ตึก
ตึก
ตึก
มันเป็นเสียงฝีเท้าที่ฟังดูทั้งหนักแน่นและมั่นคง จังหวะอันเนิบช้าทำให้ความก้องกังวานของแต่ละก้าวถูกขับออกมาได้อย่างเต็มที่ ได้ยินไปจนถึงสุดปลายเสียงซึ่งลอยเหลืออ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ
หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเสียงฝีเท้านี้กำลังสอดส่ายสายตาไปทั่วชั้นหนังสือตามแต่ละบริเวณที่เธอเดินผ่าน ดวงตาที่มีขนตางอนสวยนั้นหรี่ลงจนดูเรียวยาวคล้ายกับกลีบดอกทานตะวัน ทว่าเป็นกลีบดอกทานตะวันซึ่งสะท้อนประกายแสงสีแดงออกมาดั่งเม็ดทับทิม
ภายในห้องสมุดอันเก่าแก่นี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงหญิงสาวผู้เดียวเท่านั้น เธอกำลังตามหาหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ และดูเหมือนว่าผ่านไปไม่นานเธอก็ได้เจอมันในที่สุด
ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างและดูกลมโต เส้นคิ้วบางสละสลวยยกขึ้นพร้อมกับความรู้สึกตื่นเต้นดีใจซึ่งปรากฏขึ้นมาชัดบนใบหน้า
ในบรรดาหนังสือมากมายที่เรียงรายชิดติดกันอยู่ทั่วชั้น หญิงสาวเอื้อมมือไปดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมา เธอพินิจดูชื่อหนังสือบนปกหนังสีฟ้าอมเทานั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าอย่างอิ่มเอมเปรมใจ บนนั้นตัวอักษรของข้อความว่า 'ตำนานแห่งหุบเขาวิลเลอรีน' ถูกเขียนขึ้นโดยใช้หมึกสีทอง
หญิงสาวอมยิ้มพลางค่อย ๆ ไล่นิ้วมือไปตามหน้าปกก่อนที่จะพลิกเปิดหนังสือ
ตูม!
ภายในเสี้ยววินาที ทุกอย่างถูกบดบังด้วยแสงจ้าสีขาวเจือม่วง เสียงกรีดร้องอันอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดรุนแรงดังขึ้นแล้วกลืนหายไปกับเสียงคำรามของชั้นหนังสือและอาคารที่ทลายลงครืน
~
"อึก... อะไรกัน... ถึงช่วงนี้ของปีอีกแล้วสินะ" มือข้างหนึ่งของแอนเซลถูกยกขึ้นมากุมศีรษะ เขายันตัวขึ้นนั่งด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะดูตึงเครียดและหม่นลงไปอย่างควบคุมไม่ได้
"เมื่อไหร่จะหายสักทีนะ? นี่ก็ผ่านมาตั้งเจ็ดปีแล้ว... บางทีถ้าตอนนั้นไม่ได้ไปขโมยอุปกรณ์เวทมนตร์มาย้อนดูเหตุการณ์ เพราะเอาแต่ดึงดันอยากจะรู้สาเหตุการตายของแม่ ป่านนี้... บางทีฉันก็คงจะไม่ต้องมาทนทุกข์กับฝันที่ตามหลอกหลอนทุกปีเช่นนี้..."
