มู่อิ่งเทียนลืมตาขึ้นมาอีกทีรอบกายก็พบแต่เพียงความมืดมิดและความหนาวสั่นจับขั่วหัวใจ
สมองของมันรับรู้ได้เพียงความเจ็บปวดที่แล่นผ่านไปทั่วทั้งร่าง ยามนี่แม้แต่การขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถกระทำได้ทำให้หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดุจหินผาของมันยามนี้ถึงกลับสั่นราวรัวกลอง
"ข้าตายไปแล้วหรือ?..หรือว่านี่จะใช่สถานที่ที่คนเรียกกันว่านรก..มืดถึงเพียงนี้"
ยังไม่ทันคิดได้มากความ สุรเสียงแก่ชราก็ดังขึ้นเบื้องหน้าในความมืดมิดราวกับกำลังกลืนกินเจ้าของร่างนั่นเข้าไป และความมืดเป็นคนพูดกับมันแทน
"ตื่นแล้วรึ?"
"นั่นใคร!?"
มู่อิ่งเทียนนั่นสะดุ้งโหยง แม้จะแตกตื่นจนเสียขวัญแต่สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นตัวมันแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่คาดเดาอะไรไม่ได้ มันก็ยังคงที่จะสามารถสงบสติลงได้อย่างรวดเร็ว
ไม่มีการตอบรับอยู่สามชั่วลมหายใจ จนมู่อิ่งเทียนที่กำลังสติมึนงงถึงกลับคิดไปว่าหรือเมื่อครู่ตนเองจะหูฝาดไปเอง
ทว่าข้อสันนิฐานนี่ก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วเมื่อ เสียงที่แก่ชรานั้นดังขึ้นมาอีก
"สมาธิไม่เลว หน่วยก้านดีใช้ได้ สวรรค์ทรงโปรดงั้นรึ ฮึๆ" เสียงแก่ชรานี่ดังขึ้นเบื้องหน้าของมู่อิ่งเทียนก็จริง ทว่ามันกลับไม่สามารถจับจุดได้เลยว่าตำแหน่งของเจ้าของเสียงอยู่ที่ใด มู่อิ้งเทียนเป็นคนที่ประสาทสัมผัสไวมาตั้งแต่เกิด สุดท้ายมันก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเจ้าของเสียงแก่ชรานี่อยู่ที่ใดราวกับเสียงพูดนี้สะท้อนกันไปมารอบด้านทุกทิศทาง
มู่อิ่งเทียนนั่งครึ่งตัว กลืนน้ำลายลงไปหลายอึกพยายามข่มขวัญของตัวเองให้สงบ แม้ว่าจะตื่นกลัวแต่มันไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา เจ้าของเสียงนี่จะต้องมีตัวตนแน่
และมันก็คาดเดาถูกต้องเมื่อ สุดท้ายก็มีแสงสว่างส่องขึ้นตรงหน้าของมัน เป็นลูกไฟเล็กๆที่ถูกจุด ทำให้มันสามารถมองเห็นสภาพรอบตัวได้โดยทันที ที่แท้เสียงสะท้อนเกิดจากสถานที่ที่มันอยู่ถึงกลับเป็นถ้ำๆหนึ่ง เมื่อมองไปยังเพดานจะพบว่ามีหยดน้ำหยดลงมาทุกระยะๆบ่งบอกได้ว่าถ้ำนี้อยู่ใต้ดินลึกมากจนถึงชั้นบาดาล
แต่ที่ทำให้มู่อิ่งเทียน ตกตะลึงกลับเป็นร่างๆหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับตนเองไปเพียงไม่กี่จั้ง สภาพร่างนี้หากมันจะเรียกได้ว่าเป็นคนผู้หนึ่งก็ไม่สามารถเรียกได้เต็มปาก
เพราะสภาพร่างของตนตรงหน้ามองตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีสิ่งใดที่นับได้ว่าสมประกอบเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับก้อนเนื้อหนึ่งที่ถูกปยกส่วนให้เละและนำมาประกอบใหม่อีกทีหนึ่ง จะมีก็เพียงแขนข้างหนึ่งของคนผู้นี้ที่ขาดหายไป
