"ช่างวินจะร่วมมือกับผมไหมครับ"
ไม่บ่อยนักที่วุฒิชัยจะเดินเข้ามาหาชายหนุ่มถึงโต๊ะทำงานในโรงซ่อมบำรุง
วินเงยหน้ามองวิศวกรคนเดียวของโรงงานอย่างสนใจ เรียกได้ว่าช่างวุฒิเป็นคนที่มีความรู้สูงที่สุดในส่วนของโรงงานเลยก็ว่าได้ บรรดานายช่างและคนงานในโรงงานไม่มีใครจบถึงปริญญาตรีเลย จะมีก็แต่วุฒิชัยคนเดียว ดังนั้นเขาจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลควบคุมการผลิตเมล็ดกาแฟทั้งหมดตั้งแต่ยังเป็นผลเชอรี่ไปจนถึงเมล็ดที่คั่วเสร็จแล้ว จนกระทั่งพร้อมนำออกจัดจำหน่ายให้ตามร้านกาแฟและร้านค้า คนงานในโรงงานจึงให้ความเคารพและยำเกรงวุฒิชัยมาก
"ผมคุยๆกับคนงานส่วนใหญ่แล้ว ทุกคนก็จะเอาด้วย ว่าไงว่ากัน"
วุฒิชัยกล่าวต่อไป เขายืนกอดอกด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังอยู่หน้าโต๊ะทำงานที่รกๆนั่น นัยน์ตาจ้องเขม็งมาทางนายช่างใหญ่แห่งโรงซ่อมบำรุง
"ผมไม่อยากให้คุณวิชิตเดือดร้อน" วินยังแบ่งรับแบ่งสู้ ชายหนุ่มไม่มีปัญหาในการที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่คนงาน ยินดีด้วยซ้ำ แต่การที่จะทำให้ผู้มีพระคุณอย่างคุณวิชิตลำบากใจ วินยังลังเล
"แล้วช่างวินไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือครับ" น้ำเสียงจากวุฒิชัยนั้นแกมเยาะเย้ย
"ผมอยากใช้วิธีการเจรจากับคุณวิชิตเรื่องผลตอบแทนของคนงาน ให้พวกเค้าได้รับมากขึ้นกว่าที่ควรจะได้รับตามกฎหมายแรงงาน" นายช่างซ่อมบำรุงไม่คิดว่าเขาจะสามารถทัดทานเรื่องการปิดโรงงานได้ แต่อย่างน้อยคนงานน่าจะได้เงินชดเชยมากขึ้นอีกหน่อย
"แต่ผมไม่ต้องการให้พวกเค้าปิดโรงงาน มันก็ยังทำกำไรได้ เค้าต้องเห็นใจเราบ้าง ไม่งั้นเราอาจจะต้องใช้วิธีการรุนแรง" นายช่างปริญญาตรียังยืนยันเสียงกร้าว
"วิธีการรุนแรง? เช่น?" วินไม่เข้าใจว่าช่างวุฒิหมายถึงอะไร
"อาจมีข้าวของมันต้องเสียหายกันบ้าง แล้วนี่คนงานหลายคนเค้าก็พร้อมสู้ ยังไงเราก็มีพวกเครื่องจักรพวกเมล็ดกาแฟพวกนี้เป็นตัวประกันอยู่ "
เหมือนขณะนี้วุฒิชัยจะใช้อารมณ์นำไปแล้ว อาจได้แรงยุจากพวกบรรดาคนงาน วินถอนหายใจ
"อย่าให้มันไปถึงขึ้นนั้นเลยครับช่างวุฒิ ยังไงผมก็ไม่คิดว่าเค้าจะยอมเราหรอก"
เขาไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราว ชายหนุ่มผ่านชีวิตของการเป็นเด็กเกเรตีรันฟันแทงมามากแล้ว เขาไม่เห็นผลดีของการพยายามจะใช้ความรุนแรง เพื่อนเขาหลายคนในอดีตไม่ได้มีโอกาสมีอนาคตที่สวยงามอีกเลย
