บ่ายสองโมง…
เมื่อคุณเซนเห็นชื่อคอร์สเรียนเสริมพร้อมราคาที่ฉันส่งไป เธอก็เดินมาเรียกฉันให้เข้าไปคุยในห้องประชุมเล็ก และก็แน่นอน ณ ช่วงเวลานี้ ไม่ว่าฉันจะขยับตัวทำอะไรที่มีคุณเซนเกี่ยวข้อง ก็จะมีสายตาจับจ้องตามกันไปนับสิบคู่ แล้วมันก็เป็นความบังเอิญอีกแล้ว ที่ฉันตวัดสายตาไปเห็นการแอบมองใคร่รู้ขั้นสูงสุดของน้องพลอยทะลุทะลวงออกมาจากกลุ่มสายตาใคร่รู้ปานกลางของพนักงานคนอื่นๆ
ว่าแต่คุณเซนแกได้ยินเสียงร่ำลือเรื่องบ้าบอคอแตกนี่บ้างหรือยังเนี่ย เห็นหน้าตาแกดูเฉยๆ คงยังไม่ได้ยินอะไรมั้ง
"นี่ครับ เงินที่ผมยืมคุณไปเมื่อวาน ผมขอบคุณคุณมากมากอีกทีนะครับ"
เมื่อปิดประตูห้องประชุมเล็กแล้ว เธอก็ยื่นแบงค์พันมาให้ฉัน
"ใครจะมีเงินทอนคะคุณเซน ความจริงคุณไม่ต้องให้คืนก็ได้ เงินนิดหน่อย ถือว่าชั้นเลี้ยงต้อนรับคุณเข้าบริษัทเราก็แล้วกัน" ฉันทำใจป๋า
"ผมไม่ได้ต้องการเงินทอนครับ ผมให้คุณหมดนี่เลย ค่าก๋วยเตี๋ยว ค่ากระบองเพชร ค่ารถไฟฟ้า"
"โอย บวกรวมๆกันแล้วยังไม่ถึงห้าร้อยเลยมั้งคะนั่น"
"งั้นที่เหลือถือเป็นค่าทิปละกันครับ"
"บ้าเหรอ ชั้นไม่ใช่เด็กนั่งดริงก์"
"เอาไปเถอะครับ ผมไม่ชอบเอาเปรียบใคร โดยเฉพาะการเอาเปรียบผู้สูงวัย"
นั่นไง มาจนได้มุกนี้ เบื่อมากกกก
"แล้วนี่แค่จะใช้เงินคืน ถึงกับต้องเรียกกันมาคุยเป็นกันส่วนตัวเลยหรือคะ มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าคะ"
ฉันเปลี่ยนเรื่อง ฉันรู้วิธีการตอบโต้คุณเซนละ ถ้าเธอหยอกมุกสูงอายุมา ฉันต้องทำเป็นเพิกเฉยเสีย ไม่งั้นเธอจะได้ใจ หยอกไม่เลิก
"อ้อ ผมอยากให้คุณพิจารณาเรื่องคอร์สเรียนเสียใหม่"
นั่นยังไง ถ้าเป็นเรื่องงาน เธอไวเสมอ
แต่! นี่คุณเซนจะมามีปัญหาอะไรกับฉัน ก็เห็นคอร์สของคนอื่นๆเค้าผ่านกันหมด ทุกคนได้งบไปลงทะเบียนอย่างที่อยากจะเรียน พี่เพ็ญยังได้เรียนทำอาหารเลย ส่วนคิตตี้ก็ได้เรียนแต่งหน้า สุกรีจะไปเรียนร้องเพลง น้องเยลลี่ขอเรียนเขียนนิยาย ทุกคนเค้าก็แฮปปี้กันดีทั้งนั้น แล้วทำไมฉันต้องพิจารณาคอร์สของฉันใหม่
"อ้าว ไหนคุณเซนบอกว่าเรียนอะไรก็ได้ไงคะ"
"ก็ใช่ แต่คุณลลินครับ คุณอายุปูนนี้แล้ว แล้วจะไปเรียนเล่นสเกตบอร์ดเนี่ยนะครับ! มันต้องเป็นรำไทเก็กมากกว่าหรือเปล่าครับ"
