webnovel

ความภูมิใจของฉัน

ตอนบ่ายแก่ๆ…

ฉันยืนมองห้องกว้างตรงหน้าซึ่งเป็นอดีตห้องทำงานของเจ้าของบริษัทอย่างทึ่งใจ นี่ตั้งแต่คุณเซนบอกวันนั้น ฉันว่าจะเข้ามาดูหลายครั้งแล้ว แล้วก็มัวแต่ยุ่งๆเลยยังไม่ได้เดินแวะเข้ามาเสียที

ห้องนี้นับได้ว่าเป็นห้องที่ทำเลดีที่สุดบนชั้นสองของบริษัทเรา

ฉันวางถ้วยกาแฟไว้บนโต๊ะเล็กข้างโซฟาใหญ่หนานุ่มนั้น แล้วค่อยๆลดตัวลงนั่งอย่างช้าๆ เอื้อมมือไปลูบไล้ผ้าเนื้อดีที่ห่อหุ้มโซฟาอยู่

ฝีมือการตัดเย็บอย่างประณีตนั้นมาจากการที่ฉันทุ่มเทเวลาตระเวนหาช่างเย็บฝีมือดีทั่วทั้งเมืองไทย ฉันคัดสรรช่างเย็บคนแล้วคนเล่ากว่าจะได้ช่างเย็บที่ฉันพอใจที่สุดแค่สองสามเจ้า

โซฟารุ่นนี้ออกแบบโดยคิตตี้ เป็นรุ่นที่ขายดีอีกรุ่นหนึ่งของบริษัทเรา

ฉันชอบลายดอกกุหลาบสีชมพูบนพื้นดำอย่างนี้มาก ดอกกุหลาบเล็กๆมันให้ความรู้สึกน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่ในขณะเดียวกันก็มากับความลึกลับของสีดำ

จำได้ว่าฉันเคยเห็นลวดลายแบบนี้จากตอนที่ไปท่องเที่ยวแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก มันเป็นลวดลายที่อยู่บนผ้าคลุมไหล่คลุมผมของผู้หญิงที่นั่น และมันก็เป็นเอกลักษณ์ซะจนฉันประทับใจ

พอกลับมาฉันก็บอกให้คิตตี้ออกแบบลวดลายลักษณะนี้ขึ้นมาใหม่ และหลังจากที่คิตตี้นั่งทำรีเสิร์ชหาข้อมูลตามช่องทางต่างๆอยู่เป็นอาทิตย์ ทั้งทางอินเทอร์เน็ต ทางหนังสืออาร์ตจากห้องสมุด ทางหนังหรือซีรีส์ของยุโรปอยู่หลายวัน คิตตี้ก็กลับมาพร้อมกับตัวอย่างดอกกุหลาบบนพื้นดำหลากหลายแบบ

ฉันรักคิตตี้ก็ตรงนี้

แม้ผู้ร่วมทีมของฉันคนนี้จะขี้โวยวายและร้อนรนจนเป็นนิสัย แต่ในยามที่ต้องจริงจัง คิตตี้ก็ใช้ความร้อนรนให้เป็นประโยชน์ คิตตี้จะเริ่มทำงานโดยทันทีที่ได้รับบรีฟงาน และจะค้นคว้าหาข้อมูลด้วยความรวดเร็ว และไม่รีรอที่จะนำเสนอทันทีเมื่อได้ไอเดีย

ส่วนเม็ดกระดุมสีดำลายดอกไม้สีทองที่ถูกกลัดอยู่บนหมอนอิงปักดิ้นทองนี่ น้องเยลลี่ก็ไปตามล่าหาโรงงานผลิตมาครึ่งค่อนประเทศ ซึ่งกว่าจะได้โรงงานที่รับทำงานละเอียดขนาดนี้พวกเราก็เลือดตาแทบกระเด็น ความพยายามของพวกเราทั้งหมดที่ทุ่มเทกันลงไปกับโซฟาตัวนี้นั้นเทียบค่าเป็นจำนวนเงินไม่ได้เลย

เราแค่ต้องการสร้างสรรค์ผลงานที่ดีเลิศ ไม่ใช่งานหยาบๆดาษดื่นทั่วไป

ฉันยังคงลูบไล้มือไปอย่างช้าๆไปทั่วๆโซฟานั้น ค่อยๆละเลียดสายตามองบรรดาเจ้าดอกไม้ดอกเล็กดอกน้อยนั้นอย่างชื่นชม

ความประณีตบรรจงของลวดลายทำให้ฉันรู้สึกอ่อนโยนและผ่อนคลาย

แต่ทำไมคุณเซนกลับมองไม่เห็นคุณค่าของความละเมียดละไมนี้ …เสียดายจัง

"ผมว่าโซฟารุ่นนี้ก็นั่งสบายดีอยู่หรอกนะครับ เสียแต่มันลายตาไปหน่อย"

ฉันชะงักมือที่กำลังลูบไล้โซฟา หันขวับไปมองเจ้าของเสียง

คนที่ฉันกำลังนึกถึงกลับยืนอยู่ตรงประตู …ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!