"อีกอย่าง พวกเค้าน่าจะคิดกันมานานแล้ว ไม่งั้นตอนนั้นคุณปกป้องเค้าไม่ขึ้นมาเชียงใหม่ด้วยตัวเองหรอกครับ ผมว่าเราค่อยๆคุยกับพวกเค้าดีกว่า" วินพยายามประนีประนอม
"ได้ผลหรือไม่ได้ผลเราก็ต้องลองให้ถึงที่สุด พวกเราต้องเป็นฝ่ายเสียงแข็งบ้าง พวกนายทุนมันจ้องจะเอาเปรียบเราอยู่ ถ้าช่างวินไม่เข้าร่วมด้วย ก็ขออย่ามาขัดขวางกัน ขอให้เห็นแก่คนงานบ้าง ช่างวินก็รู้ว่าพวกเค้าเดือดร้อนกันแค่ไหนที่โรงงานต้องปิด"
วุฒิชัยรู้ว่าการจะเกลี้ยกล่อมวินมีหนทางเดียว นั่นคือการนำเรื่องความเดือดร้อนของคนงานเข้ามาอ้าง เขารู้ว่า นายช่างใหญ่แห่งโรงซ่อมบำรุงคนนี้จะยอมทำทุกทางเพื่อคนงานอันเป็นที่รัก…
โกดังโรงใหญ่ซึ่งยามปกติใช้เก็บเมล็ดกาแฟกะลานั้น บัดนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นแค้มป์คนงานอย่างลวกๆเพื่อใช้ในการเฝ้ายามทั้งวันทั้งคืน หน้าโกดังถูกจัดเป็นเวทีเล็กๆอย่างง่ายๆด้วยแผ่นไม้พาดบนถังน้ำมันพอให้คนสองสามคนยืน จะมีก็แค่เครื่องเสียงและไมโครโฟนเป็นส่วนประกอบหลัก
บ่ายวันนี้เหล่าคนงานต่างนัดหมายกันหยุดทำงานในทุกๆแผนก แล้วมารวมตัวกันหน้าเวทีเพื่อฟังการปราศรัยสลับกับการเป็นแนวร่วมโห่ร้องสนับสนุนเป็นระยะ และแน่นอนเพื่อแสดงความจริงจังเป็นหมู่คณะ พวกเขาพากันมานั่งหน้าเวทีสลอนในชุดม่อฮ่อม
"พวกเราจะไม่ยอมให้โรงงานกาแฟมิตรแท้ของเราถูกปิด!"
"แม่น!" แม้การปราศรัยจะพยายามใช้ภาษากลาง แต่การสนับสนุนยังคงไว้ซึ่งภาษาเหนือ
"พวกเรามีลูกเมียต้องดูแล!" ลุงคำพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นผ่านไมโครโฟน
"โหล โหล" ป้าฟองเคาะไมค์ก่อนจะเอ่ยบ้าง "พวกเรามีคนเฒ่าคนแก่ต้องดูแล"
"แม่น!"
"พวกเราต้องมีเงินไปซื้อข้าวเหนียว แล้วตอนนี้ข้าวเหนียวก่อราคาขึ้นแล้วโตย" ป้าฟองเริ่มเข้าสู่หลักเศรษฐศาสตร์
"แม่น แม่น ไข่ไก่ก็ขึ้นราคา" เสียงสนับสนุนจากข้างล่างเวทีเซ็งแซ่ บรรดาคนงานต่างหันไปปรับทุกข์กันเรื่องข้าวของขึ้นราคา
"พอตกงาน หมู่เฮาก็จะเครียด แล้วก็เป็นภัยต่อสังคม" ป้าฟองเริ่มไปต่อที่หลักจิตวิทยา
"เอ่อ ช่างวุฒิ ผมจะขอร้องเพลงได้ก่อ" หลังจากที่ได้พูดไปสองประโยค ลุงคำก็เกิดติดใจไมโครโฟนเสียแล้ว
"เดี๋ยวก่อนอ้ายคำ อย่าเพิ่งฮ้องเพลง ข้าเจ้ายังอู้บ่แล้วใจ๋" ป้าฟองยังต้องการปราศรัยต่อไปอย่างเข้มข้น
"เฮาต้องการรักษาสิทธิของเฮา" ตอนนี้ป้าฟองเริ่มเข้าเรื่องสิทธิมนุษยชน
"สิทธิอะหยังวะ" ลุงคำเริ่มงง
"และหมู่เฮาก่อต้องการยะก๋านยะงาน ยะก๋านยะงาน!" ป้าฟองไม่สนใจลุงคำ และตะโกนก้องเรียกเสียงสนับสนุน