มู่อิ้งเทียนขวัญผวากับชายตรงหน้า แต่จนแล้วจนรอดชายชราก็ไม่ได้พูดอะไรกับมันอีกเพียงแต่มช้สายตาสีดำมืดสนิทคู่นั่นจองมองมาที่มันราวกับกำลังค้นหาอะไรบางสิ่ง
มู่อิ่งเทียนถูกชายชราที่มีลักษณะประหลาดจ้องมองยาวนานขนาดนั้นไม่ว่าใครก็ต้องขนหัวลุก แต่เมื่อตั้งสติได้ก็เริ่มที่จะคุมกริยาน้ำเสียงลองเทียบอย่างนอบน้อมไปเป็นอย่างแรก
"ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร? เหตุใดจึงนำพาข้ามาที่นี่"
ชายชราตรงหน้าขมวดคิ้วแน่น มู่อิ้งเทียนรอคำตอบอยู่นานจนบรรยากาศรอบตัวเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้น จนกระทั้งมู่อิ้งเทียนคิดว่าชายชราตรงหน้าคงไม่อยากจะตอบคำถามของตนเอง แต่ไม่นานเสียงแก่ชราผนแหบแห้งก็ดังออกมาจากร่างที่เหมือนซากศพนั่น
"เจ้าตกลงมาในหุบเหวหระบี่จงหยวนจำได้หรือไม่"
เมื่อได้ยิน สมองของมู่อิ่งเทียนก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที มันจำได้ว่ามีคนผู้หนึ่งพยายามตามล่าตัวของมันมันจึงหลบหนีมาทิศทางของหุบเหวกระบี่จงหยวนอย่างไม่คิดชีวิต ในความทรงจำของมันนั้นจำได้เพียงคลื่นลมและพายุที่โหมกระหน่ำ แต่ในภาพสุดท้ายนั้นมันจำได้ลางๆว่าสบตากับคนผู้หนึ่งที่มีสภาพราวกับพญามารที่กำลังถูกกระบี่สีเทาพิฆาต สุดท้ายทั้งมันและชายคนนั้นก็ตกลงมาในหุบเหวกระบี่จงหยวนพร้อมกัน
ดวงตาของมันสว่างวาบลืมความเจ็บปวดไปชั่วครู่ เมื่อมองไปยังสภาพของชายชราตรงหน้าและแขนที่ขาดหายของมันก็พลันแน่ใจถึงเรื่องงราวและสถานที่ที่มันกำลังอยู่
"เรากำลังอยู่ใต้หุบเหวกระบี่จงหยวนใช้หรือไม่"
ชายชราพยักหน้าช้าๆเป็นคำตอบ การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของมันราวกับจะต้องใช้พลังชีวิตไปจนหมด มู่อิ่งเทียนเห็นสภาพเช่นนั้นก็สงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดชายชราตรงหน้าถึงตกอยู่ในสภาพเอนจอนาจเช่นนี้ได้เพียงไม่นาน
หรือว่าเป็นผลมาจากการใช้พลังฝีมืออันใด มันไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่เมื่อตรวจสอบร่างกายของตนเองก็พบว่ามีพลังประหลาดสายหนึ่งคอยเจือจุนอวัยวะภายในร่างของมันให้เข้าที่อาการบาดเจ็บทั้งร่างของมันถึงกลับรู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงตรงนั้นมันก็อดที่จะสงสัยไม่ได้
"หรือว่าท่านจะช่วยชีวิตข้าเอาไว้"
คำถามนี่ถูกกล่าวออกมาอย่างมั่นใจอย่างยิ่ง แต่คราวนี้ชายชราตรงหน้าไม่ตอบ มันเพียงใช้สายตาจ้องมองดูมันราวกับจะเข้าไปข้างในหัวใจลึกลงไปอย่างช้าๆ
"ข้าเป็นมาร เจ้าไม่กลัวรึ?" อยุ่ดีๆชายชราก็โพล่งคำถามนี้ขึ้นมา ราวกับกำลังทดสอบจิตใจขิงเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น เพราะมันสัมผัสได้ถึงความกังวลความตื่นเต้นในดวงตาของเด็กหนุ่ม
แต่มันกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวในดวงตาของเด็กหนุ่มได้เลย!