คำคัดค้านยิ้มๆนั่นทำเอาฉันควันออกหู
"คุณเซน นี่มันคือการบูลลี่เรื่องอายุกันชัดๆ คุณเซนก็อยู่เมืองนอกเมืองนามาตั้งนาน ยังมีทัศนคติไดโนเสาร์ขนาดนี้เชียวหรือคะ" ฉันโวยวายยาวเหยียด
เรื่องนี้ฉันยอมไม่ได้ ใครจะมาห้ามฉันทำอะไรเพราะเหตุผลเรื่องอายุนี่ ฉันไม่ยอมเด็ดขาด ความคิดล้าหลังสิ้นดี นี่น่ะเรอะคนรุ่นใหม่ ที่แท้ก็เลือกปฏิบัติ ที่แท้ก็แบ่งแยก
"เอ่อ ผมแค่คิดว่า ทำไมคุณไม่เรียนคอร์สที่จะเป็นประโยชน์กับระดับหัวหน้างานอย่างคุณ เช่นพวกการบริหารเบื้องต้น การสื่อสารในที่ทำงาน ศิลปะการเจรจาต่อรอง อะไรพวกนั้น"
"ก็คอร์สพวกนั้นมันน่าเบื่อ เข้าใจไหมคะว่ามันน่าเบื่อ"
ระยะหลังนี้ฉันเริ่มจะติดวลี 'เข้าใจไหม' ของพี่เพ็ญเอามาใช้บ้างแล้ว โดยเฉพาะกับพวกเข้าใจยากเถียงคำไม่ตกฟากอย่างคุณเซน
"แต่มันเป็นประโยชน์กับคุณมากกว่าไงครับ หรือคอร์สนี้ไหมครับ ที่ผมเพิ่งจะไปเห็นมา คอร์สพัฒนาบุคลิกภาพสำหรับผู้นำองค์กร" เหมือนคุณเธอจะยังพยายามจะโน้มน้าวใจฉัน
นี่คุณเซนมายุ่งอะไรกับชั้นนักหนาคะเนี่ย
"แต่มันน่าเบื่อค่าาาาาา แล้วชั้นก็ไม่ได้สนใจอยากจะเป็นผู้นำองค์กรอะไรขนาดนั้น"
ฉันไม่ยอมเอนเอียงเป็นอันขาด อายุฉันก็ปูนนี้แล้ว ไม่มีความรู้อะไรบนโลกใบนี้จะสำคัญไปกว่าความรู้ที่ฉันอยากจะรู้อีกแล้ว
"คุณเซนต้องทำตามกติกาสิคะ" ฉันยื่นไม้ตายขั้นสุดท้าย ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนเคารพกติกา
"คุณบอกกับทุกคนไปแล้วว่าคอร์สอะไรก็ได้ มันก็ต้องอะไรก็ด้ายยยยยย" ฉันทำเสียงสูง แบบให้คุณเซนเธอแน่ใจว่า มันอะไรก็ด้ายยยยยย
"โอเคครับ โอเค" ในที่สุดคุณเธอก็ยอมจำนน
"ผมก็แค่อยากจะบอกว่า ถ้าคุณลลินอยากจะเล่นสเกตบอร์ด ผมสอนให้ก็ได้นะ ผมเล่นเก่ง"
ว้อท?
ฉันจ้องมองคนตรงหน้าอย่างประหลาดใจ นี่เค้าจะมามุกไหน หรือยังไง อะไร? แต่หน้าตาที่ดูจริงจังนั่นทำเอาฉันถึงกับไปต่อไม่เป็น
"ผมก็แค่เสนอ เผื่อคุณสนใจ จะได้เอาเงินไปลงคอร์สอื่นแทน แต่ถ้าไม่สนใจ… ก็ไม่เป็นไรครับ" คนพูดยักไหล่หน้าตาเฉยๆ "ไปทำงานกันต่อเถอะครับ"
แล้วเค้าก็เดินนำฉันออกจากห้องประชุมเล็กนั้นไป ในขณะที่ฉันยังคงยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม
คุณเซนเนี่ยนะ อาสามาสอนฉันเล่นสเกตบอร์ด? ว่างมากนักหรือไง?
