webnovel

ย้อนรักวัยข้อเข่าเสื่อม (1/2)

…คราวนี้ฝันถึงอะไรหรือ…

เสียงคำถามเรียบง่ายทิ้งรสชาติเปรี้ยวบูดของความกลัวไว้ในริมฝีปาก

ป๊าลุกขึ้นจากเตียงด้วยความงัวเงียเป็นพิเศษ อย่างคนที่ฝันเป็นตุเป็นตะตอนใกล้ตื่นแล้วได้นอนไม่เต็มอิ่ม ไม่รู้ตัวเลยว่าจับแหวนแต่งงานสีเงินเกลี้ยงอย่างหวงแหนอยู่นานเท่าไรถึงจะหลุดจากภวังค์

สิ่งน่าแปลกใจแรกคือไม่ได้ยินเสียงคนนอนข้างกันกรนครอกเหมือนวันก่อนแล้ว แด๊ดหลับอุตุคลุมโปงอยู่ในกองผ้าห่ม นาฬิกาบนผนังบอกว่าอีกห้านาทีจะตีห้า ยังไม่ถึงเวลาตื่นปกติของเขาเลย

สองเท้าพาร่างเพลีย ๆ เดินไปชงกาแฟโดยอัตโนมัติ เทผงกาแฟ ใส่น้ำตาลอิควล แล้วก็นมคาร์เนชัน เขาชะงักมือตอนจะหยิบครีมเทียมเมื่อจำได้ว่าหมอบอกให้ลดปริมาณของมัน ๆ แคลอรีสูง…แต่ขออีกสักช้อนก็แล้วกัน

ป๊าเปิดตู้กับข้าวชั้นบนสุดแล้วหยิบซองอาหารนิ่มมาโดยไม่ต้องมอง พอทำอะไรเป็นกิจวัตรหลายปีเข้ามือไม้มันไปเองหมดเลย ก่อนเข้าห้องใต้บันไดไปหาลูกแมวเด็กผู้มองเขาด้วยแววตางุนงงกว่าทุกวัน แม่แมวถึงกับแยกเขี้ยวขู่ฟ่อใส่

"เป็นอะไรนังชะนี ขู่ป๊าทำไม"

เสียงฉีกซองดังแควกทำให้ทุกอย่างกลับเป็นปกติ ฝูงลูกแมวตัวน้อยวิ่งเข้าหามนุษย์แล้วออดอ้อนอย่างรักใคร่ บ้างดม ๆ ตรงมือป๊า บ้างปีนขึ้นขากางเกงเหมือนหาที่เล่น การต้อนรับอบอุ่นยกเว้นแม่แมวที่ยังมองตามหวาดระแวง ดวงตาสีอำพันท่ามกลางขนสามสีมอมแมมดูลุกวาวจากใต้คอนโด พวกเขาพึ่งรับชะนีมาจากข้างถนน บางทีก็นึกเฮี้ยนขึ้นมาขู่ใส่ด้วยเพราะยังไม่คุ้นกับมนุษย์เท่าไร

เทียบกับลูกแมวแล้วคนละเรื่องเลย วันนี้ดูสับสนไปบ้างแต่สุดท้ายก็วิ่งออกมาส่งเสียงแง้ว ๆ งิ้ว ๆ เล็กจ้อยน่ารัก

"หิวแล้วเหรอ หิวแล้วเหรอ ไหนตัวไหนกินเก่งสุด" เขาทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเล่นกับลูกแมวเด็ก มันเดินตามทุกสิ่งที่เคลื่อนไหว เท้าของมนุษย์ก็ดึงดูดความสนใจสุด ๆ ตอนจะขยับตัวจึงต้องระวังเป็นพิเศษ โชคดีเช้านี้ไม่ค่อยปวดเข่าจะลุกจะย่อก็ไม่มีปัญหามาก

เมื่อป๊ากลับเข้ามาที่ครัว เหล่าสัตว์เลี้ยงที่รู้แล้วว่าเจ้านายตื่นก็มารอรับส่วนบุญกันไปตลอดทาง เขาโดนสัตว์สี่ขารุมล้อมดม ๆ ด้วยแววตาไม่เข้าใจ วันนี้หมาแมวดูซื่อบื้อน่าเอ็นดูอย่างไร้คำอธิบาย แต่ผู้เป็นนายรู้สึกง่วงเกินกว่าจะคิดหาคำตอบ

"อืออ-ฮ้าว วันนี้มากันน้อยจัง ไปไหนหมดฮึ" เพื่อเรียกสัตว์เลี้ยงที่อาจซ่อนอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน ป๊าควานถุงปลาเส้นออกมาจากตู้ด้วยความดีใจที่แยกมันจากถุงหมูหย็องได้โดยไม่ต้องเพ่ง ไม่ปวดไหล่ ทั้งร่างกายยังเบา ๆ อย่างประหลาด