ไม่แม้แต่จะครุ่นคิดมุ่อิ้งเทียนแสดงสีหน้าจริงจังอย่างยิ่งกล่าวออกมาอย่างชัดเจน
" สิ่งดีงามทั้งหลายใช่ต้องใสสุกสว่าง คนเดินเตร่เหงาใช่ว่าจะหลงทาง ข้าไม่รู้จักท่านท่านไม่รู้จักข้า เพียงแค่ท่านเป็นชนมาร ข้าที่พึ่งพบท่านจึงไม่สาทารถตัดสินได้ท่านได้ว่าท่านดีหรือชั่ว เรื่องแบบนั้นข้าไม่เคยทำ " เด็กหนุ่มกล่าวออกมาหน้าตาเฉย คำพูดเช่นนี้ท่านเป็นคนทั่วไปกล่าวสิบส่วนเขาคงไม่เชื่อทว่าเมื่อ ชายชรามองแววตาของเด็กหนุ่มที่แวววับดั่งม่านวารีแล้วจึงพบว่าภายในนั่นล้วนสุกสว่างไร้สิ่งปิดบัง ไม่ทราบเพราะเหตุใดตนจึงรู้สึกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี่ไม่ได้โกหก
"อีกอย่างท่านช่วยชีวิตของข้าไว้ ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรข้าก็ติดหนีบุญคุณท่านชาตินี้ไร้ซึ่งข้อแก้ตัว" น้ำเสียงหนักแน่นดังไปทั่วบริเวณ พูดจบก็ก้มหัวลงคำนับผู้มีพระคุณของตนเองอย่างไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะเป็นมารร้ายหรือไม่
สิ่งที่มันให้ความสนใจที่สุดก็คือการกระทำ!
มู่อิ้งเทียนแม้จะมีนิสัยแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็ตรงไปตรงมายิ่ง หากมันติดบุญคุณก็จะตอบแทนหากมีความแค้นก็ต้องชำระ วิถีในการใช้ชีวิตของมันก็เป็นเช่นนี้
ไม่ได้ตัดสินคนจากลมปาก เชื่อเพียงแค่สิ่งที่ตาเห็นและตนได้พิสูจน์
นี่คือคุณสมบัติของวีรบุรุษและคนโง่เขลา
มู่อิ่งเทียนก็มีคุณสมบัติทั้งสองเช่นกัน
เป็นครั้งแรกที่ชายชราเผยแววตาชื่นชมออกมาอย่างไม่ปิดบัง มันถอนหายใจก่อนที่จะยิ้มมุมปากทั้งขมขื่นทั้งดูผ่อนคลาย
"สวรรค์ช่างมีตาจริงๆ ถึงกลับส่งเจ้ามาในวาระสุดท้ายในชีวิตของข้า!"
มู่อิ่งเทียนมึนงงเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นจากการคำนับ ก็พบว่าชายชราตรงหน้าพลันปรากฏตัวมายืนตรงหน้าของมันแล้ว
ในใจของมู่อิ้งเทียนสะดุ้งโหยง อดกลืนน้ำลายลงไปหลายอึกไม่ได้ ดูจากพลังญาณที่มันใช้ออกย่างเท้าไม่เกิดเสียงเคลื่อนไหวดุจภูมิพราย น่ากลัวว่ามันจะไม่ใช่ชนชั้นสามัญแน่ บางทีอาจจะเป็นยอดฝีมือแห่งยุค
แต่มุ่อิ้งเทียนก็สัมผัสได้ว่ายอดฝีมือนี้กำลังถึงวาระที่จะต้องตาย แม้แต่ดวงตาของมันก็คล้ายกลับกำลังสูญเสียพลังชีวิตไปช้าๆ
บัดนนี้ห่างกันเป็นเอื้อมชายชรายืนเด็กหนุ่มนั่ง สองสายตาดำบริสุทธิ์และมืดสนิทของทั้งสองจ้องมองกันเงียบๆ ผ่านกาลเวลาที่ไหลประดุจสายน้ำที่ไม่มีวันหวนกลับ
ชายชราก็ใช้สังขารผุพังของตนเองนั่งลงช้าๆเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ห้าวหาญคนนี้
ดวงตาที่อ่นล้าฉายแววคมกล้า จนมู่อิ่งเทียนรู้สึกเหมือนว่ากำลังโดนสายตาที่มีความกระหายบางอย่างในนั้นฉุกกระฉากมันเข้าไป