"ชั้นรู้ค่ะว่ามันอาจจะเป็นลวดลายที่ไม่พึงใจสำหรับใครหลายคน ความงามของเรา มันคงไม่ใช่ความงามของทุกคน ความคลาสสิคของเรา บางคนเค้าก็ไม่เคยเห็นคุณค่าของมัน"

แม้หลายครั้งฉันจะรู้สึกรำคาญและหมั่นไส้กับการพูดตรงๆของคนตรงหน้า แต่หลายครั้งฉันก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน ใครรู้สึกยังไงก็พูดออกมาเลย จบๆไป ไม่ต้องมามัวอ้อมค้อมกัน

"ใช่เลยครับ ผมเห็นด้วย เราคงต้องมานิยามคำว่าคลาสสิคกันใหม่ล่ะครับ"

ท่านประธานโอปป้าของน้องเยลลี่เดินมาหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา แต่… จำเป็นไหมที่ต้องนั่งตัวเกร็งไกลซะขนาดนั้น นั่งซะเกือบจะตกขอบโซฟาอยู่แล้ว

ฉันจำต้องขยับไปนั่งชิดโซฟาอีกด้านหนึ่ง เพื่อคนหัวตั้งจะได้ขยับมาจัดท่านั่งของตัวเองให้ดูสบายๆขึ้น

ข้อดีเพียงอย่างเดียวที่ฉันยอมรับในตัวคุณหัวหน้าคนใหม่คนนี้ในขณะนี้ก็คือ เมื่อฉันพูดตรงๆกลับไปบ้าง เขาก็ไม่เคยถือเป็นอารมณ์ แม้เราจะปะทะคารมโต้เถียงกันไปมาบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งมันก็เหมือนจะจบลงตรงนั้น ฉันรู้สึกได้ว่าเขาไม่เคยถือโทษโกรธเคืองอะไร

เวลาเจอหน้าเขาทีไร แม้เขาจะไม่เปิดปากยิ้มและหน้าตาเซนดึระอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันมองออกว่า แววตาเขากำลังยิ้มล้อเลียนฉัน…

"คำว่าคลาสสิค คือความเก่าหรือรูปแบบเดิมที่ทรงคุณค่า" ฉันเริ่มนิยามความหมายของคำว่าคลาสสิค

"นั่นมันก็แค่ความหมายตามพจนานุกรม"

"แล้วคุณเซนจะนิยามคำนี้ว่ายังไงคะ"

"สำหรับผม มันไม่จำเป็นต้องสงวนไว้ให้แต่ความเก่า หรือรูปแบบเดิม ผมว่าทุกอย่างมันคลาสสิคได้ ถ้ามันจะทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกดีๆอยู่เรื่อยๆนานๆ"

"แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรก็ได้นะคะ มันน่าจะเป็นความสมบูรณ์แบบบางประการด้วย"

"สมบูรณ์แบบสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง อาจไม่มีความหมายสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งนะครับ"

"โอเคค่ะ งั้นนิยามตามสบายเลยแล้วกันนะคะ ดิฉันของีบสักครู่ เข้าใจว่าการงีบตอนบ่ายๆ เป็นวิถีการใช้ชีวิตที่คลาสสิคของชาวสเปน"

ฉันตัดบท เริ่มจะปวดหัวแล้ว บรรยากาศตอนบ่ายๆแก่ๆอย่างนี้มันชวนงีบมากกว่าจะมาถกเถียงกันเรื่องของปรัชญา

แล้วฉันก็เอนหลังพิงพนักโซฟา หลับตาลงต่อหน้าเขาจริงๆ

ไม่สนแล้วว่าพ่อคนหัวตั้งจะรู้สึกอย่างไร จะไล่ฉันออกจากบริษัทก็เชิญเลย ก็ทีเวลาเขาพูดอะไร เขาไม่เห็นเคยสนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย ฉันเบื่อท่าทางอวดดีนั่นเต็มทนแล้ว

"อย่าเพิ่งงอนสิครับ" คุณเซนยังไม่ยอมหยุด

ฉันว่าฉันได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆตามมาด้วยนะ แต่ฉันไม่สนหรอก ฉันไม่ได้งอน