"ยะก๋านยะงาน ยะก๋านยะงาน!" ลูกคู่หน้าเวทีขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน บัดนี้ชาวโรงงานกาแฟมิตรแท้เริ่มมีความฮึกเหิมถึงขีดสุด พวกเขาพร้อมสู้ตายเพื่องานที่พวกเขารัก
"โฮ้ย โฮ้ย โฮ้ยยยย… บนทางเดินที่มีขวากหนาม ถ้าเธอคร้ามถอยไปฉันคงเก้อ
ฉันยังพร้อมช่วยเธอเสมอ เพียงตัวเธอไม่หนีไปเสียก่อน…"
แล้วจู่ๆลุงคำก็ขึ้นเพลงรางวัลแด่คนช่างฝันของจรัล มโนเพชร ทำเอาวิญญาณขาแด๊นซ์เข้าสิงสู่บรรดาชาวโรงงานอย่างฉับพลัน ตอนนี้พวกนักสู้ต่างพากันลุกขึ้นฟ้อนกันตามท่วงทำนองของเพลงอย่างไม่มีใครยอมใคร…
"แกว่ามันจะสำเร็จก่อวะไอ่โต้ง"
ช่างอู๊ดเปรยกับหนุ่มรุ่นน้องอย่างไม่แน่ใจ เขามีหน้าที่ตระเตรียมเครื่องเสียงให้เหล่าผู้ขึ้นเวทีปราศรัย แต่ดูเหมือนแนวทางการประท้วงแบบดุเดือดจะเริ่มออกไปในทางบันเทิงเสียมากกว่าแล้ว
"ก็ดีกว่าบ่ยะอะหยังเลยนาอ้าย ยังไงๆ เขาก็เอาหมู่เฮาออกอยู่แล้ว" โต้งนั่งอยู่ข้างๆเวที ชายหนุ่มรับหน้าที่เป็นยามเฝ้าโกดังด้วย แม้จะหนักใจอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นอาการรำฟ้อนของบรรดานักสู้หน้าเวที แต่เขาก็คงต้องทำใจ
"แล้วถ้าเกิดเขาเอาตำรวจมายับเฮาเข้าตะราง จะว่าใด" ช่างอู๊ดยังมีความกังวลกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ เขาคิดว่าตัวเองอายุมากแล้ว ไม่ควรนำตัวเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องที่นำมาซึ่งความเดือดร้อน
"โถ่ อ้ายอู๊ด จะกลัวอะหยัง คุณวิชิตแกบ่ทำงั้นแน่นอน อ้ายวินแกบ่ยอมง่ายๆหรอก แล้วคุณวิชิตแกก่อฮักอ้ายวิน"
โต้งรู้ดีว่าตอนนี้วินอยู่ข้างพวกเขา และลูกพี่ของเขาคนนี้ก็คงจะไม่ยอมให้พวกเขาเดือดร้อนเป็นแน่ ช่างวินจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเรื่องราวต่างๆได้ในที่สุด โต้งเชื่อมั่นในตัวลูกพี่ของเขา เขามองไปทางที่วินยืนอยู่ ก็เห็นชายหนุ่มกำลังคุยกับวุฒิชัยด้วยท่าทางซีเรียสจริงจัง…
"คุณวิชิตไม่ให้ใครไปเชิญช่างวุฒิกับช่างวินมาคุยหรือคะ" สิปรางค์ถามอย่างสงสัย
หญิงสาวและคุณวิชิตกำลังยืนดูการประท้วงจากไกลๆอยู่หน้าอาคารสำนักงานใหญ่
"สองคนนั้นเค้าหัวแข็งทั้งคู่ ต้องปล่อยให้เค้าทำอย่างที่เค้าอยากจะทำ เดี๋ยวเค้าก็เลิกรากันไปเอง"
สิปรางค์ไม่รู้จักวุฒิชัยดีนัก แต่จากที่เคยเห็นกันมาก็พอจะเดาได้ว่าวุฒิชัยคงเป็นคนเด็ดขาดพอสมควร หากเขาคิดจะทำอะไร ก็คงห้ามอะไรไม่ได้ ส่วนทางพ่อหนุ่มคนคุ้นเคยของหล่อนนั้น เห็นท่าทางเค้ามักจะเฉยๆอย่างนั้น แต่หญิงสาวรู้ดีว่าวินเป็นคนดื้อเงียบ …มาก!