"ข้าไม่รู้จักเจ้า เจ้าไม่รู้จักข้า สรรพสิ่งบนโลกล้วนมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่ชาติปางก่อน การที่เราได้พบกันย่อมเป็นวาสนา ทว่ากลับตาแก่ที่ใกล้ลงโลงอย่างข้าเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องนำพาไปใส่ใจ แม้กระทั้งชื่อเสียงเรียงนามก็ตามก็ไม่จำเป็นต้องรู้"
ชายชราตรงหน้าพูดอย่างรวดเร็ว ราวกับมันปลงให้กับชีวิตของตนเองไปแล้ว แต่ยังมีสิ่งหนึ่งค้างคาอยู่ มุ่อิ้งเทียนฟังไม่นานชายชราก็พูดในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อขึ้นมา
"ที่เจ้ารอดตายมาได้เพราะข้าได้ใช้พลังชีวิตของตนเองเกือบทั้งหมดที่เหลืออยุ่ช่วยเหลือเจ้าเอาไว้ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงตายไปแล้ว"
มุ่อิ้งเทียนอึ้งไปในทันที เพราะไม่คาดคิดว่าชายชราจะยอมทำถึงเพียงนั้นเพื่อช่วยเหลือคนแปลกหน้า แต่เพราะว่ามู่อิ่งเทียนแต่ไหนแต่ไรก็ฉลาดเฉลียวเมื่อมันมองเห็นถึงแววตาที่กระหายในบางสิ่งของชายตรงหน้ามันก็เข้าใจได้ในทันทีใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งครึม กล่าวอย่างไม่คิดว่า
"ท่านคงอยากจะฝากฝังอะไรให้กับข้าใช่หรือไม่ ถึงได้ยอมช่วยเหลือข้าถึงเพียงนั้น"
ได้ฟังชายชราก็ใช้มือ ข้างหนึ่งที่เหลืออยู่ตบฉาดเข้าไปที่ต้นขา ก่อนจะพูดว่า "ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม" ถึงสองครั้งเพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะเข้าใจอะไรได้ง่ายถึงเพียงนี้
"บอกมาเถอะท่านผุ้อาวุโส หากข้าทำได้ข้ารับปากท่านว่าจะกระทำให้สำเร็จ"
ชายชรามองมันอย่างลึกซึ่งคราหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวเสียงสั่นก่อนที่จะดังขึ้นราวกับตัดสินใจเด็ดขาดไปว่า
"ข้าอยากให้เจ้าสืบทอดวิชามารของสำนักข้า"
ได้ฟังเช่นนั้นมู่อิ่งเทียนแม้จะเตรียมใจมาแล้วก็ต้องหน้าซีดเขียว เพราะคิดไม่ถึงว่าชายชราตรงหน้าถึงกลับคิดที่จะให้ตนเองฝึกวิถีมาร!
พึงทราบไว้ว่าในมหาภิภพเหมือนกับเรื่องราวในนิทาน ในสมัยก่อนลัทธิมารทั้งห้าชั้นต่างทำสงครามกับเหล่าธรรมะ แต่เมื่อสามพันปีก่อนพวกมันก็ได้พ่ายแพ้ให้กับพหุอาวุธวิเศษพร้อมผู้นำหรือก็คือปรมาจารย์ผู้สร้างลงไปพร้อมกับการตายของพญามาร
นับแต่นั้นแม้จะหลงเหลือมารอยู่ไม่น้อยทว่าพวกมันก็ทำได้แต่หลบซ่อนอยู่ในที่ลับ มีเพียงฝ่ายธรรมะในโลกนี่เท่านั้นที่โลกแล่นอยู่ในฉากหน้าของมหาภิภพนี่จริงๆ
นี่เท่ากับว่าหากมันฝึกวิชามาร มันจะกลายเป็นศัตรูของคนทั้งโลก!
ได้เห็นสีหน้าซีดขาวกำลังครุ่นคิดของมู่อิ้งเทียน ใบหน้าของชายชราก็พลันเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวกล่าวเสียงกระโซกโฮกฮากดังๆว่า
"ว่าอย่างไร หรือว่าเจ้าจะผิดคำพูด!"