"ไม่ได้งอนค่ะ จะนอน"

"จะนอนจริงๆเหรอ ลืมตาขึ้นมาคุยกันก่อนไม่ได้หรือครับ"

ฉันว่าฉันได้ยินความขี้เล่นมากับน้ำเสียงนั้นด้วยนะ เชอะ ไม่สนหรอก

"ผมมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วยจริงๆนะ" ทำไมน้ำเสียงนั่นเหมือนกำลังง้อฉันอยู่

"ผมอยากจะแจ้งให้คุณทราบว่าผมตัดสินใจซื้อคอลเลคชั่น Green Lover ที่เป็นโปรเจกต์จบปริญญาโทของคุณมินตราเรียบร้อยแล้ว" คนหัวตั้งพูดต่อไปโดยไม่สนว่าฉันกำลังหลับตาอยู่

ว็อท?€£¥$@!÷/!!!

ฉันลืมตาขึ้นมาทันควัน

นี่ตัดสินใจเร็วเกินไปไหม คอลเลคชั่นของเด็กจบใหม่งั้นรึ

ฉันรีบเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง ไม่ง่งไม่งีบไม่งงไม่งอนมันแล้ว ฉันหันไปจ้องหน้าใสๆนั้นเขม็ง

"แต่คุณเซนคะ นี่เรายังไม่ได้เริ่มทำวิจัยทางการตลาดสำหรับคอลเลคชั่นนี้เลยนะคะ"

ปกติการจะผลิตคอลเลคชั่นใหม่ออกมาหลังจากผ่านขั้นตอนการออกแบบ เราจะมีการทำตัวโปรโตไทป์หรือตัวต้นแบบขึ้นมา เพื่อให้มีการทำรีเสิร์ชทางการตลาดก่อน นี่คุณเซนจะมาทำอะไรลัดขั้นตอนอย่างนี้ไม่ได้

แต่เหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ คุณเซนยังย่ำยีฉันต่อไปด้วยแผนการเฉพาะหน้าที่ฉันไม่เคยรับรู้มาก่อน

"ก็งาน Home and Garden ที่เมืองทองธานีที่จะมีในอีกสามเดือนข้างหน้านี้ล่ะครับ จะเป็นงานวิจัยอย่างดี ผมคุยกับคุณมินตราก่อนหน้านี้แล้ว ว่าให้เอาสิ่งที่เธอทำทั้งหมดในงานธีสิสมาแสดง เธอมีตัวต้นแบบทำเสร็จแล้วด้วย ผมจะให้ทีมคุณทั้งสองทีมทำแบบสำรวจว่ามีลูกค้าสนใจโปรดักต์ของแต่ละทีมมากน้อยแค่ไหน"

"คุณเซน! นั่นมันงานนักศึกษานะคะ"

ฉันยอมไม่ได้ คุณเซนจะเอางานนักศึกษามาทำเล่นๆกับงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน งานใหญ่ประจำปีอย่าง Home and Garden งั้นเหรอ

"แล้วอีกอย่าง น้องเค้าเพิ่งเข้ามาทำงาน มันก็ต้องเรียนรู้กันก่อนไหมคะ ต้องสั่งสมประสบการณ์ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ"

มันจะข้ามหน้าข้ามตากันเกินไปหน่อยไหม?

ตอนฉันเข้างานใหม่ๆ แม้ตอนนั้นคุณราเชนทร์จะดึงตัวฉันเข้ามาทำงานเพราะฉันเป็นผู้ชนะการประกวดออกแบบที่มิลานก็จริง แต่ฉันก็ต้องเข้ามาทำงานร่วมกับคนรุ่นก่อนๆในบริษัทอยู่หลายปี ถึงจะได้มีโอกาสออกแบบคอลเลคชั่นของตัวเองที่สามารถนำไปผลิตและจำหน่ายได้

แล้วนี่อะไร เด็กคนนี้เพิ่งจบปริญญาโท ประสบการณ์ทำงานก็ยังไม่มี จู่ๆก็จะได้มีคอลเลคชั่นผลิตเป็นของตัวเอง

"ใช่ คุณมินตราไม่มีประสบการณ์ทำงานในบริษัทเรา ผมถึงอยากให้คุณเป็นพี่เลี้ยงให้เค้างานนี้" ท่านประธานเด็กน้อยโบ้ยความรับผิดชอบเพิ่มเติมมาให้ฉันหน้าตาเฉย

"และเค้าก็มีประสบการณ์การทำงานออกแบบในระหว่างเรียน ผมนับว่านั่นคือประสบการณ์ที่มีค่าเช่นกัน"