เสียงทุ้มนุ่มนวลของเขาฟังดูแผ่วเบาในขณะที่ความรู้สึกเศร้าและคิดถึงนั้นเริ่มถาโถมออกมาอย่างฉับพลันหลังถูกกักขังไว้ภายในส่วนลึกของหัวใจมานานพักใหญ่
นี่คือสิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าอยู่ทุกช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิตลอดหกเจ็ดปีที่ผ่านมา
"ขออภัยค่ะท่านแอนเซล ดิฉันเป็นสาวใช้ที่จะมานำทางท่านไปยังสวนดอกไม้สำหรับการจิบชากับนายน้อยอิลเลียสช่วงสายนี้ค่ะ"
ในความเงียบอันน่าอึดอัดซึ่งกำลังห่อหุ้มตัวแอนเซลอยู่ภายในห้อง จู่ ๆ สาวใช้คนหนึ่งก็ได้มาส่งเสียงเรียกฃจากหน้าห้องพร้อมกับเคาะประตูเบา ๆ ไปสามสี่ที
แอนเซลถอนหายใจยาวพลางก้มศีรษะลง จากนั้น พอส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อดึงสติให้คงที่แล้วเงยศีรษะขึ้น กลายเป็นว่าขณะนี้ใบหน้าที่ถูกเผยขึ้นมาอีกครั้งนั้นกลับดูราวกับเป็นคนละคน
ตอนนี้สีหน้าของแอนเซลดูเป็นปกติดีอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีรอยยิ้มบาง ๆ ที่แถมเข้ามาทำให้โหนกแก้มยกขึ้นเล็กน้อย เรียกได้ว่าไร้เค้าโครงของความอึมครึมเมื่อครู่หลงเหลืออยู่อย่างสิ้นเชิง
ความจริงแล้ว หนึ่งในการฝึกฝนสำคัญที่เขาได้รับหลังเข้ามารับใช้องค์กรคอสมอสก็คือทักษะในการเก็บสีหน้าและการแสดงเสแสร้งนั่นเอง
แกร๊ก
"สวัสดีครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ"
แอนเซลกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มนั้นที่ยังคงอยู่บนใบหน้าเมื่อเปิดประตูออกมาเจอกับสาวใช้คนหนึ่งที่กำลังยืนรออยู่อย่างสำรวม
"อ่า ค่ะ ด้วยความยินดีค่ะ ตะ ตามดิฉันมาได้เลยนะคะ"
เนื่องด้วยอิทธิพลอันรุนแรงจากหน้าตาที่แสนจะหล่อและมีเสน่ห์ของแอนเซล สาวใช้คนนั้นเมื่อได้เจอกับตัวใกล้ ๆ เธอก็ตกตะลึงและเขินจนพูดแทบไม่ออก แต่ละถ้อยคำมีแต่จะฟังตะกุกตะกัก อีกทั้งใบหน้าของเธอนั้นก็ดูเหมือนว่าจะแดงขึ้นมาด้วย
แอนเซลเดินตามการนำทางของสาวใช้คนนั้นไปโดยมีสายตาของสาวใช้มากมายระหว่างทางแอบสอดส่องมองมาทางเขา ทำเอาแอนเซลเริ่มนึกสงสัยว่าก่อนหน้านี้ตอนเดินมากับพ่อบ้านเป็นเพราะเขาเอาแต่ครุ่นคิดกับตัวเองมากไปหรือเปล่าจึงทำให้ไม่ทันได้สังเกตถึงสายตาใด ๆ ที่แผ่รังสีของความสนอกสนใจมาจากพวกสาวใช้โดยรอบ
"เชิญค่ะ"
ตอนนี้สาวใช้คนนั้นได้พาแอนเซลมาถึงบริเวณสวนหลังคฤหาสน์แล้ว เธอเสนอให้แอนเซลนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวหนึ่งที่โต๊ะกลมสีขาวซึ่งตั้งอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้สูงใหญ่และล้อมรอบไปด้วยพุ่มดอกไม้นานาชนิด
"รอสักครู่นะคะ อีกไม่นานนายน้อยก็คงจะกลับมาถึงคฤหาสน์แล้วค่ะ"
สาวใช้โค้งให้กับแอนเซลก่อนจะเดินจากไป ปล่อยเขาไว้แต่เพียงผู้เดียวท่ามกลางสายลมที่พัดโชยอ่อน ๆ กับเสียงแซกซ่าของใบไม้
นานมากแล้วจริง ๆ ที่จิตใจของแอนเซลไม่ได้รู้สึกสงบขนาดนี้ การที่สมองเขาจะโล่งโปร่งได้นั้นเกิดขึ้นไม่บ่อย ขณะนี้เขากำลังรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและเพียงอยู่กับปัจจุบัน มองทิวทัศน์ที่สวยงามตรงหน้าโดยไม่มีความคิดฟุ้งซ่านใด ๆ โผล่ขึ้นมาในอยู่หัว