มุ่อิ้งเทียนสะดุ้งจากภวังค์ความคิดในทันทีเมื่อเห็นสีหน้าโกณะแค้นของชายชราตรงหน้ามันก็รีบก้มคำนับกล่าวว่า
"ผุ้อาวุโวโปรดระงับโทสะ ข้าแค่กำลังคิดถึงผลข้างหน้าเพียงเท่านั้น"
ชายชราแค่นเสียงเฮอะ
"ว่าอย่างไรจะฝึกหรือไม่ฝึก"
มู่อิ่งเทียนรู้สึกกดดันจนเหงื่อตก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คงกล่าวปฏิเสธไปไม่ได้ อีกทั้งคนตรงหน้ายังเป็นผู้มีพระคุณของตนเอง จนแล้วจนรอดคงจะปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว
เพราะมู่อิ้งเทียนตลอดทั้งชีวิตไม่เคยผิดคำพุดของตนเองเลยสักครั้ง!
"ข้าจะฝึกขอรับ"
คำตอบของมันหนักแน่น จนชายชราที่เมื่อครู่แสดงสีหน้าโกรธแค้นขึ้นมาถึงกลับผ่อนคลายลงแต่ก็ยังคงกล่าวเสียงกระด้างว่า
"ยื่นแขนของเจ้าออกมา"
มู่อิ้งเทียนรู้ได้ในทันทีว่าชายชราตรงหน้า คิดที่จะตรวจสอบพลังภายในของตนเอง แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังคงต้องยอมอยู่ดีจึงยื่นแขนออกไป
ชายชราใช้สองนิ้วของแขนข้างที่เหลืออยู่สัมผัวที่ข้อมือของเด็กหนุ่มเบาๆก่อนสั่งมันเสียงแข็งว่า
"ลองเดินพลังตบะดู"
มู่อิ่งเทียนทำตาม แม้ร่างกายจะเจ็บปวดระบมแต่พลังเย็นยะเยือกสายหนึ่งก็พลันเข้ามาในร่างทำให้มันรู้สึกสบายตัวขึ้นช้าๆ ชายชราบัดนี้ขมวดคิ้วอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะปล่อยมือของมันออก
"พลังฝึกปรือพึ่งถึงขั้นรากเง้าที่ 3 พลังวิณญาณขั้นเสวียน โชคชะตายังผูกกับธาตุน้ำตั้งแต่เกิด เหอะ ในวัยเท่ากับเจ้าถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีไม่แย่ "
ชายชรากล่าวพลังฝึกปรือของชายหนุ่มได้อย่างแม่นยำ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันติดใจคือธาตุน้ำในร่างของเด็กหนุ่มคนนี้
ในมหาพิภพแห่งนี้ ธาตุวารีจัดได้ว่าเป็นธาตุที่อ่อนแอที่สุดในด้านพลังโจมตี หากจะให้พูดคือเด็กหนุ่มตรงหน้านั่นมีดวงที่ไม่ดีอยู่บ้างหากได้ใช้พลังของธาตุนี้
กล่าวกันว่าปกติ ตามหลักธรรมชาติจะถูกกำหนดให้ธาตุที่หนักหน่วงคือเปลวเพลิง แผ่วเบาราวสายลม แข็งแกร่งดั่งหินผา อ่อนนุ่มเหมือนสายน้ำ
จะเห็นได้ว่าแม้ธาตุน้ำจะควบคุมได้ง่ายที่สุด ทว่าพลังทำลายและโจมตีนั่นอ่อนแอที่สุด สิ่งเดียวที่ดีคือพลังในด้านรักษาหรือโชคชะตาเช่นการทำนายดวงดาวและการผนึก
ขบคิดไปมาสุดท้ายในสมองของมันก็สว่างวาบไปด้วยเคล็ดวิชาหนึ่งของเผ่ามาร ที่มีตั้งแต่มีการก่อตั้งเผ่ามารขึ้นมามันยังไม่เคยเห็นใครที่ฝึกวิชานี่จนสำเร็จมาก่อน
ทว่าวิชานี่กลับเหมาะกับเด็กหนุ่มคนนี้ยิ่ง เพราะว่ามันสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนที่ไม่ธรรมดาของสายน้ำในร่าวของเด็กหนุ่มผู้นี้!
ชายชราใช้สายตาอันเจิดจ้ามองไปยังมู่อิ้งเทียนในทันที ก่อนจะกล่าวว่า
"ข้าตัดสินใจแล้ว..เจ้าหนู..วิชาที่เจ้าจะต้องฝึกคือเคล็ดวิชาวารีต้นกำเนิด!"