เท่านั้นเองภาระหน้าขนเกือบยี่สิบชีวิตก็วิ่งสุดฝีเท้าเข้าหา แววตางุนงงกลายเป็นกระเหี้ยนกระหือรือ ไม่มีอะไรสำคัญเท่าอาหารอีกแล้ว ป๊าหอบถุงขนมและแก้วกาแฟออกไปยังที่โปรด ตรงนอกชานจุดที่มีหลังคาคลุมมีชิงช้าไม้สักตั้งอยู่ สามารถมองออกไปเห็นสวนหลังบ้านได้

เท้าโยกเบา ๆ จมูกหอมกลิ่นดอกรสสุคนธ์ยามเช้า ตามองวิวสวนสวยใต้ต้นพะยอมให้ความร่มรื่น ทั้งต้นกาสะลอง ต้นพระยาสัตบรรณ เหล่าไม้ใหญ่ขึ้นสูงแข่งกัน มือเอาปลาเส้นโปรยให้สัตว์เลี้ยงเป็นอาหารรองท้อง หูฟังเสียงนกเสียงไก่และคู่ห่านที่มารอดูว่ามีอะไรให้แย่งได้บ้าง ส่วนเป็ดเทศที่เลี้ยงไว้ยังไม่ปีกกล้าขาแข็งขนาดหาทางออกจากกรงได้ เดินเต๊าะแต๊ะต้วมเตี้ยมผิดกับห่านที่เดินอาด ๆ เหมือนจะไปหาเรื่องใครสักคน

"จะว่าไปก็รดน้ำต้นไม้เสียหน่อย" ป๊าไปเปิดน้ำแล้วลากสายยางไปรดตามต้นไม้ในสวน ดอกพุดซ้อน พุดตาน สายหยุด กระดังงาหอมนุ่ม ดอกจำปีหอมหวาน ชื่นชมกับกาสะลองสีขาวก้านยาวที่ร่วงลงมาจากต้น หล่นลงบนสนามหญ้าเขียวเข้มอ่อนสลับสีจากเงาใบไม้

ไม่รู้อะไรดลใจให้มองค้างเนิ่นนาน จินตนาการไปถึงร่างมนุษย์ที่ประกอบกันไม่ชัดเจน ดูเป็นนามธรรม หลังคอลุกชันเมื่อแสงของอรุณเริ่มสาดส่อง ยามใกล้รุ่งท้องฟ้าเป็นสีทองอ่อน ๆ ปนกับน้ำเงินราตรี ชวนให้นึกถึงฟ้าสนธยาสีใกล้เคียงกันแต่ชื่อน่ากลัวกว่ามาก…แดดผีตากผ้าอ้อม

ทันใดนั้นเองเขาหลุดไปอยู่ในความทรงจำบางอย่างที่ทำให้อยากร้องไห้ บางอย่างที่ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์แต่ก็น่ากลัว ต่อให้อยู่คนเดียวท่ามกลางสิ่งมีชีวิตครึ่งร้อยก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกวังเวง

ป๊าสะบัดความคิดวุ่นวายได้สำเร็จเมื่อแมวอ้วนตัวหนึ่งมาร้องประท้วงใกล้ ๆ

"แงววว"

"โบลลิ่ง หิวเหรอลูก เดี๋ยวรอแด๊ดตำปลาให้นะ"

ยิ่งคิดมากยิ่งขมวดคิ้ว ยิ่งขมวดคิ้วตีนกายิ่งขึ้น กลับเข้าบ้านไปหาสามีดีกว่า

ป๊าเปิดประตูห้องนอนตอนประมาณหกโมงเช้า ก่อนเวลาตื่นของเขาเพียงเล็กน้อย พาผู้หิวโหยยี่สิบกว่าชีวิตให้เข้ามาช่วยปลุกคนนอนอุตุด้วยกัน ยกเว้นสัตว์ปีกที่ยังวนเวียนหากินปลาเส้นเหลือ ๆ อยู่นอกบ้าน

"แด๊ด ตื่นเร็ว แมวมันจะกินแด๊ดแทนแล้วนะ"

ระหว่างที่เขาเขย่าไหล่ แมวสามสี่ตัวบวกครึ่งชิวาว่าอีกหนึ่งเหิมเกริมโดดขึ้นไปบนเตียง ไปร้อง "แง้วว แง้วว" หรือ "แอ๊ง ๆ" ใส่หูผู้ให้อาหารมันทุกวัน นังโอโม่ถึงกับไปนั่งทับอยู่บนอก ไอเสียงเหมือนจะขย้อนก้อนขนออกจากคอ ปลุกมนุษย์ขี้เซาได้ชะงัด

"เฮ้ยย!"

