาทันที เจียงเซ่อเองก็ลุกขึ้นจะตามไปด้วยความเป็นห่วง แม่บ้านจงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เม้มปากแน่น เผยอี้ที่อยู่ในห้องน้ำมาสักพักใหญ่ได้ยินเสียงดังก็รีบออกมาเช่นกัน เขาถามออกไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
บนโต๊ะน้ำชามีแอปเปิ้ลสดอยู่จานหนึ่ง และในถ้วยใส่ผลไม้ก็มีแอเปิ้ลที่ปอกเสร็จแล้วอยู่ด้วย เจียงเซ่อเม้มปากแน่น บังคับให้ตัวเองส่ายหน้า ส่วนเฝิงจงเหลียงที่ได้เสี่ยวหลิวมาพยุงก็เดินออกจากห้องรับแขกไปแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้ มันเหมือนกับว่าเจียงเซ่อได้ไปทำอะไรให้เฝิงจงเหลียงไม่พอใจเข้าเสียแล้ว ทำให้เผยอี้รู้สึกกังวลไม่น้อย
แม่บ้านจงที่มีสีหน้าไม่ต่างกันถอนหายใจออกมา
“คุณอย่าไปถือสาท่านเลยนะคะ คุณท่านก็แค่เสียใจ แต่ก่อนคุณหนูเฝิงหนานเองก็เคยปอกผลไม้ให้ท่านทานแบบนี้บ่อยๆ แต่ว่า นานแล้วที่ไม่ได้ทำแบบนี้”
แค่การกระทำที่ไม่ทันได้คิดของเธอ กลับทำให้เฝิงจงเหลียงเกิดคิดถึงเฝิงหนานขึ้นมา เขาคงจะคิดถึงเฝิงหนานที่ยังเป็นเฝิงหนานแน่ๆ
เผยอี้รวบตัวเจียงเซ่อเข้ามากอดเอาไว้ เธอไม่ได้ร้องไห้ แต่รอยยิ้มของเธอมันทำให้เขารู้สึกทรมานเสียยิ่งกว่าเธอร้องไห้อีก
เขายกมือขึ้นเกลี่ยๆ ใบหน้าของเธอ เขาพอจะรู้ว่าตอนนี้ในใจของเจียงเซ่อกำลังรู้สึกอย่างไร เขาถามขึ้นอย่างปวดใจ
“เรากลับกันก่อนดีไหม?”
เจียงเซ่อพิงศีรษะลงบนไหล่ของเขา แล้วถามถึงรอยช้ำบนหน้าผากของเฝิงจงเหลียง แม่บ้านจงก็เกิดมีท่าทางโมโหขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ต้องรอให้เผยอี้ถาม หล่อนถึงได้ถอนหายใจและยอมตอบ
“หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ คุณหนูเฝิงเธอเปลี่ยนไปมาก เธอไปอยู่กับคุณจ้าวเจ้าของบริษัทเจียงหัว ก็ดูเหมือนว่าจะไปได้ด้วยดีนะคะ แต่จู่ๆ ก็บอกว่าจะเลิกกันเสียอย่างนั้น เธอเลยทะเลาะกับคุณท่านไปรอบหนึ่ง ทะเลาะกันจนคุณท่านล้มลงไป แล้วบอกให้ดิฉันเก็บของแล้วย้ายออกไปน่ะค่ะ”
คำบอกเล่าของแม่บ้านจงทำให้เจียงเซ่อทั้งรู้สึกแปลกใจและโมโหไปพร้อมๆ กัน เธอไม่คิดเลยว่าที่เฝิงจงเหลียงได้รับบาดเจ็บจะเกี่ยวกับเฝิงหนานด้วย นี่เฝิงหนานเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง
เธอพยายามระงับอารมณ์โกรธของตัวเอง แล้วถามอีกหลายคำถามที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเฝิงหนานและเฝิงจงเหลียง แม่บ้านจงเองก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก จึงทำได้แค่ตอบบ้างไม่ตอบบ้างเท่านั้น
แต่ท่าทีในตอนนี้ มันยิ่งทำให้เจียงเซ่อรู้สึกผิดหวังในตัวเฝิงหนานเหลือเกิน
เธอทนได้ที่เฝิงหนานมาให้ร้ายเธอโดยไม่มีเหตุผลในหลายครั้งที่ผ่านมา ร่างกายที่ถูก ‘เฝิงหนาน’ ครอบครอง และถึงแม้ ‘เฝิงหนาน’ จะยอมยกให้แล้ว แต่ก็ไม่ควรที่จะมาก่อเรื่องแบบนี้ แล้วหล่อนอยากจะเข้าวงการบันเทิงงั้นเหรอ อยากได้รางวัลงั้นเหรอ? อย่าฝันไปหน่อยเลย!
เฝิงจงเหลียงเสียใจไม่น้อย หลังจากที่เขากลับห้องตัวเอง เผยอี้และเจียงเซ่อยังนั่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพากันกลับ
เพราะว่าเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้ ทำให้เจียงเซ่อไม่กล้าที่จะไปปรากฏตัวให้เฝิงจงเหลียงเห็นอีก เผยอี้ที่จะไปลา เขาก็ไม่ออกมาให้เห็น มีเพียงเสี่ยวหลิวที่ตัดกิ่งดอกล่าเหมยหลายกิ่งเข้ามา พร้อมกับกระดาษที่ห่อเอาไว้เป็นอย่างดี และยื่นให้กับเจียงเซ่อ
“คุณท่านบอกว่า ให้มอบให้กับคุณเจียงครับ ปีนี้ท่านสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก อารมณ์ก็ไม่ค่อยคงที่ คุณก็อย่าโกรธท่านเลยนะครับ”
กลิ่นหอมของดอกล่าเหมยมันหอมแตะจมูกมากๆ เป็นดอกไม้ที่ปีนี้เฝิงจงเหลียงเป็นคนเลือกต้นกล้ามาปลูกไว้ในสวนเองกับมือ เจียงเซ่อที่ได้ยินเสี่ยวหลิวพูดแบบนั้นแล้ว ขอบตาเธอมันก็แสบไปหมด น้ำตาคลอเกือบจะไหลลงมา เสี่ยวหลิวจึงพูดต่อ
“คุณท่านบอกว่า ในบ้านไม่มีอะไรที่พอจะนำมาต้อนรับพวกคุณได้ ถ้าคุณหนูเจียงว่างๆ อยากจะแวะมาที่นี่อีก อยากจะทานอะไร ให้บอกเอาไว้ได้เลยนะครับ ส่วนเบอร์โทรของทางบ้าน คุณชายเผยเองก็ทราบดีอยู่แล้ว”