แล้วถ้าเกิดฉันบ้าจี้ไปเล่นสเกตบอร์ดกับคุณเซนเข้าจริงๆ แล้วมีคนไปเห็นเข้า คงจะเอามาร่ำลือกันแน่ว่าฉันท้องกับเขาแล้ว…
บ่ายสาม…
ฉันเดินไปเข้าห้องน้ำอีกรอบ คราวนี้เจอน้องจิ๊บแผนกบัญชีกำลังล้างมืออยู่ เธอปราดเข้ามาทันทีเมื่อเห็นหน้าฉัน
เอาเข้าไป วันนี้มันวันแห่งการเม้าท์มอยไร้สาระจริงๆ
"พี่ลิน หนูได้ข่าวว่าพี่ไปจูบกับคุณเซนที่จตุจักรเหรอ" น้องจิ๊บทำตาโต กระซิบกระซาบทำหน้ามีลับลมคมใน
"บ้าเหรอ!" แค่หกชั่วโมงผ่านไป ลือกันมาจนถึงเรื่องฉันไปจูบกับเจ้าเด็กน้อยนั่น บ้าบอไปกันใหญ่แล้วบริษัทนี้
"แค่เผอิญไปเจอกัน เลยไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือด้วยกัน" ฉันพยายามระงับอารมณ์อธิบายข้อเท็จจริง ทั้งๆที่ความจริงกำลังปวดฉี่มาก แต่เรื่องนี้มันเหมือนจะสำคัญสำหรับคนทั้งบริษัทเลยทีเดียว
"ก็นั่นสินะ หนูก็ว่าแล้ว ใครมันจะไปจูบกันที่จตุจักร ร้อนก็ร้อน คนก็เยอะ หาความโรแมนติกไม่ได้เลย ว่าแต่แล้วพี่กับคุณเซนไปจูบกันที่ไหนเหรอ"
ป๊าบ! ฉันพลัวะไปเบาๆที่ต้นแขนของยัยน้องจิ๊บ
"ทำพูดเล่นกันไป นี่ถ้าถึงตอนเย็นไม่ลือกันว่าพี่กะคุณเซนได้กันแล้วเลยรึ"
"โห พี่ ถ้าลือกันงั้น คุณพลอยแกไม่ต้องลาออกเลยรึ แค่นี้หนูก็เห็นคุณพลอยแกอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าแล้ว"
อือม์ จริงสินะ น้องจิ๊บอยู่แผนกเดียวกับน้องพลอย คงได้รับฟังเรื่องของความสนิทสนมระหว่างคุณเซนและน้องพลอยมาไม่น้อย
เฮ้อ… สมหวังยัยประชาสัมพันธ์น้ำหวานเค้าแล้วล่ะสิ หมั่นไส้น้องพลอย แต่มาเอาฉันเป็นเครื่องมือ?