"แต่มันไม่เหมือนกันค่ะ ประสบการณ์ตอนเรียนกับประสบการณ์จากการทำงานจริงมันไม่มีวันเทียบกันได้"

"ก็ถ้าไอเดียเค้าดี มีความคิดใหม่ๆ เข้าใจอะไรได้รวดเร็ว อาจจะไม่ต้องอาศัยระยะเวลาการทำงานนานๆเหมือนกับใครหลายคน"

กรี๊ดดดดด! ฉันเกลียดอาการเชิ่ดหน้า แล้วก็แววตาท้าทายแบบยิ้มๆนั่นมาก เกลียดมากจริงๆ

"ผมจะแบ่งพื้นที่บู๊ทให้กลุ่มของคุณทั้งสองกลุ่มเท่าๆกัน ให้คุณให้ตกแต่งกันเต็มที่เลย"

เหมือนนายหัวตั้งเค้าจะไม่สนใจอาการเม้มปากแน่นของฉันแม้แต่น้อย เค้ายังคงพูดด้วยแววตายิ้มเยาะนั่นต่อไปเรื่อยๆ

"คุณเซนคะ พื้นที่ที่เราจองล่วงหน้าไว้มันไม่ได้ใหญ่พอสำหรับวางสองคอลเลคชั่นนะคะ"

"ก็ทำให้มันพอสิครับ ระยะเวลากระชั้นชิดแบบนี้ ถ้าคุณสามารถจองพื้นที่เพิ่มได้ผมก็โอเค ผมพร้อมจ่าย แต่ถ้าจองเพิ่มไม่ได้ ก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่งกับทีมใหม่"

เป็นถึงประธานบริษัท แต่คิดอะไรเหมือนเด็กเล่นขายของ

"แล้วไงต่อคะ ถ้าแบบสำรวจออกมาว่า ลูกค้าสนใจแบบของทางคุณมิตรามากกว่า คุณเซนจะยุบทีมดิฉันเลยไหมคะ"

"ก็คงยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ยังไงเราก็ต้องการเวลาสำหรับวางแผนการผลิตคอลเลคชั่นของคุณมินตรา โซฟาลายดอกไม้ของคุณ ก็คงยังต้องเป็นตัวหล่อเลี้ยงบริษัทของเราต่อไปอีกระยะนึง" เขาพูดหน้าเฉยๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร

แต่ความโกรธของฉันเริ่มวิ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ รู้ตัวดีว่าตอนนี้ฉันคงหูแดงหน้าแดงไปหมดแล้ว

ฉันลุกขึ้นจากโซฟาแล้วก้าวเข้าไปยืนกอดอกตรงหน้าเขา

นายเด็กน้อยหัวตั้งคนนี้แน่มากที่ทำให้ฉันโกรธได้ ทั้งบริษัทนี้เค้ารู้กันหมดล่ะ ว่าปกติฉันไม่เคยโกรธใครง่ายๆ น้องน้ำหวานล้อเลียนทุกวันเรื่องความโสดของฉัน ฉันยังไม่โกรธเลย

"งานออกแบบของดิฉันทำรายได้ให้บริษัทมาหลายปี แต่เมื่อหมดประโยชน์ก็จะเขี่ยทิ้งง่ายๆงั้นหรือคะ เห็นทีมออกแบบของดิฉันเป็นแค่ดอกไม้ริมทางหรือคะ นี่เป็นวิธีการบริหารงานของคนรุ่นใหม่จริงๆหรือคะ การบริหารงานที่ไม่เคยเห็นคุณค่าและความตั้งใจของพนักงาน ไม่เคยคิดจะถนอมน้ำใจของคนทำงาน คุณทำเหมือนพวกเถ้าแก่สมัยโบราณที่เอะอะก็เอาแต่ใจตัวเอง คิดจะทำอะไรก็ทำ เห็นพนักงานเป็นแค่ข้าทาส คุณมันก็แค่พวกเด็กรุ่นใหม่ที่อวดดี คิดว่าตัวเองแน่ ไม่เคยนับถือคนที่เค้าผ่านร้อนผ่านหนาวมากกว่า"

ฉันระบายความในใจออกมาอย่างรวดเร็วและยาวเหยียด และจบลงด้วยอาการเหนื่อยหอบ และน้ำตาก็ทำท่าจะรื้นขึ้นมาด้วยความน้อยใจ