"แล้วถ้าเค้าประท้วงกันยืดเยื้อไปนานๆกว่านี้ล่ะคะ งานของเราก็จะไม่จบเสียทีนะคะ" ตอนนี้หญิงสาวอยากทำงานให้สำเร็จโดยเร็วที่สุดแล้วจะได้รีบกลับกรุงเทพ หล่อนไม่เหลืออะไรอยู่ที่นี่แล้ว ทุกคนเกลียดหล่อน
"ยังไงเราก็คงทำตามข้อเรียกร้องของพวกเค้าไม่ได้ งั้นก็ให้โอกาสพวกเค้าได้ระบายความในใจกันสักพักเถอะครับ"
วิชิตเองก็เห็นใจคนงานอยู่ไม่น้อย เขาจึงไม่อยากจะใช้ไม้แข็งใดๆจัดการกับการประท้วงครั้งนี้ หลังจากได้ประกาศปิดโรงงานออกไป เขาได้พยายามที่จะใช้เวลาออกเดินไปตามแผนกต่างๆเพื่อพบปะทำความเข้าใจกับคนงานทุกๆคนด้วยตนเอง และดูเหมือนว่าคนงานส่วนใหญ่จะรับฟังเขาพูดด้วยดี แต่วิชิตก็รู้ว่าลึกๆแล้วในใจคนงานยังไม่สามารถจะทำใจยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้…
"อ้าว ช่างอู๊ดนี่เอง ยินดีจ๊าดนักเจ้า"
หญิงสาวกล่าวขอบคุณผู้ที่ก้าวเข้ามาประคอง ในขณะที่หล่อนกำลังเซถลาจะล้มเนื่องเพราะหน้ามืดจากการแพ้ท้อง ราณีไม่คิดว่าเมื่อเงยหน้ามาแล้วจะพบกับนายช่างรุ่นใหญ่แห่งโรงซ่อมบำรุง
"บ่เป็นหยังคับ" ช่างอู๊ดรู้สึกแปลกใจที่ราณีพูดคำเมืองกับเขา ปกติหญิงสาวไม่เคยจะใช้คำเมืองกับใครในโรงงาน จนทุกคนเกือบจะลืมไปว่าหล่อนเป็นคนเหนือแท้ๆ
ท่ามกลางสถานการณ์การประท้วงของชาวโรงงาน อยู่ๆนายช่างก็รู้สึกนึกเป็นห่วงหญิงสาวขึ้นมา เขาไม่เห็นพนักงานทางฝั่งสำนักงานไปร่วมประท้วงเลย เขาจึงแอบมาดูลาดเลาและเพื่อที่จะได้มาดูว่าราณีเป็นอย่างไรบ้าง
ช่างอู๊ดสังเกตได้ว่า หลังปีใหม่เป็นต้นมาราณีดูเศร้าไปมาก หล่อนไม่ร่าเริงสดชื่นเหมือนเคย ซึ่งทุกคนก็คาดเดากันไปว่าเป็นเพราะหนุ่มณัฐได้ทิ้งหญิงสาวกลับกรุงเทพไปแล้ว หากช่างอู๊ดก็ยังคิดว่าหญิงสาวคนสวยไม่เพียงแต่ดูซึมเศร้าแค่นั้น แต่หล่อนยังดูอ่อนระโหยโรยแรงคล้ายคนไม่สบาย หลายๆครั้งที่เขาได้แต่แอบมองและพยายามทักทายหล่อนตามปกติ แต่หากพ่วงสายตาแห่งความห่วงใยติดไปด้วย ซึ่งเขาไม่รู้ว่าหญิงสาวจะสังเกตเห็นบ้างหรือไม่
นายช่างประคองหญิงสาวนั่งพักลงที่เก้าอี้ของโต๊ะทำงานของหล่อน เขาควานหาแผ่นกระดาษที่แข็งๆหน่อยแถวนั้นมาพัดวีให้ และฉวยหยิบยาดมที่วางอยู่บนโต๊ะมาอังตรงจมูกหล่อนด้วย
"น้องบ่สบายเมินหรือยัง เป็นหยังคับเนี่ย"