บ่ายสี่…
แล้วฉันก็เจอน้องพลอยตัวต่อตัวที่ห้องกาแฟจนได้ หลังจากที่พยายามเลี่ยงไม่มองไปทางแผนกบัญชีที่นั่งอยู่ตรงอีกมุมหนึ่งของห้อง
"พี่ลินว่าพี่เซนเป็นยังไงบ้างคะ" เสียงหวานๆของสาวหน้าหวานแผนกบัญชีทำเอาฉันสะดุ้ง
น้องพลอยผู้ซึ่งเป็นชนวนให้น้องน้ำหวานก่อเรื่องชวนนินทาของบริษัทในวันนี้
"เอ้อ ก็…ชายหนุ่มอนาคตไกล …มั้งคะ" ฉันพยายามจะตอบให้ดูเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างที่สุด
อันที่จริงน้องพลอยก็เป็นน้องอีกคนที่ฉันสนิทด้วยในบริษัท แต่อือม์… จะว่าไป ฉันก็หว่านความสนิทสนมกับพนักงานคนอื่นๆไปทั่วๆเกือบทุกแผนก มากบ้างน้อยบ้างตามแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย
ฉายา 'เจ๊ใหญ่' นั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแน่ๆ ไม่ว่าใครจะมีเรื่องมีราวกับใคร ฉันจะเป็นผู้อยู่ตรงกลางและไกล่เกลี่ยให้ทุกคนอย่างเป็นธรรม อย่างน้องพลอยที่คนทั้งบริษัทพากันเรียกว่า 'คุณพลอย' และน้องพลอยก็เรียกทุกคนในบริษัทนำหน้าว่า 'คุณ' เห็นจะมีแต่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่น้องพลอยเรียกว่า 'พี่'
เห็นเป็นบริษัทเล็กๆอย่างนี้ แต่เค้าก็แอบมีระบบศักดินาของเค้าอยู่นะจ๊ะ
"แต่เหมือนจะตรงไปตรงมาไปนิ้ดนะคะ" ในที่สุดฉันก็อดไม่ได้ที่จะออกปากให้ความเห็นเกี่ยวกับพี่เซนของน้องพลอย
"นี่พลอยก็เตือนพี่เซนเค้าอยู่เหมือนกันนะคะ ว่าวัฒนธรรมการทำงานที่ญี่ปุ่นที่พี่เซนเค้าคุ้นเคยอาจจะเอามาใช้กับที่เมืองไทยไม่ได้ คนไทยเรายังทำงานกันไม่ค่อยโปรเฟสชั่นนอลน่ะค่ะ"
แม้ฉันจะรู้สึกสะดุดนิดๆกับคำพูดของน้องพลอย นี่น้องพลอยกำลังจิกใครหรือเปล่าหว่า…
แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก น้องพลอยเค้าก็พูดจาแนวๆนี้เป็นปกติ และในความเป็นคุณหนูไฮโซน่ารักแบบน้องพลอย ใครๆก็พร้อมจะให้อภัยและไม่คิดมาก นอกจากยัยน้ำหวานที่ขี้หมั่นไส้
"ก็ดูจริงใจดีเหมือนกันนะคะ พี่่ว่ามีอะไรก็พูดกันตรงๆ อาจทำให้ทำงานง่ายดี"
สีหน้าที่ภาคภูมิใจของน้องพลอยยามพูดถึงพ่อหนุ่มเซนดึระก็ดูปิดบังความสนิทสนมเอาไว้ไม่มิด ทำให้ฉันต้องยอมๆเออออห่อหมกไปด้วย ก็เค้าสนิทกันน่ะนะ…
ก่อนหน้านี้น้องพลอยเคยมาคุยให้ฉันฟังเรื่องของลูกชายคุณราเชนทร์บ้างแล้ว ว่าชายหนุ่มนั้นทำงานในบริษัทเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น
"เห็นสาวๆที่แผนกเค้ากรี๊ดกร๊าดพี่เซนกันก็จริง แต่เค้าก็กลัวๆกันอยู่นะคะ ก็คงจะมีแต่พลอยเท่านั้นล่ะค่ะที่คงจะกล้าพูดคุยกับพี่เซน กล้าตักเตือนพี่เซน" หญิงสาวหัวเราะน้อยๆให้กับความกล้าของตนเอง