ฉันทำงานบริษัทนี้มานาน มันไม่มีค่าเลยใช่ไหม

คุณเซนดูจะอึ้งไปชั่วครู่เมื่อเห็นอารมณ์โมโหโทโสแบบนั้นของฉัน แต่แล้วเขาก็เอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย เอามือตบเบาะโซฟาที่ข้างๆตัว

"มานั่งพักเหนื่อยก่อนไหมครับ เอ้อ โซฟานี่นุ่มมากเลยนะครับ" น้ำเสียงนั่นดูเหมือนจะอ่อนโยนขึ้นนิ้ดนึง

"เฮ้ออออออ!" ฉันแกล้งถอนหายใจอย่างจริงจังและดังๆ แต่ก็ลงนั่งตัวเกร็งข้างๆเขาแต่โดยดี

ใครๆก็รู้ว่าฉันเป็นคนงอนง่ายหายเร็ว ขอแค่ประโยคที่ดูเหมือนจะง้อซักหนึ่งประโยคก็เพียงพอแล้ว

"ก็เพราะยังเห็นคุณค่าไงครับ ผมถึงให้โอกาสทั้งสองทีมกับงาน Home and Garden นี้ คุณก็ตั้งใจโชว์ฝีมือให้เต็มที่สิครับ" เขาพูดเสียงเรียบๆเป็นงานเป็นการ จ้องมองฉันเขม็ง

นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า เพราะถึงแม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ทว่าแววตานั้นไม่ได้ยิ้มแบบเยาะๆอีกต่อไป มันกลับกลายเป็นแววตาของการให้กำลังใจ

ตอนนี้ฉันเริ่มจะคุ้นเคยกับความเป็นคุณเซนบ้างแล้ว ฉันจะพูด จะแสดงความคิดเห็นยังไง จะแสดงกิริยาบ้าบอแค่ไหนก็ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยถือสา

"เฮ้ออออออ!" ฉันถอนหายใจอีกรอบ

"ถอนหายใจให้เยอะๆเลยครับ ฝึกเอาไว้ คงจะต้องถอนหายใจไปอีกนาน" คราวนี้แววตายิ้มเยาะกลับมาอีกแล้ว

เฮ้อ! นี่สรุปอยากจะกวนประสาทฉันเล่นหรือเปล่าเนี่ย เบื่อที่จะสนใจคุณเซนแล้ว

ฉันเริ่มเอนหลังไปพิงพนักโซฟาบ้าง นัยน์ตาเหม่อก็เริ่มมองออกไปยังนอกหน้าต่าง

เอ๊ะ! นี่ใครเอากระถางต้นไม้มาปลูกเรียงรายไว้ริมหน้าต่างมากมายขนาดนี้ จำได้ว่าตอนที่คุณราเชนทร์ยังนั่งทำงานอยู่ในห้องนี้ ตอนนั้นมันมีไม่กี่กระถางนี่นา แถมเหี่ยวแห้งด้วยซ้ำ

"มีต้นไม้เยอะๆอย่างนี้ดีไหมครับ สดชื่นดีนะครับ" นี่รู้ได้ยังไงว่าฉันคิดอะไรอยู่

"ขอชั้นงีบเงียบๆคนเดียวซักสิบนาทีได้ไหมคะ"

แล้วก็โดยไม่รอคำตอบ ฉันหลับตาลงต่อหน้าต่อตาท่านประธานบริษัทอย่างนั้นเอง

"ตามสบายครับ พอครบสิบนาทีจะให้ผมมาปลุกไหม"

คำตอบที่ไม่คาดคิดดังกลับมา แม้น้ำเสียงนั้นจะจริงจัง แต่เดาได้เลยว่านัยน์ตาคู่นั้นกำลังยิ้มล้อเลียนฉันอยู่

"งั้นขอเป็นสิบห้านาทีแล้วกันค่ะ กรุณามาปลุกดิฉันตรงเวลาด้วยนะคะ" ฉันหลับตาพูดไปอย่างเหนื่อยหน่าย

แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาหลับอย่างจริงจัง ไม่สนใจเขาอีก

แล้วก็ได้ยินเสียงขยับตัว เสียงฝีเท้าเดินทางออกไป เสียงเปิดประตู และเสียงปิดประตู

ดี ไปซะได้ก็ดี เรื่องจะมาปลุกก็คงพูดเล่นหรอก

แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นสิบห้านาที คุณเซนดึระก็เดินมาปลุกฉันจริงๆ!

กร้อชชช! เจ้านายประเภทไหนกันเนี่ย ปล่อยให้ลูกน้องนอนหลับ แล้วเดินมาปลุกลูกน้องตรงตามเวลาที่ลูกน้องสั่งไว้

เซนดึระจริงๆ!!!