เขาถามหญิงสาวด้วยความห่วงใย ช่างอู๊ดยังเชื่อว่าการประท้วงไม่น่าจะสำเร็จ อีกไม่นานโรงงานนี้จะต้องถูกปิดและทุกคนก็จะต้องแยกย้ายกันไป เขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้เจอหล่อนอีกแล้ว
ราณีเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนตรงหน้า นี่เขายังไม่รู้เรื่องที่หล่อนตั้งครรภ์หรือ แสดงว่าวินคงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับใคร แต่หญิงสาวก็คิดไว้แล้วว่าคงเป็นเช่นนั้น
นี่คือนิสัยของพี่ชายต่างมารดาของหล่อน น้อยครั้งที่เขาจะพูดเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง และนี่ก็คงยังไม่มีใครรู้ว่า หล่อนเป็นน้องสาวของช่างวิน หากเป็นเมื่อก่อนราณีคงเจ็บแค้นและน้อยใจในความเมินเฉยของชายหนุ่ม แต่วันนี้หญิงสาวกลับรู้สึกขอบคุณ การปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเขานั้นทำให้เรื่องทั้งหมดมันง่ายขึ้น
ทันใดนั้นราณีก็รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน หญิงสาวรีบควานหาถังขยะใต้โต๊ะทำงานออกมาเตรียมรองรับอาเจียน ช่างอู๊ดมองคนสวยตรงหน้าอย่างตกใจ เขางกๆเงิ่นๆทำตัวไม่ถูก ได้แต่รีบหยิบทิชชูบนโต๊ะส่งให้ราณี และมองหาขวดน้ำเพื่อนำมาให้หล่อนจิบ
"อ้ายพาไปหาหมอเอาก่อ ต้ามันบ่ดีนะเนี่ย" นายช่างเริ่มเป็นห่วงหญิงสาวอย่างจริงจัง ที่เขาสังเกตหญิงสาวอยู่ห่างๆและเห็นว่าหล่อนดูไม่ค่อยสบาย ก็คงจะจริง
"ป่ะ อ้ายไปส่ง" ช่างอู๊ดกุลีกุจอลุกขึ้น พลางพยายามจะเข้ามาพยุงตัวราณี หากหญิงสาวขืนตัวไว้ โบกไม้โบกมือ
"บ่ต้องอ้าย น้องบ่เป็นหยัง" ราณีพยายามปฏิเสธ หล่อนไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายกับหล่อนมากไปกว่านี้ แม้ว่าจะเป็นความหวังดีก็เถอะ
คนเอื้อเฟื้อจึงได้แต่มองตามหญิงสาวที่เขาแอบรักด้วยความเป็นห่วงจับใจ…
"จริงเหรอวะจันติ๊บ"
ช่างอ๊อดรับฟังข่าวเรื่องของโรงงานกาแฟมิตรแท้อย่างสะใจ หลังจากเกิดเรื่องขโมยเมล็ดกาแฟกะลาซึ่งทำให้เขาต้องติดคุก ชีวิตเขาก็ยากลำบากในการหางานใหม่ แม้เขาจะอยู่ในคุกไม่กี่วันจริงอย่างที่วินบอก เพราะในที่สุดวุฒิชัยก็ไม่ได้เอาเรื่องเขา แต่กระนั้นเมื่อได้ชื่อว่าเคยติดคุกติดตะราง ดูเหมือนสังคมจะไม่ได้ให้โอกาสเขาง่ายๆ ยังดีที่ได้ช่างวินคอยจุนเจือเขาและครอบครัวด้านอาหารการกินอยู่บ้าง