นี่ถ้าคิตตี้มาได้ยินน้องพลอยพูดอย่างนี้ เธอคงจะเบะปากมองบนกับความมั่นในตนเองของน้องพลอย แต่เผอิญคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าน้องพลอยเป็นฉัน เจ๊ลินผู้ไม่เคยหมั่นไส้ใครง่ายๆ เจ๊ลินผู้เข้าอกเข้าใจคนทั้งออฟฟิศ เจ๊ลินเจ้าแห่งการประนีประนอม ปฏิกิริยาตอบที่น้องพลอยได้รับตอบจากฉันจึงเป็น…
"อืื้อ พี่ก็คงไม่ค่อยกล้าจะไปยุ่งอะไรกับคุณเซนเค้าเหมือนกันค่ะ"
แต่เอ นึกไปนึกมา อันที่จริง ทั้งออฟฟิศนี่ฉันก็ไม่เคยวีนใครนะ นอกจาก… เอ่อ…คุณเซน
"พลอยน่ะสนิทกับบ้านพี่เซนมาตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ พี่เซนเค้าเป็นคนที่เข้าถึงยาก คงไม่มีใครเข้าใจเค้าดีเท่าพลอย" สายตาที่หญิงสาวพูดถึงพ่อหนุ่มเซนดึระนั้นเปี่ยมไปด้วยความเข้าอกเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
"แล้วถ้าพี่เซนเค้าจะเผลอไปแสดงความสนิทสนมกับใคร ก็น่าจะเป็นเพราะเค้ายังไม่มีเพื่อนที่เมืองไทยมากนัก แต่พลอยก็กลัวว่าเดี๋ยวจะทำให้ใครเข้าใจผิดไปหรือเปล่า"
ถึงน้องพลอยจะไม่ยอมเผลอถามฉันตรงๆเรื่องที่จตุจักร แต่สายตาที่น้องพลอยมองฉันนั้น เกรงว่าจะเปี่ยมไปด้วยความหวาดระแวงฉันและหวงแหนใครบางคนอย่างลึกซึ้ง
เฮ้ออออ ฉันแอบถอนหายใจอยู่ในใจ
จ้า เอาที่น้องพลอยสบายใจเลยจ้า พี่คงไม่ปราถนาไปสนิทสนมอะไรกับพี่เซนของน้องพลอยหรอกจ้า…
หกโมงเย็น…
อยากจะกลับบ้านแย่แล้ว วันนี้ช่างเป็นวันที่บ้าบอคอแตกไร้สาระมาก นี่บางคนที่ไม่มีโอกาสจะได้เจอฉันตัวต่อตัวก็ถึงกับใช้วิธีเขียนอีเมล์หรือไลน์มาถามถึงข่าวคาวนั้น อยากจะบ้าตาย!
แต่ขณะที่ฉันเตรียมจะปิดคอมพ์ พลันก็ได้รับอีเมล์สั้นๆจากคุณเซนที่ส่งตรงถึงพนักงานทุกคน ใจความว่า
'หากวันพรุ่งนี้ ผมยังได้ยินเสียงซุบซิบเรื่องการเจอกันโดยบังเอิญของผมและคุณลลินที่ตลาดนัดจตุจักรอีก สิ้นเดือนนี้ทุกคนจะโดนหักเงินเดือน 5% ครับ'
ฉันถึงกับต้องอมยิ้มเมื่อเห็นข้อความสองบรรทัดนั้น
แม้วูบแรกภายในใจจะไม่เห็นด้วยกับอีเมล์ฉบับนี้ของคุณเซนนัก เนื่องจากฉันคิดว่าเราทุกคนควรมีเสรีภาพในการพูด แล้วนี่อยู่ๆจะมาสั่งให้พวกเราห้ามพูด แต่ในเมื่อเรื่องนี้มันกระทบกับฉันโดยตรง ฉันก็แอบยินดีเมื่อเห็นคำสั่งลักษณะอย่างนี้ สั้นๆง่ายๆ กระชับ ตรงเข้าประเด็น ไม่ดราม่า ไม่ยืดเยื้อ
ฉันอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้ายทอยขาวๆของคนผมตั้งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเยื้องไปไม่ไกล ก็เห็นเค้ายังก้มหน้าก้มตาอยู่กับโน้ตบุ๊คนั่น
โหดเด็ดขาดไม่เบานะเราน่ะ…