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายช่วงเวลาที่หายากเช่นนี้ก็ไม่ได้คงอยู่นานมากขนาดนั้น เพียงครู่ต่อมาเบื้องหน้าเขาก็มีชายหนุ่มหน้าตาดูหยิ่งทะนงคนหนึ่งมาแสดงตัวอยู่พร้อมกับสาวใช้คนเดียวกันกับที่ได้นำทางแอนเซลมาก่อนหน้านี้
แอนเซลลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วจึงโค้งคำนับ "สวัสดีครับ นายน้อยอิลเลียส"
ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผยกล่าวด้วยท่าทีนิ่ง ๆ "เจ้าคือผู้อารักขาคนใหม่ของข้าสินะ"
"ครับ กระผมเองครับผู้อารักขาคนใหม่ของนายน้อย"
"อืม นั่งเถอะ" อิลเลียสพูดพร้อมกับลากเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามแอนเซลออกมานั่ง
สาวใช้มองชายทั้งสองสลับไปมาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา "เดี๋ยวดิฉันจะไปนำชามาให้นะคะ" จากนั้นเธอก็ปลีกตัวกลับไปที่คฤหาสน์
อิลเลียสเริ่มหรี่ตาลงและเพ่งมองแอนเซลโดยไม่กล่าวอะไร เขากำลังพิจารณาแอนเซลตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงสัดส่วนของร่างกาย ทว่า แต่ถึงกระนั้น ฝ่ายที่โดนจ้องมองอย่างแอนเซลก็กลับไม่ได้หลุบสายตาไปทางอื่นแต่อย่างใด เขายังคงเงยหน้าขึ้นตรงและสู้ตาอิลเลียสกลับอย่างไม่เกรงกลัวในการวางท่าที่ดูองอาจและยิ่งใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้นเองที่แอนเซลคิดขึ้นมาว่ารูปลักษณ์ของอิลเลียสนั้นดูสง่างามมาก ผิวขาวดูอมชมพูสุขภาพดี แถมดวงตาสีนำ้ตาลทองและผมสีบลอนด์อ่อน ๆ ก็ช่วยขับเสน่ห์ของโครงหน้าสมส่วนให้ดูสูงส่งมากเป็นอย่างยิ่ง
"เจ้า… ข้าได้ยินมาว่าความสามารถของเจ้าเหนือกว่าเบนลาร์ดที่เป็นผู้อารักขาคนก่อนของข้าซะอีก แต่ข้าจะบอกว่าให้เจ้ารู้ไว้นะว่าถึงอย่างไรข้าก็ยังคงรู้สึกแคลงใจ"
เขาเว้นระยะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
"งานนี้ที่ต้องตามดูแลข้าน่ะเป็นงานที่ยากและท้าทายกว่าที่เห็น หากเจ้าไม่สามารถรู้ใจของข้าหรือเข้าขากันกับข้าได้ถึงขั้นที่แทบจะอ่านความคิดออกตามที่เบนลาร์ดสามารถทำได้นั้น ข้าขอบอกเลยว่าเจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้อย่างน่าชื่นชมหรือมีประสิทธิภาพนัก แล้วเช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?"
ทุกคำพูดถูกเพ่งเล็งมาปะทะใส่แอนเซลอย่างเด็ดขาด นัยน์ตาของอิลเลียสนั้นดูหม่นลงพร้อมกับน้ำเสียงที่ส่งความกดดันไปยังแอนเซลอย่างเต็มเหนี่ยว
"เรื่องแบบนั้นไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้อยู่แล้วครับ"
แอนเซลตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบพลางประสานมือวางลงบนโต๊ะ "กระผมยืนยันว่าจะสามารถทำตามความคาดหวังของนายน้อยได้แน่นอน กระผมมั่นใจ"
อิลเลียสที่ได้ยินดังนั้นไม่ได้ดูมีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษ อีกทั้งเขายังคงไม่ละสายตาไปจากแอนเซล แอนเซลรู้สึกได้จากความกดดันในสายตาของอิลเลียสว่าตัวเองกำลังถูกเค้นให้พูดออกมาเพิ่มอีก
"ถึงแม้ว่านายน้อยอาจจะยังไว้วางใจในตัวกระผมได้ไม่สุด แต่ภายในไม่กี่วันนี้กระผมกล้าพูดได้เลยครับว่านายน้อยจะต้องเห็นถึงศักยภาพของกระผม"
"งั้นเหรอ..."
ในที่สุดอิลเลียสก็เอ่ยขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะปลดปล่อยถ้อยคำถัดไปออกมา
"เยี่ยม! ข้าถูกใจในความมุ่งมั่นของเจ้า!"