ป๊าขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่ไม่ได้ยินมานาน สามี—ชายหนุ่มหน้าคุ้นรีบผุดลุกขึ้นมาโยนแมวออกจากเตียง งึมงำด่าก้อนขนขาวอย่างสะลึมสะลือ

"โอโม่ลงไป"

ชายหนุ่ม…ชายหนุ่ม ป๊าเห็นภาพแล้วนิ่งอึ้ง เบิกตากว้างตกใจมือเท้าถูกแช่แข็ง

คนที่นอนอยู่บนเตียงไม่ใช่แด๊ด หรือใช่ เขาจำใบหน้านั้นได้ตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ประเด็นคือมันเหมือนวันแรกที่พบกันแทบจะเด๊ะ ๆ เลย ดูโตกว่าหน่อย แต่ห่างจากตาแก่กรนดังที่เข้านอนพร้อมเขาเมื่อคืนอย่างน้อยสามสิบปีแน่นอน

สามีเอามือขยี้ตา ผุดลุกขึ้นแล้วใช้ขายาว ๆ ก้าวรวดเดียวมาถึงตัวคนรัก เริ่มต้นด้วยลองจับแก้มเขา ดึงผิวเนื้อนุ่ม เขย่าคอ ตกใจเหมือนกันแต่กระตือรือร้นมากกว่า

"ป๊า?"

จากนั้นแด๊ด (?) ถอยหลังไปตบหน้าตัวเอง เบิกตากว้างมองมือที่ไร้รอยกระ ผิวหนังตึงไร้รอยย่น ก่อนเบ่งกล้ามแล้วเช็กกล้ามเนื้อแขนของตัวเอง เลิกเสื้อลูบกล้ามเนื้อหน้าท้องที่กลับคืนมา ปิดท้ายด้วยคลายปมกางเกงเลเพื่อตรวจสอบอวัยวะสำคัญข้างใต้

"อืม ออ เอ่อ เว้ย—ตาเถร"

ป๊าเองก็พูดไม่ออก ชี้นิ้วลากมั่วจะเอ่ยอะไรสักอย่างแต่เหมือนสมองหยุดทำงาน

"กะ-กะกระจก"

"ใช่ กระจก"

การวิ่งห้อไปหากระจกห้องน้ำตอนหกโมงเช้าเป็นอะไรที่ผิดกิจวัตรประจำวันเป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่แค่กิจกรรมเนี่ยสิ น้ำเสียง ท่าทาง สีหน้า แววตา ร่างกาย โดยเฉพาะร่างกาย ทุกอย่างมันผิดปกติไปหมด ภาพสะท้อนข้างหน้าคือคนหนุ่มอายุยี่สิบกว่ากลาง ๆ ผู้มองตัวเองในกระจกตาค้าง

พวกเขาลดอายุไปอย่างน้อยครึ่งค่อนชีวิต จากเลขหกขึ้นต้นกลายเป็นเลขสองนำหน้าภายในคืนเดียว

"ป๊า…ฟันกรามแด๊ดอยู่ครบทุกซี่"

แด๊ดเอานิ้วก้อยเกี่ยวมุมปากเพื่อเช็กฟันเป็นอันดับแรก ตาเบิกกว้างตกตะลึง เสียงอู้อี้แต่พอฟังเข้าใจได้ ซึ่งเมื่อเห็นสิ่งที่ผู้ร่วมชะตากรรมทำป๊าหยิบกระปุกแชมพูมาอ่านตาม

"มะ…ไม่ต้องใช้แว่นก็อ่านออก"

สามีต่อด้วยการลงไปวิดพื้นห้องน้ำอย่างบ้าคลั่ง ลองสมรรถภาพร่างกายให้คนเห็นรู้สึกมีพลังล้นหลาม โดดเหย็ง ๆ ในห้องน้ำ

"เป็นไปไม่ได้! สิบรอบก็ยังไม่ปวดหลัง สามสิบก็ไหว สี่สิบ สี่สิบห้า…"

"ไม่มีตีนกาเลย!"

"หกสิบแปด"

"โดดสูงเท่าไรก็ไม่ปวดเข่า!"

แด๊ดเปลี่ยนไปดึงข้อกับราวเลื่อนประตูกั้นส่วนแห้ง-เปียกที่ส่งเสียงเอี๊ยดอย่างน่ากลัวว่ามันจะรับน้ำหนักไม่ไหว

"ดูไหล่แด๊ดสิป๊า! ดูนมแด๊ดสิ!"

"ไม่ต้องตะโกนก็ได้ยินแล้ว!"

"ขึ้นมะพร้าวสักสิบต้นก็ทำได้!"

"แง้ววว!!"

ทันใดนั้นโบลลิ่งร้องเรียกให้ไปเทข้าว ฟ็อกกี้เห่าแอ๊ง ๆๆ อย่างบ้าคลั่งช่วยกดดันมนุษย์ ดับไฟตื่นเต้นของพวกเขาโดยฉับพลัน

_____