"แต่แค่ตกงานมันยังน้อยไปมั้ง ไอ้วุฒิมันต้องโดนมากกว่านี้ ไหนๆโรงงานมันก็จะโดนปิดแล้ว มันน่าจะมีอะไรสนุกๆกว่านี้อีกสิวะ"
อดีตนายช่างคู่ใจของวุฒิชัยยิ้มลอดไรฟัน เขายังเก็บความคับแค้นใจนี้ไว้เสมอ รอแค่เวลาที่สมควร วุฒิชัยต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสมที่ทำกับเขาไว้…
เมื่อความมืดได้ย่างกรายเข้ามา บริเวณโรงงานก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศเงียบสงบ เวทีปราศรัยบัดนี้ได้ว่างลง เครื่องเสียงถูกเก็บเข้าไปไว้ในโกดังเพื่อรอการถูกนำมาใช้งานในวันต่อไป คนงานส่วนใหญ่กลับบ้านไปแล้ว เหลือแต่คนงานกลุ่มหนึ่งที่ยังยึดพื้นที่อยู่บริเวณโกดังเก็บกาแฟกะลา
วุฒิชัยเดินตรวจตราบริเวณรอบๆโกดังในตอนกลางดึกคืนนั้น คนงานของเขาจัดเวรยามไว้รอบโกดังอย่างดีแล้ว เขาเดินห่างออกมาจากโกดังเพื่อมาสำรวจดูบริเวณริมแม่น้ำด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาบริเวณนี้ทั้งสิ้น แผนของเขาคือการยึดผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟกะลาไว้เป็นตัวประกัน
กาแฟกะลานับได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการแปรรูปเมล็ดกาแฟของโรงงานเขา เมื่อไม่มีเมล็ดกาแฟกะลา การคั่วกาแฟก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และเมื่อพวกเขายึดเมล็ดกาแฟกะลาไว้อย่างนี้ ทางโรงงานก็ไม่สามารถจะนำเมล็ดกาแฟกะลาออกไปขายโดยตรงได้ และอีกอย่างโกดังนี้อยู่ห่างไกลออกมาจากทางอาคารสำนักงาน หรือจะเรียกได้ว่าอยู่ในบริเวณพื้นที่ปกครองของเขา มันทำให้เขานำคนงานทำการประท้วงได้สะดวกมากขึ้น
นายช่างใหญ่ฝ่ายผลิตยังมีความหวังอยู่ว่าทางสำนักงานใหญ่จะฟังข้อเรียกร้องของเขาบ้าง เขาไม่ต้องการจะให้โรงงานนี้ถูกปิด อาชีพการงานของเขากำลังไปได้ดี หากคุณวิชิตเกษียณไปในไม่ช้า เขาจะต้องได้ขึ้นเป็นผู้จัดการโรงงานคนใหม่แทนคุณวิชิตอย่างแน่นอน ไม่มีใครเหมาะสมเท่าเขาอีกแล้ว
วุฒิชัยไม่เคยมีความกังวลถึงเรื่องคู่แข่ง แม้เขาจะนึกไปถึงคนที่มีโอกาสจะเป็นไปได้อย่างช่างวิน แต่เขาคิดว่าเขารู้จักชายหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ดี วินไม่เคยแสดงอาการว่าสนใจตำแหน่งบริหารใดๆ ชายหนุ่มร่างสูงใจดีคนนั้นรักที่จะใกล้ชิดกับเครื่องจักรและคนงานมากกว่ากองเอกสาร…
"ช่างวุฒิ! ไฟไหม้!"
"ช่างวุฒิอยู่ตี้ใด!"