ครานี้น้ำเสียงของอิลเลียสกลับมีความแตกต่างจากเดิม มันฟังดูสดใสมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งสีหน้าจากแต่เดิมที่ดูเข้มงวดและจองหองก็กลับกลายเป็นร่าเริงแจ่มใสในพริบตา ยิ้มกว้างจนแก้มปริ
"ขอโทษทีนะ ไม่ต้องไปถือสาเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่หรอก อย่าไปจริงจังกับมันเลย พอดีข้าแค่อยากจะทดสอบความทุ่มเทของเจ้าเฉย ๆ เจ้าไม่ต้องกังวลไปนะ"
แอนเซลแอบผงะด้วยอารมณ์ขี้เล่นซึ่งปะทุออกมาจากคนตรงหน้าอย่างฉับพลัน แม้ภายนอกจะยังดูนิ่ง ๆ และสำรวมเหมือนไม่ตกใจมาก แต่ก็ต้องสารภาพตามจริงว่าข้างในนั้นทั้งตกตะลึงและงุนงงไม่น้อย
"แต่ก็นะ ถึงอย่างไร... ที่ข้าว่าไว้ว่างานนี้จำเป็นต้องอาศัยความรู้ใจนี่เป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ขนาดเบนลาร์ดก็ยังใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะปรับตัวได้"
"ครับ นายน้อยอิลเลียส... ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถครับ"
"ดีมาก! เจ้าก็คงความมุ่งมั่นนี้ไว้ล่ะ เอาจริง ๆ ข้าก็แอบเสียดายกับการจากไปของเบนลาร์ดมาก เขาอยู่กับข้ามาหลายปีและข้าก็ประทับใจในตัวเขาจริง ๆ ..." อิลเลียสเงียบลงและหลุบตาเล็กน้อย ทว่าอึดใจต่อมาเขาก็กลับมาดูสดชื่นอีกครั้ง
"เอาล่ะ ไหน ๆ ชาก็มาพอดี เรามาใช้เวลาที่เหลืออยู่คุยเรื่องสนุก ๆ กันดีกว่า ข้าจะได้รู้จักเจ้ามากขึ้นด้วย"
สาวใช้คนหนึ่งได้เข็นรถเข็นมาเทียบที่ข้างโต๊ะ เธอวางแก้วชาลงตรงหน้าอิลเลียสกับแอนเซลอย่างเบามือแล้วตั้งจานของว่างซึ่งพูนไปด้วยคุกกี้หลากสีหลากหน้าตาไว้ตรงกลางโต๊ะระหว่างชายทั้งสอง
"ขอบคุณนะ" อิลเลียสกล่าวกับสาวใช้ แอนเซลเมื่อเห็นดังนั้นก็ผงกศีรษะเบา ๆ ตามหลังเพื่อเป็นการขอบคุณสาวใช้คนนั้นเช่นกัน
"ขอให้มีเวลาที่ดีนะคะนายน้อยอิลเลียส ท่านแอนเซล ดิฉันขอตัวก่อนค่ะ"
หลังจากที่สาวใช้เดินจากไป อิลเลียสก็เริ่มหยิบแก้วชาตรงหน้าเขาที่มีไอหอมกรุ่นลอยตลบอบอวลขึ้นมาดื่ม
"แอนเซล" นี่เป็นครั้งแรกที่อิลเลียสเอ่ยชื่อแอนเซลออกมาจากปาก "เจ้าก็ลองดื่มสิ ชามะลินี่หอมมากนะ ข้าดื่มได้ไม่เคยเบื่อเลย"
เขามองดูแอนเซลที่กำลังยกแก้วชาขึ้นดื่มด้วยกิริยาสำรวมแล้วก็หัวเราะเบา ๆ "เมื่อครู่ข้าแสดงดีไหม ดูเป็นคนที่น่ากลัวและหยิ่งผยองหรือเปล่า?"
"ครับ ดูสมจริงมากจนผมเชื่อเลยครับ"
"ฮิฮิ เช่นนั้นก็ดี อืม... หวังว่ารอบตัวข้าคงไม่มีใครคิดสวมหน้ากากปิดบังตัวตนจริง ๆ ของพวกเขาอย่างที่ข้าทำเมื่อครู่นะ"
"ครับ..."
แอนเซลยกแก้วชาขึ้นจิบอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าอิลเลียสพูดไปเรื่อยเฉย ๆ หรือต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง โชคดีที่ต่อมาสรุปว่าก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรมาก เพราะหลังจากนั้นอิลเลียสก็ได้เปลี่ยนไปชวนเขาคุยเรื่องต่าง ๆ มากมายโดยไม่มีการพูดถึงอะไรเช่นนั้นออกมาอีก