เสียงร้องเรียกตามหาเขาดังขึ้นอลหม่าน วุฒิชัยซึ่งขณะนี้ยังอยู่บริเวณริมแม่น้ำเห็นเปลวเพลิงลุกขึ้นมาบริเวณประตูด้านหลังของโกดัง ไฟยังไม่โหมกระพือถึงด้านบน แต่เปลวควันที่พวยพุ่งออกมานั้นแสดงว่ากระสอบบรรจุเมล็ดกาแฟกะลาต้องถูกเผาไหม้ไปบางส่วนอย่างแน่นอนแล้ว
นายช่างใหญ่รีบวิ่งตรงไปที่โกดังโดยทันที เบื้องหน้าเขาคือความโกลาหลในการพยายามที่จะดับไฟ บริเวณประตูโกดังด้านหลังบัดนี้ถูกเพลิงไฟปิดไว้เรียบร้อย คนงานบางส่วนกำลังลำเลียงน้ำจากในแม่น้ำเพื่อพยายามที่จะดับไฟรอบๆบริเวณ
"ช่างวินกับคนงานกำลังวิ่งไปขนถังดับเพลิงมาจากโรงอื่นๆครับ" คนงานคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นเขาวิ่งกระหืดกระหอบมา
"มีใครโทรเรียกรถดับเพลิงหรือยัง" วุฒิชัยตะโกนถามไปด้วยขณะวิ่งตรงไปยังบริเวณประตูด้านหน้าของโกดัง
"ช่างวินโทรเรียกรถดับเพลิงตั้งแต่เห็นเปลวไฟมันลามแล้วครับ น่าจะมาในอีกยี่สิบนาที" เสียงช่างโต้งนายช่างคู่ใจของช่างวินตะโกนกลับมา ชายหนุ่มกำลังช่วยคนงานขนน้ำมาจากแม่น้ำ
"แล้วมีใครติดอยู่ในโกดังอีกหรือเปล่า" วุฒิชัยตะโกนถามเมื่อเห็นคนงานบางคนวิ่งหนีออกจากโกดังมาทางประตูด้านหน้าได้อย่างสะบักสะบอม ประตูด้านหน้าบัดนี้เต็มไปด้วยกลุ่มควันโขมง
"ช่างวุฒิ! ไอ่เติ้ดมันติดอยู่ในนั้น!" คนงานคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามาบอกเขา
"เฮ้ย! แล้วมันเข้าไปทำอะไรในนั้น!"
เติ้ดไม่มีหน้าที่อะไรที่นี่ แล้วชายหนุ่มเข้าไปในโกดังทำไมกัน
นายช่างใหญ่ของฝ่ายผลิตรีบวิ่งตรงเข้าไปที่ในโกดังทางประตูหน้าทันทีท่ามกลางเสียงห้ามปรามเซ็งแซ่ของบรรดาคนงาน แม้เปลวเพลิงจะร้อนแสบผิวเพียงไร แม้โรงงานจะปิดอยู่รอมร่อแล้ว แต่ถ้าตราบใดที่เขายังทำงานที่นี่อยู่ ตราบนั้นหน้าที่ความรับผิดชอบก็ยังเป็นของเขา คนงานของเขาติดอยู่ข้างในนั้น เขาต้องเข้าไปช่วย
ในโกดังมีควันมากมายคลุ้งไปทั่วกว่าที่วุฒิชัยคาดไว้ เปลวไฟยังคงลามเลียกระสอบเมล็ดกาแฟอยู่หลายส่วน ชายหนุ่มพยายามค่อยๆเดินมองฝ่าควันไปรอบๆ แต่เขาก็มองอะไรแทบไม่เห็น แถมยังรู้สึกแสบหูแสบตาไปหมด
แต่แล้ววุฒิชัยก็เห็นแผ่นหลังของใครคนหนึ่งกำลังคุดคู้อยู่ที่หลังกองกระสอบบริเวนมุมด้านซ้ายอขงโกดัง เขารีบวิ่งไปลากตัวหนุ่มไอทีประจำโรงงานออกมาจากตรงนั้นทันที เติ้ดดูเหมือนว่าจะสะลึมสะลือสำลักควันจึงลุกไม่ขึ้น นายช่างใหญ่ใช้กำลังทั้งหมดที่มีอยู่พยายามจะฉุดตัวชายหนุ่มให้ลุกยืนขึ้น พร้อมกับสอดแขนเข้าไปพยุงเติ้ดพาให้เดินไปยังที่ประตูหน้าของโกดัง
แต่ยังมิทันที่วุฒิชัยและเติ้ดจะเดินไปถึงประตูโกดังนั้น กระสอบบรรจุเมล็ดกาแฟกะลาที่วางซ้อนกันไว้สูงเทียบหลังคากองที่อยู่ติดประตูนั้น ก็โอนเอียงทำท่าจะล้มครืนลงมา วุฒิชัยผลักเติ้ดให้ออกห่างจากตัวเขาไปในทันที!
…